วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สมุทรสาคร


ฮั๊ด...ชิ้ววววว....เสียงจามของผมเองครับ อยู่ภายใต้บรรยากาศอุณหภูมิประมาณ 18 องศาเซลเซียส (โคตะระหนาวครับ) เมื่อเวลาประมาณ 6.15 น. (ใช้การจามเป็นเครื่องมือการปลุกไปในตัว) เหตุเกิดเนื่องจากการที่ไม่ได้ดูว่าทางโรงแรมตั้งอุณหภูมิแอร์ไว้ก่อนหน้านี้เท่าใด เมื่อคืนเข้ามาในห้องก็ไม่ได้สังเกต ทำงานกับธุระส่วนตัวแล้วก็นอน บวกการสอบปากคำพี่บอยก็ได้ให้การว่าคอมเพรสเซอร์ไม่มีการตัดแต่อย่างใด (จากการสังเกตทั้งคืน) เพราะฉะนั้นมันจะหนาวมากๆๆๆ และอุณหภูมิจะคงที่ 18 องศาเซลเซียสตลอดคืน (โชคยังดีแค่จามแต่ไม่เป็นหวัด) ยังไงบทเรียนนี้จะจำไว้ครับ

หลังจากการถกประเด็นเรื่องความเย็นจบลง กระผมก็รีบจัดการธุระส่วนตัว จนกระทั่งเวลา 7.15 น. เราทั้งคู่ก็ลงมารับประทานอาหารที่ห้องซึ่งบรรยากาศค่อนข้างเป็นธรรมชาติมาก มีน้ำตกจำลองด้วยครับ วันนี้ เราเลยทานอาหารเช้าเพลินเป็นพิเศษ โดยไม่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอุปสรรคกำลังจะตามมา เมื่อเราพบว่าห้องประชุมที่จองกับโรงแรมไว้ สามารถจุผู้เข้าฟังบรรยายได้ราว 60 คน แต่ในใบรายชื่อที่มีผู้มาลงทะเบียนจริงมีถึง 96 คน (เริ่มเครียดแล้วครับ) ตอนนี้เราเริ่มระดมสมองกันเอง (โดยไม่ต้องรอถึงช่วงเวิร์คช็อปกันแล้ว) ว่าจะจัดโต๊ะเก้าอี้อย่างไร แต่ในที่สุดเราก็จัดออกมาลงตัวจนได้ โดยส่วนตัวแอบไปขอพรจากพระพิฆเนศด้านหน้าโรงแรมว่าขอให้งานสัมมนาวันนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเถิด (เริ่มเล่นไสยศาสตร์พ่วงด้วย) บรรยากาศวันนี้ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาที่มาจาก มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร และคนทำงานจากภาคธุรกิจด้วย

ในช่วงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีการเลือกอภิปรายในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานที่สุจริตและรับผิดชอบในหน้าที่การงาน (CSR ชัด ๆ) ซึ่งหากพนักงานทำงานด้วยความรับผิดชอบสูง สังคมก็จะได้รับประโยชน์ เกิดผลกระทบเชิงลบน้อย หัวข้อต่อมาเป็นการเล่าประสบการณ์ในเรื่องของการเป็นผู้มีความสัตย์ ที่ตนเองเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด ไม่ลักขโมย ไม่ทุจริตแม้กระทั่งการลอกข้อสอบ รักเดียวใจเดียว และซื่อสัตย์ต่อองค์กรด้วยการทำงานเต็มเวลา ไม่เอาเปรียบที่ทำงาน เป็นต้น

ส่วนหัวข้อกิจกรรม CSR เชิงระบบที่น่าสนใจ มีผู้เลือกหัวข้อการสื่อสารเรื่อง CSR เพราะในบางครั้ง การปฏิบัติ CSR ขององค์กรไม่เป็นที่รับรู้ต่อประชาชน ขณะที่องค์กรก็ไม่รู้ว่าชุมชนต้องการความช่วยเหลืออะไร การสื่อสารที่ดีจะทำให้องค์กรสามารถเลือกทำ CSR ที่เหมาะสมต่อความต้องการของชุมชนได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่องค์กรทำ CSR โดยที่ไม่รู้ความต้องการของชุมชนนั้นๆ อย่างดีพอ

ช่วงกิจกรรมการคิดค้น CSR เชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ “โครงการเกลือดีศรีสาคร” ที่จะเน้นการพัฒนานาเกลือควบคู่กับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการนาเกลือให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง มีการคัดสรรนักศึกษาให้เป็นผู้ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวนาเกลือ ผสมผสานกับการเข้าร่วมถ่ายทอดความรู้ที่จำเป็นสำหรับการประกอบการ อาทิ การบัญชีอย่างง่าย ให้แก่ผู้ประกอบการนาเกลือในจังหวัด

กิจกรรมที่น่าสนใจถัดมาคือ “โครงการปลูกป่าชายเลน: Help The Tree World” ที่เน้นการดูแลรักษาป่าชายเลนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการปลูกเพิ่ม ด้วยการเชิญชวนสถานศึกษาต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาปีละ 4 ครั้ง ซึ่งหากทำได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ชาวสมุทรสาครและแก่สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นด้วย

อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจคือ “โครงการมัคคุเทศน์สาครน้อย” เนื่องจากสมุทรสาครเป็นจังหวัดที่มีประชาชนสัญจรผ่านไปมาค่อนข้างมาก แต่ยังให้ความสนใจเดินทางท่องเที่ยวในตัวจังหวัดน้อยมาก โครงการนี้จึงต้องการสร้างมัคคุเทศน์น้อยจากเยาวชนในจังหวัด เพื่อให้ความรู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดได้อย่างถูกต้อง โดยจะสนับสนุนช่องทางการประชาสัมพันธ์ผ่านทางวิทยุชุมชน และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นด้วย

ในวันนี้ กระผมได้มีโอกาสสนทนากับคณะอาจารย์จาก 3 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร โดยท่านแรก คือ อาจารย์ ดร.เสรี วรพง ภาควิชาสิ่งแวดล้อม คณะสังคมและมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ท่านกล่าวว่า “โดยส่วนตัวเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาสิ่งแวดล้อม ทำให้รู้ว่าสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเป็นอย่างไร รู้สึกดีที่เห็นภาคธุรกิจลุกขึ้นมาทำ CSR กันมากขึ้น ไม่คิดเพียงแต่จะมุ่งหวังกำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว การมาร่วมอบรมสัมมนา CSR Campus ในวันนี้ ได้ความรู้ความเข้าใจ CSR ที่ดีและครบถ้วนมากขึ้นด้วย สำหรับเนื้อหาในส่วนบรรษัทพลเมืองจะมีการนำไปสอดแทรกในรายวิชาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังต้องมีการนำไปบูรณการในมหาวิทยาลัยมหิดลด้วย”

สำหรับอาจารย์พิจิตรา ดิสวโรธรรม จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้กล่าวกับกระผมว่า “ส่วนใหญ่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะมีการทำ CSR อยู่แล้ว แต่เดิมจะมองการทำ CSR ว่า สังคมจะได้รับอะไรจากกิจกรรมของมหาวิทยาลัยบ้าง พอหลังจากฟังการบรรยายทำให้เห็นมุมมองเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยจะต้องดำรงบทบาทหน้าที่ภายในองค์กรอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องหน้าที่พลเมือง ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดโครงการเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เช่น การให้นักศึกษาทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยมีการคิดเป็นชั่วโมงกิจกรรมให้ หรือการนำความเชี่ยวชาญในด้านวิชาการในส่วนของการตลาดไปถ่ายทอดให้แก่ชุมชนหมู่บ้านสัตว์สี่เหลี่ยม ทำให้ชุมชนดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจด้านธุรกิจมากขึ้น

สุดท้ายเป็นคณะอาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิค ซึ่งประกอบไปด้วย อาจารย์นันกานต์ สุธรรมชัย อาจารย์เรณู มานะกุล และอาจารย์อังคณา ทองยุพา ได้ให้ทัศนะไว้ว่า “ตอนนี้ธุรกิจต่างๆ ยังขาดการรับผิดชอบต่อสังคมอยู่มาก แม้ว่าจะมีบางธุรกิจที่ให้ความสำคัญแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบทุกด้าน ซึ่งการมาสัมมนาวันนี้ ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับ CSR เพิ่มเติมครบถ้วน ส่วนความเป็นไปได้ในการนำเรื่องบรรษัทพลเมืองไปถ่ายทอดให้แก่นักศึกษานั้น สามารถดำเนินการได้แน่นอน เพราะส่วนตัวสอนวิชาด้านการขายที่ต้องมีการนำ CSR มาประยุกต์ในเชิงของการบริการหลังการขายอยู่แล้ว ถือเป็นการให้นักศึกษาปฏิบัติไปในตัว นักศึกษาเองจะได้สามารถเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของ CSR อย่างชัดเจน

ในที่สุดงาน CSR Campus ณ จังหวัดสมุทรสาครในวันนี้ก็สำเร็จลงด้วยดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน (วันนี้สุดยอดจริง ๆ) และเมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปไหว้พระที่วัดเจริญสุขารามวรวิหาร (ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด หรือจัดสัมมนากันแน่) วัดนี้มีชื่อเกี่ยวกับพิธีลอดโบสถ์ ยังไงเสีย เรามาแล้วจะไม่ลอดโบสถ์สักครั้งก็กระไรอยู่ ต้องอธิบายก่อนว่าโบสถ์ของที่นี่จะมีชั้นใต้ดินด้วยครับ การลอดโบสถ์ก็คือการเดินเวียนจากข้างบนลอดไปยังชั้นใต้ดินแล้วกลับขึ้นมาใหม่ เดินเวียนไปเรื่อยๆ ในที่นี้ผมเดินเวียน 3 รอบครับ ในระหว่างที่เดินก็จะมีใบเอกสารให้อ่านไปเรื่อยๆ ครับ (เนื้อหาใจความในเอกสารก็จะเป็นการล้างเอาอาถรรพ์หรือความไม่ดีออกจากตัวนั่นเอง)

ขณะที่คนอื่นยังเดินเวียนอยู่นั้น (สงสัยยังล้างอาถรรพ์ออกไม่หมด) ผมได้ใช้เวลานั่งสนทนากับหลวงพ่อ โดยท่านเล่าว่าจังหวัดสมุทรสาครนั้นมีพื้นที่ติดทะเลและระดับพื้นดินค่อนข้างต่ำ สมัยก่อนเคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้น เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้บริเวณห้องใต้ดินของโบสถ์เต็มไปด้วยน้ำ สร้างความเสียหายมาก โบสถ์ที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้ถูกปฎิสังขรณ์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอได้ฟังเรื่องนี้ ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน เคยบอกว่า หากภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จังหวัดแรกที่จะถูกท่วมด้วยน้ำทะเลก็คือ จังหวัดสมุทรสาคร ระดับน้ำทะเลได้กัดเซาะชายฝั่งขึ้นมาทุกปี เวลายิ่งผ่านไป เหตุการณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนตัวเพื่อนกระผมคิดว่าที่บ้านน่าจะถอย Speed Boat มาซักลำจะได้ทันใช้ในรุ่นลูกรุ่นหลาน (เพื่อนเราก็ช่างคิดเนอะ ป่านนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้) สนทนากับหลวงพ่อได้สักพัก ทีมงานที่เหลือก็ลอดโบสถ์เสร็จ คณะของเราเลยร่วมกันถวายสังฆทานต่อก่อนจะนมัสการลาหลวงพ่อกลับ

ขณะที่นั่งรถตู้อยู่นั้น กระผมก็นั่งครุ่นคิดว่า สมุทรสาครน่าจะมีการรณรงค์ปลูกป่าชายเลนอย่างจริงจัง เพราะหากเริ่มปลูกป่าชายเลน ณ ตอนนี้อย่างเร่งด่วน และมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าสิ่งแรกเลยที่จะได้คือ เพื่อนผมคงซื้อเรือ Speed Boat มาจอดหน้าบ้านเพื่อให้ตำลึงหรือกระถินขึ้นโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด ฮา (ล้อเล่นนะครับ) สิ่งแรกเลยคือพื้นที่ชายฝั่งจะมีการกัดเซาะน้อยลง แถมยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ชายฝั่งอีกต่างหาก รวมทั้งยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำได้ดีอีกด้วย (ขอให้โครงการถูกดำเนินการอย่างรีบเร่งทีเถอะ สาธุ)

คณะของเรามาแวะทานข้าวที่มหาชัย แล้วก็เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ วันนี้เป็นวันศุกร์แถมยังเป็นวันผลพลอยได้ (เงินเดือน) ออกอีก จึงเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่ทำให้รถติดเป็นอย่างมากกกกกก เฮ้อ กว่าจะถึง Office และกว่าจะกลับถึงห้องก็เป็นเวลา 21.00 น. ในที่สุดทริป CSR Campus เที่ยวนี้ ก็จบลงอย่างสวยงามครับ ท่านผู้ชม Blog ทั้งหลาย โปรดติดตามทริปหน้าด้วยนะครับ เพราะจะเป็นสัปดาห์ที่เราจะมีการจัดประชุม CSR Campus ระดับภาค สำหรับกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ณ จังหวัดชลบุรี รวมอยู่ด้วย

ส่วนวันนี้ขอลาก่อน แต่ก่อนจากลา ขอบอกว่า ราตรีสวัสดิ์ พี่น้องชาวไทย


นครปฐม


วันนี้ทีมเราเป็นทีมที่ใหญ่มากครับ เพราะการสมทบของทีมสีฟ้าอีก 7 คน รวมแล้วตอนนี้ต้องเดินทางด้วยรถตู้ถึง 2คัน แต่ก็อบอุ่นดีครับ เรามุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครปฐม ระหว่างทางเราได้แวะชมโรงงานทำโอ่งและโรงงาน “PASAYA” เป็นสินค้าเกี่ยวกับผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนต่างๆ สถานที่อยู่ลึกซักหน่อย แต่ก็สวยงามมากทีเดียว ตึกของโรงงานเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูคว่ำ แถมตั้งอยู่กลางน้ำอีกด้วย เราไปกันตอนช่วงเย็นบรรยากาศจึงดีมาก มีลมพัดโบกอยู่ตลอดเวลา สาวๆ ก็ทำการสลายเงินกันไป ส่วนผมนั้นออกมาเดินชมวิวและถ่ายรูปด้านนอกอย่างสบายอารมณ์

หลังจากที่กระเป๋าเบาจนเป็นที่พอใจแล้ว รถได้เคลื่อนตัวออกไปยังวัดที่มีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย องค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐมนั่นเอง เมื่อมาถึงยังวัด ใครต่อใครต่างก็มองเราครับ เพราะฟ้ากันเกือบหมด “นี่มันนางฟ้าตกสวรรค์เหรอเนี่ย” คณะของเราได้ทำการสักการะบูชาองค์พระปฐมเจดีย์อย่างสงบ (ปกติไม่ค่อยจะอยู่นิ่งกันเท่าไรครับ) ได้บุญกันจนอิ่มแล้ว แต่ท้องยังไม่อิ่มครับ เราทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจรับประทานอาหารแถวตลาดหน้าวัดกันซะเลย (ขี้เกียจไปหาร้านอื่นและประหยัดงบ) เดินมาถึงหน้าตลาดมีอาหารเยอะแยะไปหมด ทีมงานไม่รอช้าสั่ง หอยทอด (กี่จานไม่แน่ใจ) บะหมี่เกี๊ยว (กี่ชามละ) โรตีอีก (เอาเข้าไป) ไม่คิดถึงความลำบากของคนที่ต้องมาคอยตามเก็บตกในช่วงท้ายเลย ผมจึงสั่งของผมเองดีกว่าครับจะได้ไม่ลำบาก (แต่จ่ายให้ผมด้วยนะ T-T) ในที่สุดก็เป็นอย่างที่คิด สาวๆ มักจะสั่งอะไรตามความหิว แต่พอฉันอิ่มฉันก็จะยัดให้คนอื่น โดยการพูดว่า “นี่เธอชิมนี่ซิ เธอลองไหม อร่อยนะ อร่อยจริงๆ” อร่อยไม่กินเองละ (ผมเลยทำหูบอดไปชั่วคราว) ครับรู้ว่าหวังดีแต่คำนึงถึงไขมันของคนอื่นหน่อยครับ เดี๋ยวพี่หมูได้ว่าอีกว่า อะไรออกต่างจังหวัดทีไรกลับมาเปลี่ยนขนาดเสื้อทุกที ฮ่าๆๆ แต่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งครับ จ่ายค่าอาหารเรียบร้อย ทีมอ้วนดำขาใหญ่ ก็ได้แยกจากทีมสีฟ้า เข้าพักที่ “โรงแรมเวล” เพื่อการจัดอบรมในวันรุ่งขึ้น แต่ผมไม่อยากลงจากรถเลย อึดอัดท้องมากครับ แถมยังจะให้ผมเอาโรตีกลับมากินอีก 4 อัน แล้วชอบมาว่าผมอ้วน จะไม่อ้วนได้ไง (>.<) การอบรมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการจากการกล่าวเปิดงานของคุณธรรมนูญ จันทระ ผู้บริหารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามด้วยการบรรยายของอาจารย์วุฒิพงศ์ บัวบุตร์ ในจังหวัดที่ผ่านๆ มา เรามักจะเริ่มแบบเป็นกันเองเฮฮา แต่มาวันนี้ดูสถานการณ์จะตึงเครียดนิดนึง (สำหรับผมนะ) เพราะท่านที่มาเข้าร่วมส่วนใหญ่ดูแล้วเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายทั้งนั้นเลย ทุกๆ ท่านก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีครับ และก็มีถามคำถามกับท่านวิทยากรของเราด้วย วันนี้เราทำการเบรคกันในห้องอบรมเลย ดูคนเยอะแยะดี และพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ผมจึงรู้สึกโล่งขึ้น เพราะดูท่าจะไม่เกร็งกันแล้ว ผมก็จะได้เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ด้วย ในช่วงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง ท่านที่มานำเสนอมีการยกหัวข้อการเป็นผู้มีความเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตอนเองโดยชอบธรรมและเป็นผู้ที่เชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรต้องถูกต้องและไม่รบกวนสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรจนเกินขอบเขต ถ้าเราเคารพกฎหมาย เราก็จะทำผิดน้อยลงและกล้าที่จะเปิดเผยงานที่ทำต่อสาธารณชน และถ้าทุกคนยึดธรรมะได้ก็จะไม่เอาเปรียบผู้อื่น ยิ่งถ้าเชื่อในเรื่องผลกรรมและการกระทำชั่วของตัวเอง ก็จะทำตัวและดำเนินงานอย่างถูกต้อง อีกท่านได้เสนอว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อกฎหมายเช่นกัน คือ ปฏิบัติตนอยู่ในกฎระเบียบทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่คดโกงหรือเอาเปรียบผู้อื่น ถ้าทุกคนทำได้สุขภาพใจก็จะดีมาก ทั้งยังสนับสนุนการดำเนินการงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามบทบาทที่เอื้ออำนวย เนื่องจากพระราชดำริเป็นประโยชน์ต่อมหาชนชาวสยามมาในทุกยุคทุกสมัย มาถึงท่านสุดท้ายก่อนที่เราจะพักรับประทานอาหาร ได้เลือกในหัวข้อที่เป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ต้องประกอบอาชีพด้วยความพากเพียร อดทน เต็มที่และเต็มใจกับงานที่ทำ คำนึงถึงบุคคลหรือสังคมที่อยู่รอบๆ ตัว จะยืนยาวได้ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม บุคคลรอบข้าง และการเงินที่ยั่งยืน อยากเห็นองค์กรธุรกิจแสดงความเป็นพลเมืองบรรษัทด้วยการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล และกำไรที่ได้ควรคำนึงถึงส่วนรวม เพราะถ้าเอาแต่ประโยชน์ตนถ่ายเดียว ก็จะต้องจบลงเช่นกัน
วันนี้การรับประทานอาหารกลางวันเป็นมื้อที่สนุกที่สุดครับ เพราะในห้องอาหารของทางโรงแรมมีคนเปิดเพลงให้ขึ้นไปร้องเพลงได้ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในโต๊ะผมได้ท้าทายอีกท่านว่า “ถ้าพี่ขึ้นไปร้องผมให้ 100 บาทเลย” ไม่รอช้าลุกพรวด ไปหน้าเวทีขอเพลงทันที ผมจึงเอามือถือไปถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานทันที เพราะไม่คิดว่าจะมีแบบนี้ ร้องไป 1 เพลง ไม่ยอมลงซะงั้น อ้าว...ยาวเลยคราวนี้ (เปลี่ยนมาอบรมห้องนี้กันเลยดีไหม) พี่ที่ขึ้นไปร้องเพลงเสร็จได้ประกาศเข้าไมค์ว่าทุกกลุ่มต้องออกมาร้อง อ้าว...ลามอีก ร้องกันหลายคนเลยครับคราวนี้ มันยกกลุ่มกันเลย ซักพักก็มีคนบอกว่าอยากได้ยินเสียงท่านวิทยากร อาจารย์ของเราไม่รอช้า ลุกเลยครับแต่ลุกจากเก้าอี้.....ขอเดินจากห้องไปในทันที่ โดยอ้างว่าผมต้องไปเตรียมตัวครับ ฮ่าๆๆ เป็นข้อแก้ตัวที่เนียนมาก

ทุกคนได้มารวมตัวกันในห้องสัมมนากันอีกครั้ง ก่อนเริ่มการอบรมในช่วงบ่าย เราก็ได้ทำกายบริหารกัน มีอะไรแปลกๆ อีกแล้วครับ มีการส่งเสียงให้พี่สาวท่านหนึ่งออกมานำเต้นครับ เธอบอกว่าขอไม่ต้องเปิดเพลงครับ ด้นสดๆ เลยครับ “เมื่อยไหมจ๊ะเธอจ๋า ต้องทำท่ายังเงี้ยะๆ ทำแล้วสบายใจดีอย่างเงี้ยะๆ สบายใจจัง (2รอบ)” ผมค้างเลย คิดได้ไงมันใช้ได้เลยนะเนี่ยะ ทุกๆ ท่านก็ชอบกับความคิดของเธอด้วย ประทับใจและปรบมือให้ อย่างงี้ต้องได้เสื้อของเราไปด้วยแน่นอนครับ ยอดมาก!! เป็นการออกกำลังแบบง่ายๆ ช้าๆ สบายๆ ทำให้ไม่จุกจากอาหารด้วยครับ

มาถึงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง CSR เชิงระบบ มีการนำเสนอว่าหัวข้อการสื่อสารเรื่อง CSR เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด พนักงานทุกคนต้องเข้าใจและมีความรู้ด้านนี้และควรจัดกิจกรรมทุกๆ ปี พร้อมส่งเสริมกิจกรรมด้านนี้ให้ได้มากที่สุด จะมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้นมากมายสู่สังคมและองค์กร และชุมชนก็จะยอมรับและเข้าใจในตัวบริษัท ท่านต่อมาได้ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ เช่น การอนุรักษ์แม่น้ำ การให้ความรู้และเสนอไม่ให้ผู้ที่อยู่ริมน้ำทิ้งขยะลงแม่น้ำ การทำกิจกรรม 5ส. บริเวณริมน้ำ และขยายการจัดตั้งกลุ่มในแต่ละชุมชนไปสู่อำเภอและจังหวัด มีการให้หน่วยงานอื่นๆ มาศึกษาดูงานในชุมชนตัวอย่าง ส่วนอีกท่านก็เสนอว่าควรทำการทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินการองค์กรที่เกี่ยวกับ CSR ซึ่งใช้กิจกรรมเรื่องขยะเป็นตัวอย่าง โดยเสนอให้มีการแยกขยะเปียก ขยะแห้ง ขยะ Recycle เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แต่ละบุคคลได้รู้จักการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี เมื่อทุกคนมีความคิดดี จิตสำนึกที่ดีแล้ว ประเทศก็จะสะอาดและน่าอยู่

กิจกรรม Highlight ของวันครับ (Creative CSR) “โครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำในคลองเจดีย์บูชา” เป็นโครงการที่มีคนให้ความสนใจมากที่สุดของวันเลยก็ว่าได้ เพราะว่าลำน้ำนี้เป็นเหมือนคลองสายหลัก สายประวัติศาสตร์และเป็นสิ่งสำคัญของจังหวัดนครปฐม เพราะน้ำที่เสียจะส่งกลิ่นและสร้างความรำคาญต่อชุมชนโดยรอบ มีการเสนอให้เติมจุลินทรีย์ลงในน้ำ หรือนำกากน้ำตาลผสมน้ำเติมเชื้อจุลินทรีย์หมักไว้ประมาณ 2 สัปดาห์และเติมลงในคลอง รณรงค์ให้ชุมชนรอบๆ คลอง ลดการปล่อยของเสียลงน้ำ โดยให้ชุมชนรอบๆ คลองเป็นผู้รับผิดชอบโครงการและเทศบาลเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นได้ น้ำก็จะสะอาด ปลาก็จะไม่ตาย ไม่ส่งกลิ่นเหม็น สภาพแวดล้อมดีขึ้น มีคนมาเที่ยวและซื้อของมากขึ้น

กิจกรรมต่อมาเป็น “โครงการสร้างสุขภาพ สร้างแสงสว่าง นำทางความปลอดภัย” กิจกรรมนี้คำนึงถึงสุขภาพของคนในสังคมเป็นหลัก เพราะคนมีภาวะโรคอ้วนเพิ่มขึ้นและใส่ใจสุขภาพกันน้อยลง กิจกรรมที่นำเสนอจึงเน้นการออกกำลังกายโดยใช้จักรยานเป็นหลัก มีการเสนอให้ทางสถาบันการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม ให้ทุกๆ คนปั่นจักรยาน (ที่ออกแบบมาเพื่อการสะสมพลังงาน) ในบริเวณที่จัดขึ้น โดยการปั่นนั้นก็จะสร้างกระแสไฟไปเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่ได้ออกมาเป็นพลังงานอีกด้วย พลังงานนี้อาจจะเอาไปใช้เป็นแสงสว่างในที่มืดๆ ตามถนนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น กิจกรรมนี้จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี แข็งแรงทั้งกายและใจ เด็กๆ ก็จะหันมาเล่นกีฬากันมากขึ้น เยาวชนจะหันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ที่สำคัญคือ เป็นกิจกรรมการส่งเสริมการประหยัดพลังงานแบบมีส่วนร่วม

กิจกรรมที่นำเสนอส่งท้าย คือ “โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนจากของเหลือใช้ในชุมชน” โดยเริ่มจากการจัดนำร่องความรู้แก่ชุมชน และสาธิตให้แก่ผู้นำชุมชน นำความรู้ไปทดลองกับกลุ่มย่อยเพื่อประเมินผลก่อนขยายให้มากขึ้นด้วยการสร้างเครือข่าย ความรู้ที่นำมาถ่ายทอดต้องเป็นความรู้และเทคโนโลยีอย่างง่ายที่ชุมชนสามารถพัฒนาต่อยอดได้เอง ทั้งนี้ หน่วยงานภายนอกที่เข้าร่วมกิจกรรม อาจดำเนินการจัดหาวัตถุดิบเหลือใช้และงบประมาณสนับสนุนให้ตามความเหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้โดยตรงจากกิจกรรมนี้ คือ การสร้างความรู้และนวัตกรรมต่อยอดสู่รุ่นต่อไป สร้างอาชีพ ลดการนำเข้าไฟฟ้าและลดปริมาณขยะ โดยอ้อมก็จะเป็นการลดภาวะโลกร้อน สุขภาพของคนในชุมชนก็จะดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะมีความไว้ใจและเชื่อมั่นต่อกัน

ในกิจกรรมสุดท้ายนั้น Commentators ของเราได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างมากมาย แซวกันไปก็แซวกันมา และมีการเสนอวิธีการจำง่ายๆ เพราะมักจะเรียกชื่อหน่วยงานการไฟฟ้าฯ กันผิดบ่อยๆ ระหว่าง กฟภ. กับ กฟผ. โดยแต่ละแห่งจะมีชื่อเรียกว่า ................... ฮ่าๆๆ ใครอยากทราบก็สามารถติดต่อสอบถามทางทีมงานได้ครับ กระผมคงไม่กล้าพิมพ์ออกอากาศแน่ๆ แต่ก็ดีครับ เป็นการสร้างบรรยากาศที่สุดยอดสำหรับที่นครปฐม ทุกๆ ท่านเป็นมิตรมาก ถึงแม้ในช่วงเช้าจะดูตึงเครียดซักหน่อย เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในองค์กรเข้าร่วมสัมมนาด้วย แต่ทุกๆ อย่างก็เป็นไปด้วยดีครับ และแทบจะไม่มีใครหนีกลับก่อนเลย เป็นการจัดแคมปัสที่น่าประทับใจอีกที่หนึ่งครับ

ผศ.ดร.ปุสตี มอนซอน คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล ได้บอกกับทางเราว่า “วันนี้ได้ความรู้เยอะมาก ความรู้ที่ได้สามารถนำไปปฏิบัติในองค์กรได้ มีประโยชน์ต่อองค์กรในเรื่องการเรียนการสอนและการบริการด้วย เนื่องจากภารกิจของมหาวิทยาลัยจะต้องเกี่ยวข้องกับชุมชน การพัฒนาคุณภาพองค์กร นักศึกษาและสถานศึกษาด้วย เรื่อง CSR ควรจะทำเป็นเครือข่ายทุกจังหวัด จะมีประโยชน์และกำลังมาก เนื่องจากนครปฐมซึ่งอยู่ใกล้ สามารถเป็น Partnership ได้ดี คิดว่าเนื้อหาที่ได้ในวันนี้สามารถนำไปประยุกต์สอนในสถาบันได้ และก็จะสามารถทำให้บุคลากรในระดับบริหาร รวมทั้งนักศึกษา ขยายความรู้ในเรื่องบรรษัทพลเมืองได้”

ก่อนที่จะปิดการสัมมนาและเดินทางกลับ เราก็มีการแจกรางวัลกันเช่นเคย โดยเฉพาะวันนี้ มีรางวัลสมทบจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกระเป๋าผ้า 4 ใบและตุ๊กตาอีก 1 ตัว คราวนี้ละครับ ยกมือตอบกันมันหยด ใครดวงดีก็เอาไป ยกกันเต็มไปหมด จนต้องเปลี่ยนคำถามไม่รู้กี่รอบ ทาง กฟภ. เองก็ได้มอบของที่ระลึกเป็นตุ๊กตาให้กับทางวิทยากรเช่นกัน หลังจากที่ทุกท่านได้แยกย้ายกันกลับแล้ว เราก็ทยอยเก็บของขึ้นรถ เพื่อเตรียมกลับบ้านอันแสนสบายที่กำลังรออยู่ครับ แต่สิ่งที่เราไม่ได้เอากลับ คือ ตุ๊กตาครับ เราตกลงให้กับเด็กตัวเล็กที่นั้นเป็นของขวัญ อาจารย์พงศ์นี่ใจดีจริงๆ ครับ

เมื่อรถเริ่มเคลื่อนออกจากโรงแรม ใจผมนั้นอยากจะกลับบ้านเลยครับ แต่โดนพวกพี่ๆ แกล้ง หาว่าผมจะมีนัดเลยไม่ยอมพากลับ ทีมงานจึงได้แวะทานข้าวกันต่ออีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ครับ ผมคิดถึงบ้าน อะ (o_o) อยากกลับบ้านครับ และการเดินทางของ 4 จังหวัดนี้ ก็ได้เสร็จสิ้นลงโดยสวัสดิภาพ สำหรับจังหวัดในภาคกลางนั้น เราจะได้พบกันอีกครั้งแน่นอนครับ ที่ชลบุรี วันที่ 14 สิงหาคม 2552 โรงแรมแอมบาสเดอร์จอมเทียนนะครับ สำหรับการเดินทางครั้งหน้าของผม คงจะไม่ใช่จังหวัดในภาคกลางแล้ว แต่จะเป็นที่ไหนนั้นต้องติดตามนะครับ ยังไงก็อย่าลืมติชมการเดินทางและการเขียนของกระผมด้วย ขอบพระคุณครับ..

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สมุทรสงคราม


วันนี้ก่อนที่จะตื่นก็รู้สึก....นอนเพียงพอมากเลยครับ...เพราะว่าเริ่มนอนตอนประมาณ 22.00 น. พอเริ่มสักประมาณตีห้าผมก็เริ่มกระสับกระส่ายเหมือนคนนอนพอแล้วอยากตื่น แต่ร่างกายก็ไม่ยอมฟังจิตใจยังพยายามเนียนหลับต่อไปเรื่อยๆ จนเสียงนาฬิกาปลุกดังพร้อมการมาเยือนของแสงแดดยามเช้าที่เวลา 6.10 น. พอหันมามองพี่บอยก็เห็นทั้งร่างกายและจิตใจยังหลับสนิท(สนม)กันดีอยู่ สักพักผมก็เริ่มทำธุระส่วนตัว จนเสร็จเรียบร้อยพร้อมออกไปทานอาหารเช้ากับพี่บอยครับ

วันนี้สถานที่ทานอาหารเช้าช่างบรรยากาศดีมากๆๆๆๆๆ ทีแรกมองไปนึกว่าเรานั่งทานอาหารเช้าท่ามกลางทะเลครับ แต่ที่ไหนได้มันเป็นบ่อครับ แค่ตัวบ่อก็มีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ไร่แล้วครับ ช่างกว้างขวางยิ่งนัก ลองถามพี่พนักงานว่ามีบ่อขนาดใหญ่แบบนี้มีไว้ทำอะไร เค้าก็ให้คำตอบว่า เอาไว้เลี้ยงปลาเล่นๆๆ (ขนาดเลี้ยงเล่นๆ ถ้าเลี้ยงปลาจริงจังคงประมาณ 1,000 กว่าไร่แน่เลย) ล่วงเลยมาถึง 8.00 น.ก็เป็นเวลาที่พวกเราต้องเริ่มจัดห้องประชุมกันแล้วครับ วันนี้ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และหน่วยงานที่เป็นทั้งองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ครับ

เริ่มแรกกิจกรรมวันนี้เป็นเรื่องหน้าที่พลเมือง ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม โดยเน้นความซื่อสัตย์สุจริตในการทำงานเป็นที่ตั้ง และ “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” ทำให้เกิดความสบายใจในการทำงาน ส่วนอีกหัวข้อหนึ่ง คือ การมีความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอยู่หัว โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนและนำไปขยายผลสู่ชุมชน

กิจกรรมต่อมาเป็นเรื่อง CSR เชิงระบบที่ชาวจังหวัดสมุทรสงครามได้ให้ความสนใจในหัวข้อการทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR เพราะแทบทุกองค์กรมีการดำเนิน CSR อยู่แล้ว แต่อาจจะยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วนเท่าที่ควร จึงต้องมีการทบทวนและปรับปรุงการดำเนิน CSR ในด้านที่ยังไม่ได้ปฏิบัติให้มีความครอบคลุมยิ่งขึ้น ส่วนหัวข้อถัดมา คือ การสื่อสารเรื่อง CSR โดยต้องการเผยแพร่รูปแบบการดำเนินกิจกรรม CSR ภายในองค์กร เพื่อให้มีการรับรู้ข่าวสาร CSR ขององค์กรอย่างทั่วถึงและสามารถนำไปปฏิบัติต่อได้ หัวข้อสุดท้าย คือ การเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ โดยสถาบัน KMUTT จะมีการประสานกับองค์กรธุรกิจในการเข้าไปช่วยเหลือชุมชน ด้วยการจัดทำฐานข้อมูลชุมชน การเน้นทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน เป็นต้น

ช่วงพักทานข้าวตอนเที่ยงวันนี้ เราได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณสมบัติ (พี่สมบัติก็ได้ครับ เดี๋ยวจะงงหากเขียนว่าคุณสมบัติ) เนื่องจากวันนี้กับข้าวในตอนเที่ยงมีปลาทูด้วยครับ ที่จังหวัดสมุทรสงครามมีปลาทูที่ค่อนข้างมีคุณภาพมาก และส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนามว่า “ปลาทูแม่กลอง” พี่สมบัติได้เล่าถึงข้อเท็จจริงให้ผมฟังว่า ตอนนี้ปลาทูแม่กลองเริ่มเหลือน้อยลง แต่ก่อนแม่น้ำแม่กลองเป็นแม่น้ำสายที่สะอาดมากเมื่อเทียบกับแม่น้ำสายอื่นในประเทศไทย (ตามการอ้างอิงจากปริมาณออกซิเจนในน้ำ) และจะติดกับทะเลพอดีโดยมีส่วนที่น้ำทะเลหรือน้ำเค็มมาบรรจบกับน้ำจืดเรียกว่าเป็นเขตน้ำกร่อย พอโรงงานต่างๆ มีการสูบนำน้ำจากแม่น้ำแม่กลองไปใช้ เมื่อรวมกับการสูบน้ำจากแม่น้ำแม่กลองไปสู่แม่น้ำสะแกกรังด้วย จึงทำให้น้ำทะเลหนุนเข้ามามากขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมทางแม่น้ำเปลี่ยนซึ่งส่งผลต่อปริมาณปลาทูแม่กลองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบนี้ยังส่งไปถึงชาวสวนที่ปลูกผลไม้ต่างๆ ด้วย (การที่จังหวัดสมุทรสงครามได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่มีคุณภาพดี เคล็ดลับหนึ่งมาจากการใช้น้ำกร่อยในการเพาะปลูกดูแลรักษานี่เอง) ครั้นเมื่อสายน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็มีผลทำให้พื้นที่น้ำกร่อยเดิมกลายสภาพเป็นน้ำเค็ม ซึ่งปัญหาดังกล่าว หากไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปลาทูแม่กลองก็อาจจะกลายเป็นตำนานไปเลยก็ได้

ในช่วงกิจกรรมกลุ่ม CSR เชิงสร้างสรรค์ มีการคิดค้นกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ “โครงการสร้างสรรค์ใต้สะพานพุทธฯ” (มิใช่สะพานพุทธฯ ในกรุงเทพฯ นะครับ) โดยมีการเสนอเรื่องการทำความสะอาดพื้นที่บริเวณใต้สะพานพุทธฯ (เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งทิ้งขยะ เพราะไม่มีการใช้สอยให้เกิดประโยชน์) เพื่อสร้างสนามเด็กเล่นและลานกีฬาสำหรับเป็นแหล่งออกกำลังกายของเยาวชนในจังหวัดสมุทรสงคราม

กิจกรรมที่น่าสนใจถัดมาคือ “โครงการเที่ยวแม่กลอง-ลองไม่ใช้โฟม” ที่จะเน้นการสร้างจิตสำนึกทั้งในชุมชนและนักท่องเที่ยวต่อการใช้กล่องโฟม เนื่องจากในเขตจังหวัดสมุทรสงครามจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างถิ่นมาก เช่น ตลาดน้ำอัมพวา แต่ด้วยเหตุที่แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวไม่มีมาตรการจัดการด้านขยะที่เพียงพอ ทำให้ขยะกล่องโฟมมากขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ส่วนกิจกรรมสุดท้ายเป็น “โครงการกำจัดขยะชุมชนเพื่อคนแม่กลอง” ที่จะเน้นให้ผู้ประกอบธุรกิจประเภท Home Stay มีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะ รวมถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเภทของขยะว่ามีทั้งที่มีมูลค่าและไม่มีมูลค่า หากเป็นขยะที่มีมูลค่าก็ควรนำไปรีไซเคิลหรือนำไปขายได้ ส่วนขยะที่ไม่มีมูลค่าก็ต้องให้ชุมชนเรียนรู้ถึงการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี เพื่อประโยชน์ในการนำขยะกลับมาแปรสภาพใช้ใหม่หรือการกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณปิยทัศน์ ทองไตรภพ ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิจัยและบริการเพื่อชุมชนและสังคม มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี โดยท่านได้ให้ทัศนะต่อการได้เข้าร่วมงานในวันนี้ว่า “เดิมที ทางหน่วยงานก็ได้ทำ CSR เป็นปกติอยู่แล้ว แต่การมาฟังในวันนี้ ทำให้รู้เรื่อง CSR ครบทุกด้านมากขึ้น รวมถึงประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดจากการทำ CSR ที่ชัดเจนมากขึ้น สำหรับเนื้อหาในส่วนของการเป็นองค์กรพลเมืองที่ดี จะมีการคุยกับทีมงานเพื่อให้เห็นถึงประโยชน์ดังกล่าว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปเผยแพร่ให้แก่นักศึกษาได้อย่างแน่นอน”

หลังจากกิจกรรมแคมปัสที่สมุทรสงครามได้สิ้นสุดลง ผมมานั่งคิดว่าสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่มีการทำเกษตรกรรมค่อนข้างมาก (ไม่ค่อยมีโรงงานเลยครับ) แตกต่างกับจังหวัดสมุทรสาครที่เราจะเดินทางในวันต่อไป หรือที่ทุกคนเรียกกันคุ้นปากว่า “มหาชัย” ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่จังหวัด ซึ่งหากการอบรมแลกเปลี่ยนความรู้ CSR Campus ในวันพรุ่งนี้สัมฤทธิ์ผล ก็จะสร้างประโยชน์ให้แก่ชาวมหาชัยได้ไม่น้อยกว่าวันนี้เลย (ช่างคิดไปได้นะเรา)

ตอนนี้ล้อรถตู้ก็หมุนพาทีมงานไปไหว้ศาลของเสด็จเตี่ยหรือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผมสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก บริเวณศาลมีบันทึกชีวประวัติของกรมหลวงชุมพรฯ ที่เมื่อตัวกระผมอ่านแล้ว รู้สึกขนลุกครับ

"กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้ ไอ้ อี มันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกูตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลกกูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น"

ว่ามั๊ยล่ะครับ ท่านผู้ชม Blog ขนลุกเหมือนกระผมหรือเปล่า หลังจากอ่านเสร็จ ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า ความรักชาติของคนสมัยก่อนค่อนข้างแรงมาก (บางทีอาจมากกว่าคนในชาติไทยบางคนก็เป็นได้) และเมื่อมองสถานการณ์ในประเทศชาติปัจจุบันที่ยังมีปัญหาไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจหรือด้านการเมือง ผมคิดว่า เราควรฟื้นความสามัคคีของคนในชาติและความรักชาติไทยกลับมาให้ได้ ปมปัญหาต่างๆ ก็น่าจะถูกคลี่คลายไปได้อย่างแน่นอน (หลังจบ CSR Campus แล้วจะไปเป็นนายกฯ ฮา)

เมื่อรถตู้เคลื่อนออกจากศาลกรมหลวงชุมพรฯ เราก็ไปทานข้าวเย็นกันที่ร้านลุงขันธ์ เสร็จเวลา 19.00 น. ฟ้ายังไม่มืดซะทีเดียว เราจึงไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยที่ตลาดอัมพวาต่อ (ไม่เกรงใจสังขารตัวเองบ้างเลย) ตลาดน้ำอัมพวาในเวลา 19.30 น. ช่างเงียบเหงานัก รวมกับความมืดอย่างแรง (ไฟไม่ค่อยเปิดเลย) เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา (แหม ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ล่ะก็..ตลาดคงคึกคักจนลืมเดินทางไปจังหวัดต่อไปเป็นแน่) เราพยายามใช้สายตาสอดส่ายหาเรือที่น่าจะยังให้บริการอยู่ และแล้ว...ก็เจอครับ เรือของพี่แอนใจดี (ลักษณะรูปพรรณพี่แอนใจดีเหมือนดามพ์ ดัสกร บวกขนดกๆ แบบจอนนี่ แอนโฟเน่) โดยพี่แอนได้บอกกับทีมงานว่า เรามาได้เวลาที่เหมาะมาก (ประชดหรือเปล่าเนี่ย) เพราะวันนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเลย ทำให้น่าจะชมหิ่งห้อยได้สนุกกว่าเดิม เพราะเราจะเห็นหิ่งห้อยได้ใกล้ชิดกว่า เมื่อเทียบกับมาวันเสาร์หรือวันอาทิตย์

เมื่อทีมงานเราทุกคนได้ถูกบรรจุใส่เรือของพี่แอนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ดูหิ่งห้อยในเวลางาน (มีใครบ้างจะได้ดูหิ่งห้อยในเวลางาน ฮา) เสียง พรื๊ด ....พรื๊ดๆๆๆ ..เป็นสัญญาณว่า เรือของพี่แอนใจดีกำลังออกจากตลาดน้ำอัมพวาแล้วครับ ในช่วงที่เรือแล่น พี่แอนใจดีก็จะมีการหยุดบ้าง แล่นบ้าง และช่วงหยุดก็จะมีการบรรยายถึงสถานที่ต่างๆ สองข้างทางแม่น้ำที่เรือผ่านไป มีทั้งวัด บ้านริมน้ำ และป่า เป็นต้น และแล้ว...หิ่งห้อย พระเอกในการท่องเที่ยวครั้งนี้ก็ได้ออกมาให้ยลโฉม มันสร้างแสงตามธรรมชาติโดยไม่ต้องยืมแสงอาทิตย์หรือแสงจากหลอดไฟแต่อย่างใด ภาพหิ่งห้อยที่รวมตัวกันบนต้นลำพู มันช่างสวยงามมากครับ เหมือนหลอดไฟคริสมาสต์เลยครับ

หลังจากเราแล่นเรือกลับมาที่ท่าน้ำก็กินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเต็ม ผมได้ดื่มด่ำกับความสวยงามตามธรรมชาติที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถสร้างทดแทนขึ้นได้เลยครับ แม้ว่ามนุษย์จะสร้างหลอดไฟหรือโคมไฟระย้าที่สวยงาม แต่สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวก็ไม่สามารถทดแทนความงามในแบบธรรมชาติได้หรอกครับ (พูดถึงความสวยแบบธรรมชาติก็นึกถึง รัศมี รีสอร์ท ในทริปก่อนหน้า) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะช่วยกันรักษาและดูแลธรรมชาติให้อยู่นานเท่านานด้วยนะครับ

หลังจากทัวร์หิ่งห้อยแล้วเสร็จ รถตู้ก็รีบวิ่งหน้าตั้งมายังจังหวัดสมุทรสาครครับ โดยเราใช้ทางลัดที่สุโค่ยมากครับ ลูกรังทั้งนั้น รถตู้สั่นเป็นเจ้าพ่อเข้าเลยครับ พอลงจากรถตู้ก็มีกลิ่นน้ำปลามาต้อนรับก่อนเพื่อนเลยครับ (ก็ดินแดนโรงงานนี่นา) เก็บของเสร็จ เข้าห้องพัก โรงแรมเซ็นทรัลเพลส ดูนาฬิกาก็เวลา 22.00 น.แล้วครับ ไม่นานร่างกายก็ฟ้องจิตใจให้นอนเหอะ ในเวลา 23.20 น. จิตใจก็ตามใจร่างกายในทันที

อย่าลืมติดตามต่อไปนะจ๊ะ ว่า CSR Campus ของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป
ราตรีสวัสดิ์ พี่น้องชาวไทย


ราชบุรี


การเดินทางของเราใช้เวลาค่อนข้างจะนานนิดหนึ่งครับ เพราะพวกผมจะดูหนังกันบนรถ เหอๆ เรื่อง “ความจำสั้น แต่รักฉันยาวครับ” เลยบอกว่าไม่ต้องรีบเอาแบบสบายๆ มีหลายมุขเลยที่ใช้ได้ครับ จากกาญจนบุรีถึงเมืองที่มีตลาดน้ำที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย และเป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเดินทางมาที่นี่ จ.ราชบุรีครับ

พี่คนขับรถของเราก็ดีใจกันใหญ่ครับ เพราะเป็นถิ่นเกิดของแกเลย อธิบายใหญ่เลยครับว่าตรงนั้นมีอะไรเที่ยว อะไรอร่อย มีโรงงานอะไร มีข่าวอะไรบ้างสมัยก่อน ได้ฟังประสบการณ์จากผู้ใหญ่ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งครับ เพราะสมัยเด็กๆ ผมนอนฟังลุงเล่าประวัติทุกวัน การที่บ้านของเรามีผู้สูงอายุอยู่ก็จะทำให้จิตใจเราอ่อนโยน รู้จักเอาใจและรู้จักความเป็นห่วงเป็นใยกันได้ครับ นี่ผมมานั่งระลึกชาติอะไรเนี่ย......ครับ เรามาถึงประมาณเกือบสามทุ่มเห็นจะได้ ไม่รอช้าครับ รีบเขียนให้ท่านที่ติดตามการเดินทางของเราได้อ่านทันที เหอๆๆ ส่วนอาจารย์ผมหลับฝันถึง.....สาวสวยไปไหนต่อไหนแล้ว เลยต้องมานั่งคนเดียว ไม่มีใครโทรมาเลยยยยย...ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ..ล้อเล่น

ก๊อกๆๆ! ผมลุกขึ้นเปิดประตูห้องให้พี่คนขับรถเข้ามาอาบน้ำเหมือนทุกวัน และก็ติดตามฟังข่าวสารจากรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” หลังจากที่ทุกท่านแปลงโฉมกันแล้ว เราก็ได้มายังห้องอบรมซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่งของโรงแรม ผมว่าที่นี่สร้างได้เรียบๆ แต่สวยถูกใจบอกไม่ถูก ไปแต่ละที่ก็มีความแตกต่าง ถ้าเอามาผสมกันคงจะสวยงามน่าดู ผมยังไม่ลืมการตกแต่งของร้านอาหารจากจังหวัดกาญจนบุรีเลย ชอบมากกกก...ครับ

เราได้จัดอบรมกันที่ห้องดาวเรือง โรงแรม Western Grand Hotel วันนี้ไม่มีสถาบันการศึกษาครับ ผมเลยต้องวางมาดหน่อยครับ เหอๆ ไม่งั้นจะดูไม่สุภาพ ไม่เรียบร้อยและจะได้เป็นที่เอ็นดูด้วย การบรรยายได้เริ่มขึ้นและเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกท่านก็ดูสนใจกันดี อีกแล้วครับที่ใครๆ ก็ต้องการวีดีทัศน์ของเรา (ท่านอาจารย์ครับ ต้องขอเพิ่มแล้วมั้งครับ ฮ่าๆ)

กิจกรรมช่วงเช้าในเรื่องของหน้าที่พลเมืองและมุมมองของความเป็นพลเมืองบรรษัท มีผู้เสนอในหัวข้อการเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ทำด้วยความตั้งใจและทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเพื่อคนในชุมชน และอยากเห็นความเป็นพลเมืองบรรษัท ที่องค์กรธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างถูกต้องและโปร่งใส ส่วนผู้นำเสนออีกท่านได้เลือกอภิปรายในหัวข้อการไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายวาจาหรือแม้คิดด้วยใจ คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม สังคมและประเทศชาติจะได้ดีขึ้น และท่านสุดท้ายก่อนที่เราจะไปพักรับประทานอาหารว่างได้นำเสนอว่า พลเมืองต้องเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนาอย่างเคร่งครัด อยู่ในศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่โกหก ไม่ประพฤติผิดในกามและไม่ดื่มสุรา ผู้ที่ทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัวและสังคม อีกทั้งอยากให้ผู้ประกอบการทำตัวเป็นองค์กรพลเมืองที่ดีด้วยการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล

วันนี้การรับประทานอาหารกลางวันเป็นไปอย่างคึกคัก เพราะเรานั่งกับผู้เข้าร่วมที่มีประสบการณ์ มุขเยอะและพูดค่อนข้างเก่ง ท่านอยากให้จัดอบรมแบบนี้บ่อยๆ และอยากให้ผู้บริหารมาเข้าร่วมเยอะๆ ที่สำคัญคือ อยากให้เน้นเรื่องความโปร่งใสมากๆ หน่อย เหอๆ ยังบอกอีกว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน มีท่านหนึ่งบอกว่า โดนหลอกให้ซื้อของเสียเงินไปเป็นแสนเลย แล้วคนขายก็หนีไปอีก เสียเส้นมากๆ ก็เป็นประสบการณ์ไปครับ ก็มีการแลกเปลี่ยนความคิดร่วมกันในโต๊ะอาหารพร้อมกับรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยมากเลย

มาถึงการนำเสนอในช่วงบ่าย เริ่มจากหัวข้อการสร้างความเข้าใจเรื่อง CSR ขององค์กร ด้วยการจัดกิจกรรมให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ ประกวดความคิดเกี่ยวกับ CSR และประเมินผล ในอันที่จะนำไปสู่ความร่วมมือ การพัฒนาที่ยั่งยืน เพิ่มรายได้และลดต้นทุน อีกท่านหนึ่งเสนอว่าอยากให้พนักงานในองค์กรทุกคนเข้าใจเรื่อง CSR อย่างทั่วถึง ให้ทราบถึงบทบาทของตนเองและปลูกจิตสำนึกด้วย มีการยกตัวอย่างด้วยการวาดรูปประกอบด้วยครับ ส่วนในหัวข้อการการสื่อสารเรื่อง CSR ในองค์กร ที่เสนอให้มีการสื่อสารทำความเข้าใจ โดยการพิมพ์เป็นเอกสารแจกหรือใช้วิทยุชุมชนบอกเล่าบ่อยๆ ทุกวัน ถ้าทำได้ก็จะเป็นหมู่บ้านตัวอย่างและน่าอยู่ คนในชุมชนจะได้ประโยชน์ร่วมและยังรวมไปถึงจังหวัดด้วย

ในช่วงกิจกรรม CSR สร้างสรรค์ท้องถิ่น มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจ เช่น “โครงการลดสิ่งปนเปื้อนในน้ำทิ้งเมืองราชบุรี” ที่เสนอให้มีการจัดทำเครื่องมือและอุปกรณ์ในการกรองน้ำเสียออกสู่ท่อน้ำทิ้ง ด้วยวิธีง่ายๆ โดยการใช้ปูนก่อเป็นท่อชาวบ้านเรียก “รอง” ใส่ทราย ถ่านและเปลือกหอยทำเป็นที่กรองน้ำ ต้นทุนไม่สูงและใช้ประโยชน์ได้ดี รวมทั้งเคลื่อนย้ายจัดวางสะดวก อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ต้องมีความพร้อมและราคาไม่แพง กิจกรรมนี้ควรจะมีการจัดทำชุมชนตัวอย่าง เพื่อเป็นต้นแบบในการรณรงค์ ต้องประชาสัมพันธ์สู่ประชาชนทั่วไปและจัดประกวดชุมชนดีเด่นด้านการกำจัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำ ประเมินผลโครงการด้วย ที่สำคัญที่สุด ชุมชนต้องมีความเข้าใจ ที่สุดแล้วปัญหาน้ำเสียจะลดลง สุขภาพของประชาชนในชุมชนจะดีขึ้น

กิจกรรมต่อมามีชื่อว่า “โครงการกำจัดควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์และมอเตอร์ไซค์” ที่ต้องการเห็นการให้ความรู้กับคนในชุมชน การสาธิตการใช้อุปกรณ์และเน้นถึงการใช้งานของเครื่องมือ การรณรงค์ให้มีการใช้งานอย่างทั่วถึง การจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างจากวัสดุในชุมชนและเข้าสู่กระบวนการอุตสาหกรรม การทำอุปกรณ์ที่ใช้วัดความเข้มของก๊าซคาร์บอนในอากาศ การประเมินผลและนำไปพัฒนาเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น โครงการนี้หากดำเนินการได้ดี จะทำให้สุขภาพของคนในจังหวัดดีขึ้น คนป่วยน้อยลง

อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “โครงการใช้ประโยชน์จากมูลสุกร” ที่เสนอให้มีการรวมกลุ่มในชุมชนที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพใช้ในครัวเรือน มีการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางวิธีปฏิบัติ มีการสรุปงบประมาณในการดำเนินงาน และขอการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง สำหรับกากของเสียที่เหลือ จะนำเข้าไปสู่กระบวนการทำปุ๋ยชีวภาพ เพื่อเป็นการสร้างธุรกิจต่อไป ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ช่วยประเทศในการนำเข้าด้านพลังงาน อีกทั้งยังช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วย

หลังจากที่กิจกรรมเวิร์คช็อปเสร็จไม่นานนัก ก็มีกลุ่มบุคคลประมาณ 7 คน สวมชุดสีฟ้าพร้อมกับหน้าตาที่คุ้นเคย ได้เดินเข้ามาในห้องประชุม ตอนแรกผมก็คิดในใจว่า อะไรงานเสร็จแล้วเพิ่งจะมา จ๊ากก......ที่แท้เป็นพี่ๆ ที่สถาบันฯ อีกทีมนั่นเอง ผมหลอนเลย พูดอะไรไม่ออกเลยครับ เป็น Big Surprise มากๆ ครับ แต่ก็ดีใจที่พี่ๆ เป็นห่วง เอ..หรือจะมาจับผิดอะไรรึป่าวไม่รู้ ฮ่าๆ ในที่สุด อาจารย์วุฒิพงศ์ก็ได้กล่าวปิดงาน และกล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีครับ

คุณอนุชา โชติจักรดิกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทโตโยต้าธีระชัย ราชบุรี และเคยเป็นอดีตอาจารย์ ได้ให้ความคิดเห็นต่อการเข้าร่วมกิจกรรม CSR Campus ครั้งนี้ว่า “เป็นประโยชน์ต่อองค์กรในเรื่องเกี่ยวกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม ปีที่แล้วก็ได้มาอบรมและได้นำความรู้ความเข้าใจไปทำกิจกรรม ปัจจุบัน เรากำลังดำเนินกิจกรรม ISO 14000 อยู่ ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ลดผลกระทบต่อชุมชนและต่อสังคม รู้สึกว่าการมาอบรมในวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและส่วนรวม สำหรับเรื่องหน้าที่ของการเป็นองค์กรพลเมืองที่ดี จะนำไปขยายผลให้เพื่อนพนักงานได้ใช้ในการทำประโยชน์เพื่อสังคม ไม่ใช่ว่าทำในหน้าที่อย่างเดียว แต่ควรจะต้องทำให้เกิดการอาสาทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมหรือสังคม นอกเหนือจากหน้าที่ได้ด้วย เรื่องหน้าที่พลเมืองยังสามารถนำไปสอนในสถาบันการศึกษาได้อีกด้วย”

หลังจากแขกผู้มีเกียรติได้แยกย้ายกันกลับแล้ว ผมและอาจารย์วุฒิพงศ์ได้เข้าไปทักทายกับทีมงานที่มาเยี่ยมเยือนกัน ก็เป็นที่สนุกสนานเฮฮา เหมือนกับไม่ได้เจอกันมาเป็นเดือน อาจารย์ดูจะดีใจมากครับ ฮ่าๆ เพราะ...ภรรยาสุดสวยของท่านก็มาด้วย ผมก็ดีใจครับที่พวกพี่ๆ มา เพราะไม่ได้โดนบ่นมาหลายวันแล้ว หู..รู้สึกจะกลับมาเป็นปกติเกินไป โดยเฉพาะเสียงจากคุณพี่ออฟกับคุณพี่ซีครับ เป็นตัวกระตุ้นให้การทำงานมันยิ่งขึ้นครับ ฮ่าๆๆ แต่ก็ไม่ต้องบ่อยนะ เดี่ยวต้อแต้...ล้อเล่นครับ การที่ผู้ใหญ่ว่า เราจะได้ปรับปรุงครับ เป็นคำสอนไปในตัวอีกด้วย

เอาละครับ การเดินทางของจังหวัดนี้ก็ได้สำเร็จเสร็จสิ้นลงด้วยดี เราก็จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดข้างหน้าพร้อมกับอีกทีมงานที่มาหาเฉยๆ (-_-‘) ครับ จ๊ากก...!! ตายละหว่า..ในรูปทีมสีฟ้า รู้สึกจะขาดคุณแม่ใหญ่ไปนะครับ (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร) ผมคงบอกไม่ได้ ฮ่าๆๆ เลยอดเห็นความงดงามเลย เอาไว้โอกาสหน้าผมจะเอารูปขึ้นให้ทุกท่านได้เห็นนะครับ


วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เพชรบุรี


วันนี้ตื่นมาตอนประมาณ 6.00 น. มองดูทิวทัศน์รอบๆ ไม่หรูเหมือนโรงแรมรีสอร์ทที่ผ่านมา แต่บรรยากาศดันเหมือนบ้านเกิดเลยครับ ใช่แล้วครับ วันนี้ผมตื่นจากการนอนหลับด้วยความสนิทอย่างสูง ณ บ้านเกิดผมเองครับ จังหวัดเพชรบุรี ต้องขอเท้าความก่อนว่า เมื่อวานกระผมเพิ่งไปรับปริญญามาครับ (ครั้งที่ 2 แล้วครับ) ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ทำให้การเล่าเรื่องแคมปัสเมื่อวานที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์บอยครับ ส่วนในวันนี้ กระผมได้มีโอกาสกลับมานอนพักที่บ้านอันแสนอบอุ่น ถึงแม้ว่ามันจะไม่หรูหราเท่าโรงแรมที่ผ่านมา แต่ที่แห่งนี้ ก็เป็นสถานที่สร้างเด็กหนุ่มใส่แว่นคุณภาพดีคนนี้สู่โลกกว้างนะครับ

ก่อนอื่นต้องขอย้อนไปบรรยากาศรับปริญญาซักเล็กน้อยนะครับ เพราะว่าช่างเกี่ยวกับ CSR มาก ๆ (ยังไงต้องติดตามต่อ) ช่วงที่อยู่ในห้องรับปริญญาก็จะเห็นทหารรักษาพระองค์คอยยืนเฝ้าตรวจตราตามจุดต่าง ๆ ซึ่งวันนี้มีบัณฑิตประมาณ 2,700 คน ท่านเหล่านี้ช่างทำหน้าที่ได้ดีมากครับ ยืนตลอดตั้งแต่มอบปริญญาบัตรบัณฑิตคนแรกยันบัณฑิตคนสุดท้าย ถ้านับเป็นเวลาก็คงตั้งแต่บ่ายโมงกว่า ๆ ยันห้าโมงเย็นเลยครับ มีน้ำอดน้ำทนกันระดับมืออาชีพเลยครับ ยิ่งมาหวนนึกถึงบทบาทหน้าที่ของทหารจริงๆ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยิ่งเห็นในความเสียสละและอดทนอย่างที่สุด

ส่วนตัวกระผมเป็นคนฟังเพลงค่อนข้างหลากหลาย และได้มีโอกาสฟังเพลงที่ชื่อว่า 'ราตรีสวัสดิ์' ฟังชื่อแล้วดูเหมือนเพลงธรรมดาสามัญทั่วไป แต่เพลงนี้ได้มุ่งหมายถึงทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบรักษาประเทศชาติ แม้ต้องสละชีวิตก็ตาม (ฟังแล้วตื้นตันครับ เป็น CSR ระดับสละชีพเลยครับ) ลองดู MV กันได้นะครับว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร



วันนี้ผมได้รับเกียรติจากบุพการีมาชมการบรรยายด้วยทั้งสองท่าน คือ คุณพ่อกับคุณแม่ผมนั่นเอง (วันนี้เลยต้องแสดงฝีมือมากหน่อย) เวลา 8.00 น. เราก็มาถึงโรงแรม รีเจนท์ ชาเล่ต์ ชะอำ บรรยากาศช่างสุโค่ยอีกแล้วครับ ท่านผู้ชม (blog) เพราะโรงแรมนี้ติดทะเลครับ ด้านหน้าโรงแรมเป็นหาดส่วนตัว และมีสระว่ายน้ำตรงกลาง(มีฝรั่งว่ายน้ำประปราย เด็กต่ำกว่า 18 ห้ามมอง) ส่วนในบริเวณที่รับประทานอาหารว่างจะเป็นสวนหย่อมมีต้นลีลาวดีโอบล้อมอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้เข้าร่วมอบรมในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตร และตัวแทนจากสถานประกอบการต่างๆ ทั้งในจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีผู้นำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การเป็นผู้มีเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ที่โดยส่วนตัวจะไม่ชอบการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ทำให้เกิดผลดีต่อบรรยากาศในที่ทำงาน ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัท อยากให้องค์กรธุรกิจมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะปัจจุบันพนักงานบริษัทมีเวลาค่อนข้างน้อยในการเข้าวัด องค์กรจึงควรมีการเน้นเรื่องศาสนธรรมในที่ทำงาน สำหรับหัวข้อต่อมา เป็นเรื่องของความสัตย์ โดยการไม่โกงใคร และรักษาคำพูดในสิ่งที่ตนได้สัญญากับผู้อื่นไว้ ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัท อยากให้องค์กรไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เพราะถ้าองค์กรไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม ก็จะทำให้การอยู่ร่วมกันระหว่างสังคมและองค์กรเป็นไปด้วยดี

ต่อมาเป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง CSR เชิงระบบ ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การเพิ่มความเชื่อถือได้ในการดำเนิน CSR ขององค์กร ด้วยการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนใกล้เคียงให้มากขึ้น เช่น การบำเพ็ญประโยชน์เนื่องในวันสำคัญ วันสงกรานต์ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ วันแม่แห่งชาติ หรือวันพ่อแห่งชาติ เป็นต้น และในหัวข้อความสัมพันธ์ของคุณลักษณะองค์กรกับเรื่อง CSR โดยวิทยาลัยเกษตรเสนอว่าจะให้ความรู้ในเรื่องการเลี้ยงปลาแก่ชุมชนใกล้เคียง เพื่อให้ชุมชนสามารถเลี้ยงปลาด้วยตนเองและเพื่อไว้บริโภคในครัวเรือนได้

กิจกรรมเวิร์คช็อป Creative CSR มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากมาย คือ "โครงการเผยแพร่ความรู้ไข้หวัด 2009 สู่ชุมชน" โดยจะเน้นการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล สถานีอนามัย เพื่อให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แก่ชุมชน ผ่านทางผู้นำชุมชน ทำให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ มีความรู้เกี่ยวกับโรคที่ชัดเจน สามารถนำไปป้องกันโรคหวัด 2009 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจต่อมา ได้แก่ "โครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สถานที่ประวัติศาสตร์" โดยจะมีการเน้นให้นักศึกษา และปราชญ์ชาวบ้านมาเป็นมัคคุเทศก์และให้ความรู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ต่างๆ เช่น เขาวัง วังบ้านปืน และวัดใหญ่สุวรรณาราม รวมทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมด้วยการแฝงการละเล่นพื้นเมืองและสินค้าโอทอปไปในการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากขึ้น และชาวจังหวัดเพชรบุรีก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับกิจกรรมส่งท้าย คือ "โครงการควบคุมประชากรสุนัขจรจัด" ซึ่งหน่วยงานที่ควรเข้ามาร่วมในโครงการ คือ ปศุสัตว์จังหวัด และนักศึกษา โดยจะเน้นการให้ที่พักอาศัยแก่สุนัขจรจัด การรักษาโรค และการทำหมัน กิจกรรมนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่วัด (ไม่เป็นภาระของวัดที่ต้องเลี้ยงดูสุนัขจรจัด) ชุมชนต่างๆ รวมถึงนักศึกษาที่จะได้ลงมือปฏิบัติงานจริงก่อนการทำงาน

วันนี้เราได้รับเกียรติจากอาจารย์กาญจนาพร ภู่เจริญพาณิช จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งอาจารย์ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ CSR Campus ปี 2 ดังนี้ “ปกติเราจะเป็นส่วนของราชการ ซึ่งจะไม่ค่อยทราบความรู้ทางภาคธุรกิจมากนัก โดยการมาสัมมนาวันนี้ทำให้เรามีความรู้ CSR เพิ่มเติมจากเดิมที่ไม่เคยรู้มาก่อน และความรู้ดังกล่าวทำให้เรามีวิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้น โดยในส่วนพลเมืองบรรษัทจะเป็นวิชาที่สำคัญมากที่ต้องนำไปถ่ายทอดแก่นักศึกษา เพราะต่อไปนักศึกษาก็จะออกไปประกอบธุรกิจ และสามารถเรื่องพลเมืองบรรษัทไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจด้วย “

วันนี้งาน CSR Campus ของจังหวัดเพชรบุรีก็จบลงด้วยดี แต่โดยส่วนตัว กระผมเศร้านิดๆ ที่จะต้องจากบ้านไปแล้ว แต่ก็คิดว่า สักวันเราก็ต้องได้กลับมาอีก อิอิ หลังจากนั้นเราก็เริ่มมุ่งหน้าออกจากโรงแรมไปไหว้พระที่วัดเขาบันไดอิฐ ซึ่งมีพระที่ชาวเพชรบุรีให้ความเคารพสักการะ คือ หลวงพ่อแดง (ที่บ้านก็ได้ให้กระผมห้อยพระหลวงพ่อแดงมาตั้งแต่เด็ก) หลังจากได้กราบพระเรียบร้อย กระผมก็ตรงไปที่ตู้เครื่องรางของขลังทันที ผมได้เช่าผ้ายันต์มหาลาภมาไว้เป็นเครื่องคุ้มภัยครับ

จากนั้น รถตู้ก็เริ่มแล่นออกจากวัดเขาบันไดอิฐ เข้าเมืองมุ่งหน้าไปที่บ้านกระผม (ทีมงานจัดให้..) เพื่อไปรับของขวัญวันรับปริญญาจากแม่ผมครับ อีก 100 เมตร ......20 เมตร ......5 เมตร และแล้วเราทั้งหมดก็มาอยู่ตรงหน้าบ้านพอดิบพอดี ไม่นานนักก็มีผู้หญิงสูงศักดิ์เดินมาเปิดประตู ใช่แล้วครับ หม่อมแม่ผมเอง วันนี้ท่านสวมชุดสบายๆ (ชมพูแป๊ด) กำลังทำกิจส่วนของบ้านอยู่นั่นก็คือ ถูบ้าน ครับ คุณแม่ได้นำทอง(ม้วน) เป็นของฝากเพื่อนๆ ที่สถาบันฯ ครับ ประมาณ 6 ถุง ส่วนของขวัญของผมก็คือ ผ้าห่มครับ! คุณแม่กลัวลูกอยู่ในที่ห่างไกลห่างจากอ้อมอกแม่ แล้วจะขาดความอบอุ่น กลัวว่าลูกเมื่อขาดความอบอุ่น แล้วจะไปพึ่งยาเสพติดหรือมุ่งไปในทางที่ผิด คุณแม่จึงมอบผ้าห่มให้ผมเป็นของขวัญครับ(ขอบคุณมากครับคุณแม....ม...ม....ม่)

พอดีเรามีโอกาสผ่านร้านอาหารพวงเพชร จึงไปฝากท้อง (ไม่ใช่ฝากครรภ์นะครับ) และอาหารพวงเพชรก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังครับ เพราะรสชาติอาหารจัดจ้านเหมาะกับทีมงานที่จัด (ว่าเป็นคนหน้าตาดี) เจนดูเป็นมืออาชีพทุกท่านครับ และแล้วการเดินทางเพื่อไปสู่จังหวัดต่อไปก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง รถตู้มาถึงที่พักชื่อ บ้านทะเลสีครีมรีสอร์ท ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เข้าห้องเรียบร้อยก็เริ่มทำงานต่อ (รวมถึงเขียน Blog ด้วย) จนเวลาล่วงเลยมาถึง 22.00 น. ก็เริ่มปฏิบัติภารกิจส่วนตัวจนหัวถึงหมอนเมื่อเวลา 22.30 น.(นอนเร็วกว่าทุกทริปครับ) แล้วมาติดตามกันต่อนะครับว่าพรุ่งนี้ CSR Campus ของเราจะเป็นยังไงต่อไป ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย


กาญจนบุรี


ระหว่างทางที่เราเดินทางกันต่อนั้น อาจจะลำบากซักนิดหนึ่งครับ เพราะว่ามีฝนตกลงมาค่อนข้างหนักในช่วงแรก แต่ก็ถึงเมืองสองแควโดยสวัสดิภาพครับ จ.กาญจนบุรี นั่นเอง ไม่รอช้าครับ กลุ่มเราไม่เคยจะสนใจอะไรเท่าปากท้องอีกแล้ว มุ่งหน้าสู่ร้านอาหารทันที “ร้าน The Resort” ตกแต่งได้งดงามมากๆ ผมไม่เชื่อเลยว่าแถบชานเมืองมีไอเดียแบบนี้ อ่านแล้วอาจจะว่าผมเว่อร์ แต่ก็ดู Classic มากๆ และเพลงที่เปิดก็เป็นเพลงที่ผมก็ยังไม่เกิดเลย แต่อาจารย์วุฒิพงศ์บอกว่าเคยได้ยิน ฮ่าๆ ไม่ต้องสงสัยเรื่องอายุ...

ถ้าทุกท่านมีโอกาสก็ลองไปดูนะครับ แล้วท่านจะประทับใจโดยเฉพาะการออกแบบห้องน้ำ Modern Style ยอดมาก ผมจะจำเอาไว้ไปตกแต่งที่บ้านบ้างครับ ในส่วนของอาหารก็อร่อยครับ แต่เค้กผสมกาแฟกับช๊อคโกแลตเนี่ย มันช่างเหมาะกับหนุ่มๆ อย่างผมเสียจริง ว่าจะซื้อซัก 2ปอนด์ แต่เดี๋ยวจะมาลำบากทีหลังต้องมานั่งรีดไขมันอีก...เลยไม่ดีกว่าครับ

ได้ถ่ายรูปกับระเบิดของจริงป่าวไม่รู้ (พี่คนขับรถบอกว่าของจริงแต่มันด้าน) และสะพานข้ามแม่น้ำแควด้วย ต่อมาเราก็ได้ไปต่อที่ตลาดนัดครับ พี่ๆ ก็เล่นปาลูกดอกด้วยครับ แต่ผมไม่ครับ เพราะรู้ตัวเองว่าทำไม่ได้อีกอย่างเคยเล่นเสียมาเยอะแล้ว ในที่สุดพี่ๆ ก็ไม่ได้รางวัลซักอัน T-T เสียเงินไปฟรีๆ ได้แต่รางวัลปลอบใจ (ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ) เหอๆ

ณ โรงแรมริเวอร์ แคว ผมตื่นมาก็รู้สึกเตียงมันโล่งๆ หมอนทั้งหลายตกอยู่ข้างเตียงนี่เองครับ เพราะ...เหอๆ อย่าเข้าใจผิดครับ ที่นี่ให้หมอนต่อเตียงถึง 4ใบครับ ผมก็ไม่รู้จะหนุนใบไหน กอดใบไหนมันเยอะไปหมด จะกอดหมดเลยก็ดูเหมือนจะเป็นการส่อแววเจ้าชู้อีก (--,) จ๊ากๆๆ เลิกพูดดีกว่าครับเดี๋ยวจะเข้าตัวเอง..

วันนี้มีน้องๆ นักศึกษามากันเยอะเลยครับ แต่ละคนดูท่าจะกลัวอาจารย์น่าดูครับเ พราะมารยาทดีทั้งนั้น ผมได้ยินอาจารย์ของน้องๆ มาบอกให้อ่านหนังสือเข็มทิศธุรกิจเพื่อสังคมที่ทางเราแจกให้กับทุกท่าน ผมประทับใจเลย โหวว.. หลังจากที่ทยอยกันมาเริ่มเยอะ ผมเริ่มกล่าวทักทาย และน้องๆ ที่มาเข้าร่วมอบรมในวันนี้ ก็ยกมือไหว้กันสลอน มารยาทงามน่าชมเชยจริงๆ เป็นเพราะอาจารย์ขัดเกลามาดีแน่ๆ ถามอะไรก็ตอบ แหม่..มันต้องอย่างนี้ซิครับ การอบรมถึงจะมีรสชาติ เล่นเกมตอบคำถามก็จำได้หมด ผมเลยไม่รู้จะเอาอะไรมาแจกแล้ว ถามถึงเรื่องเกษตร นักศึกษาจากสายเกษตรก็ตอบได้ฉะฉาน ฝั่งอาจารย์จากสายเทคนิคก็บอกให้ถามเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบ้าง ฮ่าๆๆ ไม่ยอมกันเลยครับ

วันนี้ผู้ที่นำเสนอท่านแรกในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง ได้เสนอในหัวข้อการมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ โดยตัวเองจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี มีความสำนึกในความเป็นไทยโดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาสอน นำคำสอนมาพัฒนาหลักสูตรการสอนในแบบวิถีชีวิตพอเพียง ปลูกจิตสำนึกให้กับนักเรียนนักศึกษา เผยแพร่คำพ่อสอนและสอดแทรกความรู้ในชั้นเรียน คนไทยจะได้ประโยชน์โดยทั่วกัน อีกท่านได้เสนอว่า ตนนั้นเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฏหมายของประเทศบ้านเมือง เพราะเราเป็นเยาวชนและต้องรักษากฏหมาย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่บุคคลต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม จะได้มีความสุขทุกคน และไม่เกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ส่วนในเรื่องบรรษัทพลเมืองนั้น อยากให้องค์กรธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างถูกต้องและโปร่งใส

ช่วงพักรับประทานชากาแฟและสนทนากัน มีน้องๆ หลายคนอยากจะได้ซีดีสารคดี Home มาถามผมว่าแจกได้ไหมพี่ ผมเลยบอกว่าต้องแล้วแต่ดวงคร้าบบ... และในระหว่างจัดโต๊ะกลุ่มเพื่อทำเวิร์คช็อป ผมก็ได้เปิดเพลงให้คึกคักเพื่อจะได้ไม่เบื่อกัน มีผู้เข้าร่วม 3 ท่านมาจากโรงพยาบาล บอกว่าการอบรมดีมากเลย ดีใจที่มาเพราะว่าวันๆ นั่งฟังแต่เรื่อง “หวัด 2009” (เอาน่าอีกไม่กี่เดือนก็หมดแล้ว เพราะปีหน้าก็ 2010 เดี๋ยวก็ไม่มีหวัด 2009 แล้ว เย้...จะดีใจทำไมเนี่ย (T-T) ผมขอยืมมุขหน่อยนะครับอาจารย์พิพัฒน์ ฮ่าๆๆ มุขนี้ทำผมอึ้งกับท่านอาจารย์เลย....ครับ) พี่ๆ เค้าบอกว่า มาในวันนี้ได้รู้อะไรใหม่ๆ เยอะเลย แล้วยังฝากความปรารถนาดีให้กับผมด้วยว่า เดินทางบ่อยๆ ต้องดูแลสุขภาพ แต่ถ้าแข็งแรงก็ไม่ต้องกลัว ไม่มีปัญหาครับ

ส่วนในช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน เราได้นั่งร่วมโต๊ะกับผู้ประกอบการท่านหนึ่งซึ่งได้เปิดกิจการธุรกิจเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ใช้ไฟฟ้า ฟังแล้วน่าสนใจมากครับ ผมยังอยากซื้อมาไว้ที่บ้านซักคัน ท่านได้บอกว่าองค์กรอื่นๆ ในสมัยก่อนก็นำเข้ารถไฟฟ้าเหมือนกัน แต่พอขายได้แล้วไม่นานก็ปิดหนีเหมือนรู้ว่ารถมันต้องมีปัญหาแน่แล้วก็ไม่รับผิดชอบ ในส่วนของบริษัทท่านเองมีการรับประกันคุณภาพสินค้าและรับซ่อมเวลามีปัญหา แล้วยังสาธยายคุณประโยชน์ต่อว่า รถไฟฟ้านั้นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างมาก ไม่ต้องเติมน้ำมันแค่ชาร์จไฟ ถ้ารถแบบอื่นเติมน้ำมัน 50 บาท ขับได้ 1 อาทิตย์ แต่นี้ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง 5 บาท วิ่งได้ 1 อาทิตย์เช่นกัน มีความแตกต่างครับ ถึงจะวิ่งไม่เร็วมากประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็ประหยัดน่าดูครับ พี่เจ้าของยังบอกอีกว่า ตรงกับประเด็น CSR พอดีเลย ไม่เป็นมลพิษและไม่ทำลายธรรมชาติอีกด้วย เป็นองค์กร CSR ตั้งแต่เริ่มกิจการ

วันนี้น้องคนหนึ่งได้ออกมานำเต้นอย่างเมามัน แต่ไม่มีใครสามารถเต้นตามได้ เพราะความพริ้วของน้องเค้านั้นเหลือเกินจริงๆ เหมือนว่าตัวเองอยู่ในงานวัดประมาณนั้น เลยได้รางวัลเป็นเสื้อไปหนึ่งตัวครับ ก็เป็นที่สนุกสนานของน้องๆ และเพื่อนๆ ที่โหวตให้น้องคนนี้ออกมานำเต้นครับ ฮ่าๆ

ช่วงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ CSR เชิงระบบ ประเด็นการสื่อสารเรื่อง CSR เป็นความต้องการของผู้เสนอท่านแรก โดยต้องสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และความสัมพันธ์กับองค์กรอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเพิ่มความเชื่อถือ องค์กรที่ร่วมมือกันก็จะได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น ท่านต่อมาคิดว่าการทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR มีความสำคัญต่อองค์กร โดยต้องหมั่นจัดอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างให้เกิดความรู้ความเข้าใจในนโยบาย เป้าหมาย วิสัยทัศน์และภารกิจอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา นักศึกษาจะมีคุณภาพตามที่ตลาดแรงงานต้องการและมีคุณธรรม ผู้เสนออีกท่านเห็นว่า การบูรณาการเรื่อง CSR นั้นสำคัญ และยังสนับสนุนให้มีการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ จัดกิจกรรมทำความดี ลดอบายมุข ร่วมกันรักษาสภาพแวดล้อม รวมทั้งมีการประเมินกิจกรรมและร่วมกันวิจารณ์ติชม สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้น

สำหรับเวิร์คช็อป CSR เชิงสร้างสรรค์นั้น มีตัวอย่างกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การดำเนิน “โครงการธนาคารขยะ (Bank Rubbish)” ด้วยการขอความร่วมมือและประสานงานให้มีการอบรมเกี่ยวกับผลกระทบจากขยะ มีการจัดตั้งสถานที่รับขยะตามจุดสำคัญและนำไปรีไซเคิล มีการประชุมร่วมกับชุมชนและให้ชาวบ้านเสนอความคิดในการนำขยะมาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยขยะที่ใช้ได้บางส่วนสามารถนำไปทำแจกัน ตะกร้า ฯลฯ เงินที่ได้จากขยะรีไซเคิลก็สามารถนำมาพัฒนาชุมชน ทำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและสภาพแวดล้อมก็น่าอยู่ เชื้อโรคจากขยะก็ลดน้อยลง ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมในช่วงแรกอาจมีอุปสรรคบ้างเพราะความเข้าใจยังน้อย

โครงการถัดมา คือ “โครงการเครื่องวัดปุ๋ยในดิน” เนื่องจากประเทศไทยนั้นมีการทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธาตุอาหารในดินลดลง กิจกรรมนี้ต้องการให้มีการใช้เครื่องวัดสารอาหารในดิน ก่อนที่จะปลูกพืชแต่ละชนิด เพื่อให้รู้ว่าดินบริเวณนั้นมีสารอาหารที่พืชชนิดนั้นต้องการมากน้อยขนาดไหน ทำให้ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเกินความจำเป็น เกษตรกรจะได้ลดรายจ่าย และมีผลิตผลอย่างต่อเนื่อง

ส่วนอีกโครงการที่น่าสนใจ คือ “โครงการผลิตสีเปล่งแสง” ที่นำสีซึ่งมีสารประกอบของฟลูออเรสเซนต์มาทาผนังที่ต้องการแสงสว่าง เมื่อเปิดไฟแค่เพียงเล็กน้อย สีของผนังที่มีสารเคลือบอยู่นั้นจะทำปฏิกิริยาและช่วยทำให้เพิ่มความสว่างมากขึ้น โครงการนี้จะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าไฟได้ อย่างไรก็ดี คงต้องมีการรวบรวมข้อมูลความต้องการของผู้บริโภค และการทดสอบเพื่อหาข้อบกพร่องเพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องต่อไป

อาจารย์เฉลิมชัย สมธูป จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ จ.กาญจนบุรี กล่าวถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า “ได้ทราบข้อมูลจากทางโทรศัพท์ว่าจะมีการจัดอบรม CSR ก็เกิดความสนใจ เคยได้รับการอบรมเรื่อง CSR จากหลายที่ ทั้งจากอาจารย์พิพัฒน์เองก็หลายครั้ง รู้สึกดีใจที่ได้มาจัดให้กับที่นี่ครับ ในวันนี้ได้แนวความคิดในส่วนภูมิภาคที่มีความหลากหลายไปเป็นข้อมูลเพื่อต่อยอด ได้รู้เกี่ยวกับ Creative CSR และก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองด้วย ปัจจุบันเรามีแต่คุยเรื่องสิทธิ์ แต่ไม่รู้เกี่ยวกับหน้าที่ ผมสามารถนำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปแทรกในบทเรียน สอนได้เลย”

ส่วนอาจารย์เพ็ญศรี วงศ์อิทธิกุล จากวิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี ได้กล่าวว่า “วันนี้ได้พานักศึกษามาด้วย ได้ความรู้มากค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้เลยว่าคืออะไร แต่พอได้มาร่วมกิจกรรม ก็รู้สึกว่าเป็นโครงการที่ดีมาก ดีค่ะ ที่มาจัดให้กับจังหวัดของเรา และอยากให้จัดทุกปี เพราะในแต่ละปี จะมีเด็กที่จบออกไปและเปลี่ยนเข้ามาใหม่เรื่อยๆ ความรู้ตรงนี้จะทำให้นักศึกษานำไปสร้างสรรค์สังคม ทุกวันนี้เราสอนเด็กให้มีจิตอาสา และต้องทำยังไงกับตนเอง เมื่อพวกเขาได้มีโอกาสเข้ามารับรู้ตรงนี้ ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมกันสร้างคนดีให้เกิดขึ้น เชื่อว่าเด็กๆ จะได้ตระหนักและออกมาช่วยสังคมได้เยอะทีเดียว”

มีน้องๆ บางส่วนอยากได้วีดีทัศน์ เพื่อไปให้อาจารย์ท่านอื่นได้ดู ก็รู้สึกว่าน้องๆ ในวันนี้ให้ความสนใจดี และก็พยายามที่จะตอบคำถามหลายๆ ครั้ง แม้จะมีเขินอายบ้างตอนออกมานำเสนอ แต่ก็ทำได้ด้วยดี น้องๆ ยกมือไหว้ลากลับ หลังจากที่เราได้กล่าวปิดงานและขออภัยกับสิ่งผิดพลาดประการใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้

และแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีเช่นเคย เราได้นั่งพักกันและไม่ได้รีบที่จะเก็บของนัก เพราะดูทุกท่านเหมือนจะหมดแรงครับ เพราะผู้เข้าร่วมวันนี้เยอะมาก แต่ก็ดีใจครับ ฮ่าๆๆ จะว่าไปแล้วท่านที่ได้ติดตามการเดินทางของกระผม อย่าลืมให้ข้อคิดเห็นติชมด้วยนะครับ ผมจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขในการเดินทางครั้งต่อๆ ไป สำหรับจังหวัดนี้ ขอบพระคุณครับ


วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุพรรณบุรี


สวัสดีครับ!! คิดถึงกันบ้างไหมครับ!! ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ของการว่างเว้นจากแคมปัส กระผมได้มีโอกาสออกกำลังกายเล่น Fitness เพื่อให้กลับมาหุ่นดีขึ้น พร้อมรับมือกับอาหารแต่ละมื้อที่จะต้องเจอในการเดินทางครั้งนี้ครับ ว้าวๆๆ...นี้มันไม่ใช่ทริปชิมทั่วไทยนะครับ การเดินทางในครั้งนี้เราจะต้องไปถึง 4 จังหวัดด้วยกัน ทุกๆ จังหวัดจะอยู่ในโซนภาคกลางแถบตะวันตก หรือจะว่าฝั่งตะวันตกของประเทศไทยก็ได้ครับ

ในระหว่างการเดินทางนั้น สองฝั่งข้างทาง ช่างสงบและมืดยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะผมหลับ ฮ่าๆๆ ตื่นมาอีกทีก็เห็นหอคอยบรรหาร ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าเรามาที่ไหนกัน จ.สุพรรณบุรีแน่นอนครับ สถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ก็ต้อง วัดป่าเลไลยก์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมังกรสวรรค์ สวยงามมากๆ ครับ ทั้งแสงสีที่ส่องไปถึงตัวมังกร เห็นแล้วผมตาค้างเลยครับ “โอว!! แม่จ้าว.....มังกรคนสุพรรณใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ” (ต้องทำสำเนียงคนที่นี่ด้วยนะครับ)สงสัยจะใช้งบประมาณมั่กมั่ก

หลังจากได้ถ่ายรูปที่น่าประทับใจแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ร้านอาหาร “บ้านตอไม้” สถานที่ซึ่งดาราดังๆ หลายท่านมารับประทานอาหารกันค่อนข้างเยอะครับ สังเกตได้จากรูปถ่ายบริเวณทางเข้า บรรยากาศดีมากครับ เป็นโต๊ะติดกับบ่อน้ำและมีปลาเยอะมากๆ อาหารปลาก็แค่ 25 บาทครับ เยอะด้วยเป็นถังเยยย... บรรเลงจบของคาว จนมาถึงของหวาน...หมดครับ เราเลยไปต่อกันที่ร้านไอติมชื่อดังที่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก Swensens ฮ่าๆๆ มาตั้งไกลมากิน Swensens มันช่างยอดมาก (ในเมืองไม่มีมั้งเนี่ย)

รุ่งอรุณต่อมา ณ โรงแรมอู่ทองแกรนด์ ผมอาจจะตื่นสายซักเล็กน้อยครับ เพราะเมื่อคืนผมได้ดูรายการ “Tonight Show” ประทับใจกับโรงแรม 7 ดาวที่ “อาบูดาบี” ทุกอย่างต้องมีทองเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้นเลย เกินพอดีไปหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่แน่ใจครับ ขนาดขนมหวานหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังมีทองที่ใช้โรยและรับประทานได้ด้วย ราคาต่ำสุดที่จะเข้าพักต่อคืนก็แค่ 800,000 – 1,000,000 บาทเท่านั้นเองครับ (ผมว่าจะไปซักเดือน -_-‘) ถูกกว่ารถเบนซ์หน่อยเดียวเองครับ เหอๆๆ ว่าจะไปนอนข้างๆ กำแพงนะครับ เผื่อทองจะติดผิวผมมาบ้าง

วันนี้มีผู้เข้าอบรมค่อนข้างเยอะมาก ช่วงลงทะเบียนก็มายืนต่อคิวกันเต็มไปหมดเลยครับ ไม่รู้มาจีบผู้ช่วยสาวสวยของทางสถาบันฯ เรารึป่าว ฮ่าๆ ทุกท่านได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และผมได้พูดคุยกับน้องๆ บ้าง มีแซวบ้าง เพราะวัยก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไร การบรรยายได้เริ่มขึ้นอย่างอบอุ่นคึกคักประมาณ 9.30น. มีผู้ให้ความสนใจกับวีดีทัศน์ของเรา และต้องการข้อมูลเพื่อจะเอาไปเผยแพร่ให้กับนักศึกษาและเพื่อนๆ พนักงานในองค์กรให้ได้รับความรู้ และได้ตระหนักถึงความเสื่อมโทรมของโลกในขณะนี้ ดูสภาพว่าโลกเราเป็นยังไง เสียหายขนาดไหน และเราทุกคนควรจะคิดและตอบแทนยังไง ส่วนน้องๆ นักศึกษาเองก็มีการยกมือตอบเวลาที่ผมมีเกมคำถาม และเวลาที่ท่านวิทยากรถามกันอย่างขะมักเขม้นครับ

ในช่วงเบรค หลังจากที่ได้จัดโต๊ะกลุ่มเรียบร้อยแล้วนั้น มีพี่ผู้หญิงชมวิทยากรผ่านทางผมว่า อบรมได้เข้าใจง่ายและมีความรู้เยอะ ผมก็ดีใจไปด้วย เหอๆ มีการพูดคุยกับท่านที่เข้าร่วมอบรมเมื่อปีที่แล้ว จาก SAR (Search And Rescue) อารมณ์คงเป็นหน่วยกู้ภัยครับ ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกิจกรรมต่างๆ และได้พูดถึงงานที่ท่านทั้งหลายได้ทำมาว่าเกี่ยวเนื่องกับ CSR เพราะการช่วยเหลือชีวิตคน ถือเป็นบุญอย่างมาก มีการพูดถึงเรื่องดำน้ำและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันในด้านต่างๆ อีกด้วย

ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมืองนั้น มีน้องคนหนึ่งได้ชี้ว่าเราควรมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ และอยากเห็นองค์กรธุรกิจส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจ รวมทั้งใช้เป็นหลักในการทำงานและดำเนินชีวิต ขณะที่ตัวแทนจากโตโยต้าสุพรรรบุรี ได้ให้ความสำคัญกับหัวข้อการเป็นผู้มีความพากเพียรและเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมและการมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยขยายความว่า ต้องทำงานอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม สุจริต ไม่เอาเปรียบ และปฏิบัติตนอย่างพอเพียง ทั้งยังเน้นว่า อยากให้ผู้ประกอบธุรกิจแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล และต้องอยู่ในศีลธรรม ต้องส่งเสริมและปลูกจิตสำนึกที่ดีในส่วนของความเป็นพลเมืองบรรษัทด้วย ส่วนน้องนักศึกษาอีกท่านหนึ่งได้ย้ำถึงว่าต้องมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว เพราะปิดท้ายด้วยภาษิต ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ

ในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน เราได้ร่วมโต๊ะกับอาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ได้เอ่ยปากแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองสุพรรณเป็นฉากๆ จากนั้น ผมได้ขอปลีกตัวมานั่งในห้องอบรมก่อน หลังจากที่จัดการกับอาหารในส่วนของผมเรียบร้อยไปแล้ว ในระหว่างนั้น ผมก็ได้มีโอกาสพบกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเคยเป็นทหารเรือและได้ทำงานรับใช้ราชการและสังคมมาโดยตลอด ได้กรุณาเข้ามาพูดคุยพร้อมให้คำแนะนำว่า ถ้ามีหนังสือที่เกี่ยวกับ CSR ให้กับเด็กๆ ที่มาในวันนี้ด้วย ก็น่าจะช่วยเสริมความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ผมก็เลยรู้สึกประทับใจกับความปรารถนาดีและความเสียสละของท่านไปด้วยครับ

ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วงบ่ายที่เป็นเวิร์คช็อปการทำ CSR เชิงระบบนั้น ท่านแรกได้หยิบยกหัวข้อการบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กร ด้วยการจัดทำโครงการที่คำนึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผล การแยกแผนกตามความถนัดของผู้เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ปฏิบัติได้จริง ทั้งภาครัฐ เอกชน เจ้าของกิจการและสถาบันการศึกษาก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น ท่านต่อมาได้เสนอว่าอยากให้เพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรให้มากขึ้น ด้วยการจัดอบรม CSR ทั้งในองค์กรและในชุมชน การสร้างกิจกรรมให้พนักงานได้มีส่วนร่วมอย่างง่ายๆ ภายในองค์กรและบริเวณใกล้เคียง สำหรับท่านที่นำเสนอเป็นรายสุดท้าย อยากให้เพิ่มการสื่อสารเรื่อง CSR อยากให้มีการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ CSR มากที่สุด ด้วยการจัดกิจกรรมนันทนาการสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับ CSR ในชุมชนและในสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้ทุกคนเกิดความเข้าใจ และสร้างเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมโดยรวม

มาถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ท้องถิ่น เราได้โครงการที่น่าสนใจมาก ชื่อว่า “โครงการศูนย์สุขภาพไฮเทค” ที่มีแนวคิดของการสร้างสวนสาธารณะที่ร่มรื่น มีบ่อน้ำ และเป็นธรรมชาติ ทำให้เป็น “ปอด” ของจังหวัดสุพรรณบุรี มีการรวบรวมวัสดุเหลือใช้ เพื่อนำมาประกอบเป็นเครื่องออกกำลังกาย ออกแบบอุปกรณ์ให้สามารถสร้างพลังงานได้ด้วย เช่น ถังเก็บพลังงาน แผงโซล่าเซลล์ และยังเสนอให้มีห้องสมุดและอินเทอร์เน็ตอยู่ในพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียนนักศึกษาและประชาชนทั่วไป รวมทั้งต้องมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์และพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการบริหารจัดการที่ดี ด้วยความร่วมมือของหลายๆ หน่วยงานในจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน

อีกกิจกรรมเป็นเรื่องของ “โครงการใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี” ที่เสนอให้มีการจัดกลุ่มประชาสัมพันธ์ในแต่ละชุมชน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องอันตรายและโทษของการใช้ปุ๋ยเคมี มีการอบรมให้ความรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อให้ชาวบ้านสามารถทำปุ๋ยชีวภาพใช้เอง เกษตรกรจะได้ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ มีสุขภาพดีและสิ่งแวดล้อมก็ดีขึ้นด้วย

และอีกหนึ่งโครงการที่ได้จากการระดมสมอง คือ “โครงการหัวใจสีเขียว” ที่เป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนซึ่งกำลังรณรงค์กันอยู่ในขณะนี้ โดยจะเริ่มจากการขอความอนุเคราะห์ต้นไม้จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หาสถานที่ปลูกต้นไม้ ติดป้ายเชิญชวนให้ทุกๆ คนปลูกต้นไม้ จะได้ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังช่วยลดความแห้งแล้ง และภัยธรรมชาติ รวมทั้งสร้างความสามัคคีในชุมชนให้เกิดขึ้นด้วย

อาจารย์สุเทพ ลิอุบล จากโรงเรียนอู่ทอง ได้กล่าวว่า “ได้รับความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการทำงานร่วมกันในองค์กรและในสังคมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมทั้งยังสามารถนำเอาความรู้ไปพัฒนาด้านการสอนแบบมีส่วนร่วมทั้งกิจกรรมและการเรียนได้ ผมได้ยินเกี่ยวกับ CSR เป็นครั้งแรก และคิดว่าดีมาก การศึกษาในโรงเรียนขณะนี้ได้นำเอาแนวพระราชดำริมาประยุกต์อยู่แล้ว ถ้าเอาแนวความรู้ด้าน CSR มาช่วยเสริมทั้งในระยะใกล้และไกล ก็จะสามารถช่วยให้คุณภาพการศึกษาดียิ่งขึ้น”

อาจารย์อุดม ทองสุข จากวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ได้พูดคุยกับกระผมว่า “วันนี้ได้รับความรู้หลายส่วน และได้รู้ว่ายังมีหน่วยงานอย่างนี้อยู่ในเมืองไทย จริงๆ แล้วไม่เคยได้ยินเลย คิดว่าการมาจัดอบรมนั้นดีมาก เป็นการส่งเสริมให้คนรู้จักความรับผิดชอบ ตอนนี้ไม่มีการสอนหน้าที่พลเมือง ทำให้คนเห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะตัวเอง หรือการประกอบธุรกิจต่างๆ การมาอบรมในวันนี้ เหมือนกับการเริ่มรับความรู้จากจุดเล็กค่อยๆ จุดประกาย และค่อยๆ ขยายออกไป อย่างน้อยจะได้รู้ว่า คนอื่นๆ คิดกันอย่างไร ทำอย่างไร ที่สำคัญ ต้องมีการรู้ตัวเองว่า ควรทำตัวอย่างไรและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เช่น การไม่ควรไปล้ำเส้นประชาธิปไตยของคนอื่นๆ”

ส่วนอาจารย์เอกชัย วาสิกศิริ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อ.ดอนเจดีย์ ได้ให้ทัศนะว่า “เรื่องหน้าที่พลเมืองควรนำไปประยุกต์ใช้อย่างยิ่ง เพราะคนสมัยนี้ลืมในเรื่องของความเป็นพลเมืองที่ดี ในอดีตเราเคยมีการสอนในจุดนี้ แต่ในปัจจุบันได้หลงลืมไปมาก ทำให้คนละเลยต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ควรจะเป็นครับ” พร้อมกล่าวเสริมว่า “การสัมมนาครั้งนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ ได้เห็นถึงกระบวนการที่เราควรจะเอาใจใส่ต่อสังคม การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมที่ซึ่งองค์กรทุกแห่งควรจะตระหนักในส่วนนี้ เป็นการดีมากที่มาจัดในต่างจังหวัด เพราะโอกาสที่จะเข้าถึงการอบรมที่เป็นประโยชน์อย่างนี้มีค่อนข้างน้อย ต้องขอขอบคุณทั้ง แคท ดีแทค โตโยต้า และสถาบันไทยพัฒน์”


ก่อนปิดการอบรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันนี้ กระผมได้กล่าวถึงกิจกรรม CSR ระดับภาคกลาง ที่จะมีขึ้นที่ จ.ชลบุรี ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ และได้ให้ผู้ที่สนใจติดต่อกับทีมงานสาวสวยของเรา หรือเข้าไปดูได้ที่ www.csrcampus.com หรือท่านที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ CSR ก็เข้าไปดูได้ที่ www.thaicsr.com ครับ ก็ได้มีผู้ที่แสดงความสนใจจะไปร่วมกิจกรรมในระดับภาคกันพอสมควร

ท่านวิทยากร อาจารย์วุฒิพงศ์ บัวบุตร์ พร้อมกันกับกระผม ก็ได้กล่าวสวัสดีกับทุกๆ ท่าน และขอให้แยกย้ายกันกลับโดยสวัสดิภาพ แต่ผมก็กล่าวเสริมท้ายไปว่า เอ่อ...ขณะนี้ ข้างนอกฝนตกหนักมากครับ จะนั่งคุยกันอยู่ในนี้ก่อนก็ได้นะครับ จะได้ไม่คิดถึงกันมาก เหอๆๆ แต่น้องๆ นักศึกษาต่างเดินมาบอกลาว่า ไปก่อนนะพี่ ผมก็ยิ้มรับครับ แหม่..เด็กๆ ในวันนี้เยอะครับ เพราะมากัน 2 สถาบันเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ


ประจวบคีรีขันธ์


และแล้วการเดินทางในสัปดาห์ที่สองก็เริ่มขึ้น เป้าหมายแรกของเรา คือ ประจวบคีรีขันธ์ ตามด้วย เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร ตามลำดับ การเดินทางในวันนี้ไม่ Full Team ครับ เพราะขาดหนุ่มหล่อ คือ น้องหนึ่งของเราซึ่งมีภารกิจไปรับปริญญาใบที่สองของชีวิต เมื่อนาฬิกาหมุนชี้เวลา 4 โมงเย็น ล้อรถก็เริ่มหมุนตรงเข้าสู่อำเภอหัวหินซึ่งเป็นถิ่นเก่าของผมเอง (เมื่อยังตัวกะเปี๊ยก)

เราไปซัดอาหารกันซะพุงกางที่ร้านอยู่เย็น พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศติดชายทะเล จากนั้นก็ไปโต๋เต๋ที่ตลาดโต้รุ่ง ต้องยอมรับครับว่า จำบ้านสมัยตอนเป็นหนุ่มน้อยเตาะแตะของตัวเองไม่ได้! เพราะว่า เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากกกก เดินดูของอยู่พักนึง ก็กลับมือเปล่าตามเคย ไม่เหมือนทีมงานสาวสวยของเราที่ได้ของกลับบ้านอีกแล้ววว!!

พวกเรามุดเข้าสู่ผ้าห่มอันอบอุ่น ณ โรงแรมหัวหินฮิลล์ไซด์ รีสอร์ท ผมเริ่ม Shutdown ตัวเองตอนเที่ยงคืน แต่อาจจะเป็นกรรมเก่าครับ ดัน Restart ตัวเอง เท่านั้นแหล่ะ! ช่วงเวลาของการนอนของผมก็ยาวนานทันที (ปิดเฉพาะเปลือกตา) เพราะนอนไม่หลับครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย โอ้วไม่! พยายามข่มตาจนเกือบหลับ ประมาณตี 4 ก็เคลิ้มไป ใจเจ้ากรรมมีเสียงดังโครม!!!! จากห้องข้างเคียง ตู้เสื้อผ้าของผมก็แง้มออก เอี๊ยด!!! ผมสะดุ้งตื่นทันที (คืนนี้นอนเดี่ยวด้วยสิ) ดุจดั่งสัมผัสกับประสบการณ์ปีศาจ เอาแล้วววตู!! จากนอนไม่หลับ กลายเป็นนอนไม่หลับกำลังสองทันที จนกระทั่ง 6 โมงเช้า เป็นอันว่าคืนนั้นยันสว่างครับ ด้วย Spirit ภารกิจของวันนี้เราไม่ถอยครับ แต่คาใจเรื่องประสบการณ์ที่เจอเมื่อก่อนรุ่ง จึงถามทีมงานสองสาวของเรา (พี่สาวกับพี่น้อง) เพราะต้นเสียงมาจากห้องของพวกเธอ และแล้วสิ่งที่ผมอยากรู้ก็กระจ่างครับ มีสาวเพรียวร่างน้อย…..ตุ้บ!! ลงมาจากเตียงครับ เลยเป็นประเด็นร้อนแก้ง่วงของผมไปในวันนี้….หุๆ

พอเวลา 9 โมงเช้าภารกิจผมก็เริ่มขึ้น ต้องยอมรับครับว่าตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะตอนนี้ CPU ในการประมวลผลของผมน่าจะพอๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น 486 DX2 (ก็รุ่นที่เหมาะกับ OS Windows 3.11 น่ะครับ) เลยก็ว่าได้ เมื่อดำเนินมาถึงในกิจกรรมแรก ซึ่งเป็นเรื่องหน้าที่พลเมืองที่มีหัวข้อน่าสนใจ เช่น เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยเสนอให้เน้นการนำหลักธรรมจากพระพุทธศาสนามาปฏิบัติด้วยการรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจถัดมา คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการปฏิบัติตามพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า “ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขร่วมกันที่ได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”

กิจกรรมต่อมาเป็นเรื่อง CSR เชิงระบบ ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กร โดยเสนอให้มีการส่งเสริมพนักงานในองค์กรดำเนินความรับผิดชอบทั้งในที่ทำงานและนอกเหนือจากที่ทำงาน ส่วนหัวข้อถัดมาคือ การสื่อสารเรื่อง CSR โดยเสนอให้มีการจัดอบรม CSR แก่พนักงานในองค์กร เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ CSR ที่แท้จริง และมุ่งไปสู่การปฏิบัติ CSR อย่างจริงจัง

ส่วนกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ส่งท้ายคือ การคิดค้นกิจกรรม CSR ร่วมสร้างสรรค์ท้องถิ่น ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับแรก ได้แก่ "โครงการชนบทท่องเที่ยว" ที่เป็นการจัดคณะทัวร์ท่องเที่ยว ไปยังสถานที่สำคัญๆ ในจังหวัด อาทิ นมัสการหลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคล หรือเยี่ยมชมทุ่งทานตะวัน โดยจังหวัดจะได้รับประโยชน์ ทั้งในส่วนที่เป็นธุรกิจท่องเที่ยว ชุมชน และผู้ร่วมเดินทาง เป็นต้น

กิจกรรมที่น่าสนใจถัดมาคือ "โครงการขี่จักรยานท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" ที่เน้นการท่องเที่ยวในจังหวัดคล้ายคลึงกับกิจกรรมแรก แต่จะต่างกันในเรื่องของการเดินทางด้วยการปั่นจักรยานไปเป็นกลุ่ม ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมทิวทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ว ยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย ชุมชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงก็ได้รับโอกาสในการสร้างรายได้ด้วยเช่นกัน

อีกกิจกรรมที่ได้รับความสนใจคือ "โครงการวิทยุชุมชนเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน" ที่เสนอให้มีการจัดตั้งทีมงานและคณะกรรมการดำเนินโครงการร่วมกับเจ้าของสถานีวิทยุชุมชนและธุรกิจเอกชนที่ต้องการดำเนินนโยบายด้าน CSR เป็นผู้สนับสนุนโครงการ จุดเน้นของโครงการนี้ คือ การเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัดด้วยการนำเสนอรายการที่ให้สาระประโยชน์แก่ชุมชน อาทิ รายการร่วมด้วยช่วยเกษตรกรที่มุ่งเน้นช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

วันนี้ก็มีโอกาสให้ทีมงานสาวสวยของเราได้สัมภาษณ์อาจารย์จาก 2 สถาบันด้วยกันนะครับ ท่านแรกคือ อาจารย์ ผดุง ไชยพัฒน์ อาจารย์พิเศษจาก โรงเรียนไกลกังวล โดยเนื้อหาสัมภาษณ์มีดังนี้ “วิชาหน้าที่พลเมืองเป็นรายวิชาที่น่าสนใจมากและยังสอดคล้องกับ CSR ด้วย ซึ่งสมัยที่เรียนอยู่จะรู้จักในวิชาจริยธรรมซึ่งปัจจุบันไม่มีรายวิชาดังกล่าวแล้ว โดยตอนนี้ทางอาจารย์ก็กำลังทำหลักสูตรใหม่ที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและจะสอดแทรกเนื้อเรื่องหน้าที่พลเมืองเข้าไปด้วยซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาอย่างดีด้วย” ส่วนท่านอาจารย์ต่อมาชื่ออาจารย์ จักรวาฬ ไชยพัฒน์ (งง อ่ะสิว่าทำไมนามสกุลเหมือนกัน เฉลยเพราะต่างเป็นพ่อกับลูกกันครับ) จากเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “วันนี้ได้รับความรู้ว่า CSR ก็คือความรับผิดของสังคม ที่ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีและส่วนของพลเมืองบรรษัทสามารถสอดแทรกตามรายวิชาให้กับนักศึกษาได้อยู่แล้ว รวมถึงต้องมีการนำเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อคณะอาจารย์เพิ่มเติมอีกด้วย”

และแล้วภารกิจแคมปัสในวันนี้ ก็จบลงด้วยรอยยิ้มและความสุขของผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน จนทำให้ผมลืมง่วงไปเลย ช่วงเวลาเกือบ 5 โมงเย็น ล้อรถก็เริ่มหมุนแล่นตามรอยโครงการชนบทท่องเที่ยว (อะ..แฮ่ม) โดยแวะนมัสการหลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ทีมงานทุกคน (สาธุ...) จากนั้นก็แวะสัมผัสบรรยากาศของสถานีรถไฟหัวหินตามคำเรียกร้องของผมเพื่อเก็บภาพรำลึกในวัยที่สูงสัก 5 คืบกว่าๆ เป็นอันหนำใจผมล่ะครับ

เราตั้งใจจะแวะทานอาหารเย็นที่ร้านปากคลอง เมืองเพชรบุรี ตามคำแนะนำของน้องหนึ่งผู้เป็นเจ้าถิ่น เคราะห์ซ้ำกรรมซากอีกครั้งด้วยความหิวโซของทีมงานตาดำๆ ทั้งสาม ร้านปิดซะงั้น! จนได้มาลงเอยที่ครัวเม็ดทราย อย่างที่บอกล่ะครับ ทีมงานตอนนี้เห็นอะไรก็เป็นของกินไปหมด…เลยจ้วงอาหารจนอิ่มหนำพุงกางตามเคย ก่อนจะเข้าสู่ที่พัก ณ โรงแรมรีเจ้นท์ ชาเล่ต์ รีเจ้นท์บีช ชะอำ ก็โดนแผนที่อำกันเข้าไป วนอยู่หลายรอบกว่าจะเจอ

ขาเข้าไปเหลือบไปเห็นกระถางใส่ดอกเข็มลอยน้ำมีคำว่า LOVE แหม!!! ไหนๆ CSR ในตัวก็พลุ่งพล่านอยู่แล้ว ความรักก็ถือเป็น CSR น่ะ ก็อย่างว่าละครับ “ถ้าลมหายใจทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้….ความรักก็ทำให้การมีชีวิตอยู่นั้น….มีความหมายมากขึ้น” นะคร้าบท่านผู้อ่านทั้งหลาย ไปนอนละคร้าบ ที่นอนเรียกผมแล้ว เดี๋ยวมันจะงอนเอา zzZZ!


วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฉะเชิงเทรา


ติ๊ด ๆ ๆ ๆ เสียงปลุกในยามเช้า เวลา 6.10 น. เช้านี้ เมื่อมองฟ้าผ่านม่านสีขาวปนฝุ่นหน่อย ๆ ช่างสดชื่นนัก แสงแดดยามเช้าวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน เพราะปรากฏสายน้ำบางปะกงทอดผ่านพื้นล่าง (แล้วเพลงบางกะปงก็ผุดขึ้น น้ำขึ้น ...น้ำลง ..ใจเจ้าลง ....ตรงจุดๆๆๆ ละในฐานที่เข้าใจว่า ดำน้ำ) หลังอาบน้ำเสร็จ ก็เปิดทีวีตรวจสอบข่าวสาร เดี๋ยวจะหาว่าทำงานเหนื่อยจนเป็นคนที่หันหลังให้ข่าว (เราเป็นผู้ช่วยวิทยากรก็จริง แต่ก็ควรมีข่าวสารทั่วไปติดตัวบ้างจะได้นำไปเล่าช่วงทำเวิร์คช็อปได้)


และก็พบเลยครับ ข่าววันนี้ “ไข้หวัด 2009” นักข่าวก็ช่างเข้าถึงบรรยากาศในช่วงนี้ได้ดีเหลือเกิน เพราะผู้ประกาศข่าวทั้งสองท่านใส่หน้ากากทั้งคู่ (ป้องกันหวัดหรือใส่เข้าหากันหว่า 555+ แล้วแต่จะคิด) ในเนื้อข่าวระบุว่า ตอนนี้การแพร่กระจายของไข้หวัดช่างรุนแรงเหลือเกิน แต่คุณหมอก็บอกว่า อาการไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด และหากได้รับเกียรติให้เป็นโรคนี้ ก็ถือว่าได้วัคซีนหวัด 2009 โดยปริยาย (ใจเราก็คิด เฮ้อ ไม่อยากได้รับเกียรติได้รับวัคซีนธรรมชาติเลย เหอ ๆ) พอถึงเวลา 7.10 น.เราก็เตรียมพร้อมลงไปลุยแล้วครับ

สังเกตว่า อาหารวันนี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ครั้งแรกในรอบสัปดาห์นี้ครับ (คิดถึงเหลือเกิน) แต่ก็ทานแบบพอจำกัดนะครับ ไม่ได้ทานแบบสวาปามซะทีเดียว เพราะกลัวท้องไส้ปั่นป่วน ในช่วงรับประทานอาหาร ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบขับถ่าย การลดความอ้วน และการออกกำลังกาย (ช่างเป็นเนื้อหาที่เข้ากับทีมงานเราเหลือเกิน เมื่อสังเกตจากความเพรียวของทีมงานที่เหลืออยู่น้อยนิด) หลังจากได้รับความรู้พอสมควร เราก็พร้อมเข้าสู่ห้องประชุม ..... ด้วยการเดินทางที่ซับซ้อนพอสมควรกว่าจะฝ่าไปถึง (โรงแรม หรือค่ายกลดอกท้อ เนี่ย )

งานแคมปัสได้เริ่มขึ้นในช่วง 8.45 น. วันนี้บรรยากาศในห้องประชุมส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทราครับ เปิดฉากด้วยสารคดี HOME ขับกล่อมให้มีอารมณ์ร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ก่อนบรรยาย จนมาถึงช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีการพูดถึงหัวข้อการเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฎหมายของประเทศบ้านเมือง อย่างตอนที่ต้องใช้บริการถนนหนทางต่าง ๆ เราย่อมต้องเคารพกฎหมายจราจร ส่วนหน้าที่พลเมืองบรรษัท ได้มีการยกตัวอย่างเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งจะทำให้เราทราบสภาพปัญหาชัดเจน เช่น การเปิดเผยข้อมูลเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอเรื่องหน้าที่พลเมืองในหัวข้อการเป็นผู้สวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยยึดหลักการดำเนินชีวิตของท่าน การเป็นแม่ที่ดีของลูก การทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ส่วนเรื่องหน้าที่พลเมืองบรรษัทที่อยากเห็น เป็นเรื่องการส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรม เพราะจะทำให้การดำเนินชีวิตไม่มีปัญหา และส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ

บรรยากาศช่วงเที่ยง เราร่วมโต๊ะบุฟเฟ่ต์กันเอง เป็นแคมปัสวันสุดท้ายของทริป ก็เลยคุยกันเรื่องอาหารที่บ้าน เรื่องที่บ้านบ้างคละเคล้ากันไป พร้อมกับอาหารที่พร่องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหาร วันนี้มีขนมด้วยครับ เรียกอะไรไม่รู้เหมือนกัน (แต่คงไม่เหมือนปะกริมไข่เต่าแบบคุณแม๊คนะ) ลักษณะมีกะทิด้วย ปกติเราจะมีแค่ผลไม้ในการปิดท้ายแต่ละมื้อ วันนี้ฤกษ์ดีมีขนมก็ลองซะหน่อย ซึ้งเลยครับ กับคำว่าของหวานปิดท้าย อาการอย่างนี้นี่เอง

มาถึงช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในช่วงบ่าย ได้มีผู้นำเสนอหัวข้อ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจ เช่น การรณรงค์ให้ริเริ่มกิจกรรมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและร่วมพัฒนาชุมชน ด้วยการเชิญชวนชุมชนใกล้เคียงและพนักงานมาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจถัดมาคือ การเพิ่มความเชื่อถือในการดำเนิน CSR ขององค์กร ด้วยการปรับปรุงส่วนของงานบริการเพื่อให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างทั่วถึงและฉับไว โดยมีการประเมินผลด้วยการวัดความพึงพอใจของลูกค้าหลังจากการได้รับบริการแบบใหม่ด้วย

ส่วนของกิจกรรมเวิร์คช็อป Creative CSR ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ได้รับความสนใจมากสุด คือ “โครงการอนุรักษ์ลุ่มน้ำดีมีปลาชุม” โดยในตัวโครงการจะเน้นการสร้างจิตสำนึกในชุมชนให้เห็นถึงผลกระทบของปัญหาระบบนิเวศ และให้ความรู้ในเรื่องของการจับสัตว์น้ำ โดยเน้นย้ำการไม่จับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่ ซึ่งในเชิงปฏิบัติจะเน้นการประชาสัมพันธ์ และการวัดผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสู่จังหวัดฉะเชิงเทราที่มากขึ้น รวมถึงจำนวนสัตว์น้ำที่มากขึ้น และการลดปริมาณการพังทลายของชายฝั่งด้วย

กิจกรรมที่น่าสนใจรองมา คือ “โครงการลุ่มน้ำแห่งชีวิตนำเศรษฐกิจชาติ” ที่เสนอให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดเส้นทางแม่น้ำบางปะกง ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำ รวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยวตลาดน้ำ (ตลาดน้ำบางคล้า ตลาดบ้านใหม่ และตลาดโบราณ) พร้อมทั้งมีกิจกรรมปลุกจิตสำนึกให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าชายเลน การเพิ่มทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความอยู่ดีกินดีให้เกิดแก่ชุมชนแม่น้ำบางปะกงด้วย

กิจกรรมสุดท้าย คือ “โครงการรักษ์น้ำ อย่าทิ้งน้ำเสียลงน้ำ” ที่มุ่งเน้นการรักษาคุณภาพทรัพยากรน้ำผ่านการลดปริมาณของเสียที่จะทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ มีการสำรวจแหล่งต้นกำเนิดการปล่อยน้ำเสีย การจัดตั้งทีมคณะกรรมการในการดำเนินการโดยขอความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในการตรวจสอบควบคุม และมีการวัดค่าจากน้ำที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการสำเร็จ จะเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ และสามารถสร้างประโยชน์แก่ชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดฉะเชิงเทราเพิ่มขึ้นด้วย

วันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับ อาจารย์เมตตา รุ่งแสง จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอาจารย์ได้ให้ทัศนะว่า “จากการที่ได้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ทำให้มีความรู้เพิ่มเติมจากเดิม เมื่อเทียบกับการร่วมสัมมนาในปีที่แล้ว ในแง่ของการทำ CSR เชิงระบบ ซึ่งทำให้เห็นภาพของการดำเนิน CSR ที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และในส่วนของพลเมืองบรรษัท ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักศึกษามากที่จะมีการปลูกจิตสำนึกแก่นักศึกษาให้ได้รับรู้ถึงความเป็นพลเมืองขององค์กรธุรกิจนับตั้งแต่ที่ยังศึกษาอยู่ เพราะต่อไป นักศึกษากลุ่มนี้ ก็จะเป็นอนาคตของประเทศไทยในภายภาคหน้า”

หลังจากแคมปัสในจังหวัดฉะเชิงเทราเสร็จสิ้น เราจะได้กลับบ้านแล้วครับ ระหว่างทางก็มีโอกาสได้ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจากความเชื่อนะครับ เขาให้กลั้นหายใจขณะรถวิ่งบนสะพานข้ามตลอดสายครับ แล้วจะได้สมหวังเรื่องความรัก ตัวเราทีแรกก็ไม่รู้ครับว่า แม่น้ำสายนี้ คือแม่น้ำบางปะกง แต่เราสังเกตเห็นจากใบหน้าทีมงานสาวสวย ปิดปากสนิทเลยครับ พร้อมอาการตาอาจจะเหลือกนิด ๆ เพราะขาดอากาศหายใจ (หลังจากทริปนี้ น่าจะมีคู่ทุกคนนะเนี่ย)

หลังจากพ้นแม่น้ำ พี่รถตู้จอม U-Turn ก็ไม่ทำให้ผมเสียใจครับ เพราะพี่รถตู้ แกหาร้านอาหารแพกลางน้ำไม่เจอ (เป็นโอกาสสำหรับเรา ในการกลับไปกลั้นหายใจอีกรอบ 555+) แล้วเราก็วกกลับมาอีกครั้งแล้วครับ (หากใครสังเกตรถตู้คันนี้ อาจสันนิษฐานว่า เป็นพวกอาภัพเรื่องความรักรุนแรงไปหรือเปล่า เพราะวนมาบ่อยมาก) แม่น้ำบางปะกงเรามาแล้ว แต่..........เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ววววววววววว เพราะครั้งนี้พี่รถตู้พยายามลดดีกรีฉายา U-Turn ตนเองครับ พี่แกเลยขับรถด้วยความเร็วเทียบเคียงจักรยานอาซิ่มเลยครับ เพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดอีกรอบ ซึ่งเกือบทำให้กระผมกลั้นหายใจจนเฉียดตายคากลางสะพานแม่น้ำบางปะกงเลยครับ (ความรักจะสมหวังก่อนหรือความตายจะมาเยือนก่อนแน่)

ในที่สุด เราก็มาถึงร้านอาหารแพกลางน้ำ (ยังรอดอยู่นะครับ) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเลยครับ มองข้ามไปอีกฝั่ง ก็จะเจอตึกสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน อาจารย์บอยได้ให้เสียงภาษาไทยในการพากย์บรรยากาศนี้ว่า มันช่างเหมือนประเทศโกเบ เมืองญี่ปุ่น เฮ้ย ประเทศญี่ปุ่น เมืองโกเบมาก (แหม ยังกับเรามาถึงโกเบแล้ว) ก็ไม่พลาดที่คณะของเราจะต้องถ่ายรูปซะหน่อย อิอิ วันนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลอีกแล้วครับ อาหารค่อนข้างอร่อยมาก บางทีรสชาติอาหารที่อร่อยวันนี้ อาจมาจากทั้งอาหารและช่วงเวลาที่เราร่วมเหน็เหนื่อยทำงานมาด้วยกันตลอดสัปดาห์ก็เป็นได้ครับ (แอบซึ้ง)

เมื่อเสร็จจากรับประทานอาหาร เราก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศไทย มาถึงสถาบันฯ ในเวลา 22.00 น. และกลับมาถึงห้องพักในเวลา 22.20 น. ในทริปหน้า มาดูกันนะครับว่า เราจะไปจังหวัดไหนต่อ โปรดติดตามนะครับบบ สุดท้ายก่อนลา ก็ขอกล่าวคำว่า ”สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย”




อ่างทอง


ก่อนจากลาจังหวัดชัยนาท เราได้มีโอกาสพูดคุยร่ำลากับผู้เข้าอบรมบางท่านแถวลานจอดรถอย่างเป็นกันเอง รวมถึง ได้ให้กำลังใจน้องช่างเทคนิคผู้หมดไฟในหลายๆ อย่าง ก็บอกไปว่า อย่าเบื่อ อย่าท้อ สู้ต่อไป..

ขณะที่รถตู้ได้เคลื่อนตัวออกจากโรงแรม ก็ได้มีการถกเถียงกันว่า เราจะไปทานอะไรกันมื้อเย็น จะไปหาอะไรทานที่จังหวัดข้างหน้าหรือจะหาอะไรกินที่ชัยนาท ด้วยความที่ผมยังติดใจกับบรรยากาศและผู้คนที่นี่ จึงได้เอ่ยว่าให้กินที่นี่แหละพี่ ผมอยากกินผัดฉ่าปลาคังอีก แต่เพื่อความไม่จำเจ เราจึงไม่ไปร้านเดิม ลองร้านใหม่ๆ บ้าง เป็นการกระจายรายได้ให้กับร้านค้าด้วย เหอๆๆ (พูดดูสวยหรูเลยชาว CSR) แล้วก็มาลงเอยที่ร้าน “เรือนไม้” และเมนูอาหารวันนี้ มีทั้งปลา เป็ด ไก่ กุ้ง รสชาติไม่จัดจ้านเท่ากับร้านเมื่อวาน ถึงกระนั้นผมก็โซ้ยไป 2จานเต็มๆ อยู่ดีครับ การที่คนเราหิวก็จะสั่งเยอะ และกินกันไม่หมดต้องห่อกลับจนได้ ก็ดีครับ กลางคืนผมจะได้ไม่ต้องเดินออกไปหาอะไรหม่ำ

การเดินทางในวันนี้อาจจะนานซักหน่อยครับ เพราะระยะทางนั้นยาวกว่าจังหวัดที่ผ่านๆ มา ดูซีดีคอนเสิร์ตคาราบาวไม่นาน ผมก็หลับไป สงสัยเพราะเมื่อคืนผมหลับๆ ตื่นๆ จึงค่อนข้างเพลียครับ ตื่นอีกทีที่ 7-Eleven แวะเข้าห้องน้ำ หาอะไรดื่มเพื่อความสดชื่น เพราะคืนนี้ผมอยากเขียนสาธยายเกี่ยวกับการฝึกอบรมให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเหลือเกิน

ในที่สุดเราก็เห็นโรงแรมที่จะเข้าพักอีกฝั่งของถนน ชื่อโรงแรม “ซี แอล การ์เด้น อินน์” เราและพนักงานโรงแรมอีก 2 คน ช่วยกันขนของลง เนื่องจากไม่มีรถเข็น ที่นี่น่าจะทำงานกันเป็นระบบครอบครัว เพราะชุดฟอร์มก็ไม่มี แต่เป็นโรงแรมที่ใหญ่มาก มีสถานบันเทิงพร้อม แต่คงจะไม่เหมาะกับพวกพี่สาวๆ ส่วนพวกผม 3 คนก็สนใจอยู่ แต่..งานต้องมาก่อน (ก๊ากกก..ฟังดูดีชะมัด) เราไม่มีการเปิดเผยความลับครับ!

หลังจากขนของเข้าห้องไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งกรี๊ดและเสียงประตูห้องก็ดังขึ้น ปึง ปึง ปึง! “ช่วยจับแมลงสาบให้หน่อย” พี่แอนตะโกนมาแบบหน้าเสีย เนื่องจากผมนั่งเขียนงานอยู่จึงนั่งนิ่งไม่ได้หันไปให้ความสนใจ (สุภาพบุรุษไหมครับ) ความจริงแล้วแมลงสาบเป็นสัตว์ที่ผมกลัวที่สุดในโลก ผมจึงต้องทำเป็นไม่สนใจ และหันไปบอกพี่คนขับรถตู้เสียงเข้มว่า “พี่ไปดิ” ฮ่าๆๆ สรุปคือพี่เค้าก็กลัวเหมือนกัน ในขณะนั้น พี่โต้งกำลังจะอาบน้ำพอดี จึงช่วยอะไรไม่ได้ แต่แล้วเจ้าชายรถตู้ขาวของเรา ก็เอาถุงพลาสติกไปจัดการ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับเหงื่อของชายชาตรี ฮ่าๆ (ผมว่าพี่แกกลัวมากกว่า เหงื่อถึงแตกขนาดนั้น) ในระหว่างที่ผมนั่งขยันอยู่ก็ได้ดูรายการ “ล้วงลับตับแตก” ฮามากๆ ครับ พวกผม 3 คนหยุดขำไม่ได้เลย เหมือนบ้าเลยครับ เป็นรายการที่โดนจริง ต้องลองดูเองครับ ผมแนะนำเลยจริงๆ

ในเช้าต่อมา เราได้จัดอบรมขึ้นที่ห้อง “หทัยรัตน์” อุปกรณ์ทุกอย่างใช้การได้ดี ลงมือลองกันเองเลย เพราะช่างเทคนิคไม่รู้หายไปไหน ติดป้ายผู้สนับสนุนเองด้วย อืม..คนหายไปไหนหมด งงๆ.. ไม่นานนัก ผู้เข้าอบรมก็ได้ทยอยมาพร้อมทักทายกันเหมือนทุกๆ วัน แต่ที่นี่ดูนิ่งมากครับ ผมชักจะไม่มั่นใจและเห็นท่าไม่ดี จึงให้ชมวีดีทัศน์สารคดี Home ไปก่อน และมานั่งปรึกษากับหัวหน้าสาย (พี่โต้ง) ว่างานเข้าแว้วววว.. พีโต้งจึงบอกให้ใช้ความสามารถส่วนตัวในการดึงอารมณ์ร่วมและเป็นกันเองให้ได้ ผมจึงสู้..สู้ ไม่กล้าเสี่ยงก็ม้วนเสื่อ สู้โว้ย! เล่นเกมตอบคำถามหลังชมวีดีทัศน์ ผู้เข้าร่วมก็เริ่มที่จะคล้อยตามและมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น แต่จู่ๆ ไมค์ผมก็เสียซะงั้น จึงพูดไปว่า “ถ้าทุกท่านไม่เฮฮา มันก็คงจะไม่ดังนะครับ สงสารผมเถอะ เอาเป็นปากเปล่าเลยละกัน” ทุกคนก็เริ่มเผยให้เห็นรอยยิ้ม เป็นโชคดีของเราไปครับ วันนี้การบรรยายของอาจารย์โต้ง ก็เป็นไปโดยปราศจากไมค์ครับ เป็นเสียงหล่อๆ สดๆ เลย ฮ่าๆๆ

ในช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีผู้เสนอความคิดในหัวข้อการมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ โดยส่วนตัว ได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรฝึกอบรมลูกเสือในจังหวัดอ่างทองโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ผู้เข้าอบรมจะได้มีจิตใจรักชาติ มีความสามัคคีในหมู่คณะในชุมชนมากขึ้น อยากเห็นเรื่องความเป็นพลเมืองบรรษัทที่องค์กรธุรกิจให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามบทบาทที่เอื้ออำนวย และอยากเห็นคนในชุมชนรู้จักความพอเพียง ไม่มีการกู้เงินนอกระบบ ส่วนท่านต่อมาได้กล่าวถึงว่าตนเองเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฎหมายของประเทศบ้านเมืองทุกเมื่อ จะไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นเดือดร้อน เจอของมีค่าที่มิใช่ของตัวเอง ก็อย่าไปเอามาหรือควรจะส่งคืนเจ้าของ สังคมก็จะดีขึ้น และไม่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทหรือการจี้ปล้น ในส่วนของความเป็นพลเมืองบรรษัท อยากเห็นองค์กรธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหาย เพราะส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยคำนึงถึงความเดือดร้อนของคนรอบข้าง ต้องรอให้มีปัญหาก่อน แล้วจึงมานั่งปรับปรุงแก้ไขทีหลัง

ขณะที่เบรกเช้านั้น เราได้ทำการจัดโต๊ะแบ่งกลุ่ม เห็นมีแต่พนักงาน ส.ว. (สูงวัย) ทั้งนั้นเลย และก็ชอบกดเจลล้างมือบ่อยๆ ฮ่าๆ สงสัยจะเย็นๆ ครับ จะได้สะอาดด้วย ผมยังชอบเลย เป็นการดีครับ ไข้หวัดจะได้ไม่ระบาด ผู้เข้าร่วมอบรมได้ใช้เวลารับประทานอาหารว่าง ทานลูกอม และพูดคุยกันตามอัธยาศัย มีหลายท่านที่สนใจสารคดี Home และก็มาถามว่าหาซื้อได้ที่ไหน ผมก็ได้แนะนำให้ไปตามร้านซีดีที่ใหญ่หน่อย เพราะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่อยู่ในกระแสหลัก

ในช่วงรับประทานอาหารกลางวัน มีเมนูปลาที่ผมชอบอีกแล้วครับ คือปลานึ่งมะนาวนั่นเอง ก็อร่อยดีครับ แต่รู้สึกเหมือนยังไม่ถึงใจ ทีมงานเราก็ได้นั่งคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้และก็ปรึกษากันว่าเรามีอะไรต้องแก้ไขไหม เรื่องระบบในขณะอบรม และอีกหลายๆ อย่าง พี่โต้งก็ได้กล่าวชมที่เราสามารถดึงผู้เข้าอบรมให้เป็นกันเองได้ ไม่อย่างนั้นก็พับเสื่อกลับบ้าน 555

ในกิจกรรม CSR เชิงระบบขององค์กร มีผู้นำเสนอว่าอยากให้องค์กรมีความเข้าใจในเรื่อง CSR มากขึ้น มีการจัดกิจกรรมเพิ่มความเข้าใจแก่พนักงานและให้นำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง พนักงาน องค์กรและสังคมจะได้ประโยชน์ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างให้แก่หน่วยงานและองค์กรอื่นอีกด้วย อีกท่านได้เสนอว่า อยากให้องค์กรริเริ่มกิจกรรม CSR โดยสมัครใจ เป็นแบบกิจกรรมสอนน้องก็ดี เน้นเด็กที่ด้อยโอกาสเรื่องการเรียน ความขาดแคลน เริ่มจากหาผู้ที่สมัครใจและต้องการช่วยเหลือจริงๆ และการที่ไปสอนตามชนบทนั้นก็จะได้เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และท่องเที่ยวไปในตัว (คนบรรยายอยากจะเที่ยวอะป่าว J ) อยากให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง เด็กๆ จะได้มีโอกาสมากขึ้น

แล้วก็มาถึงกิจกรรม CSR เชิงสร้างสรรค์ของท้องถิ่น “โครงการเกษตรปลอดสารพิษ โดยใช้สมุนไพรแทนสารเคมี” มีการสำรวจและกำหนดชนิดพืชสมุนไพรที่จะนำมาใช้ รวบรวมข้อมูลและถ่ายทอดให้กับชุมชน รวมทั้งการสาธิตวิธีใช้ มีการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบ มีการจัดตั้งสหกรณ์ เกษตรกร ผู้บริโภคและชุมชนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน รายได้ก็จะกลับมาสู่ชุมชน ส่วนอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ “โครงการธรรมชาติบำบัด” ที่เสนอให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติบำบัด ชักจูงกลุ่มเป้าหมาย และแนะนำการใช้ปุ๋ยหมักแทนสารเคมี การทำปุ๋ยหมักที่ใช้ต้นทุนน้อยและดีต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ได้ผลผลิตดี ประหยัดค่าใช้จ่ายและเกษตรก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น

อาจารย์สมพร ศรีอุดมพร จากสถาบันพลศึกษาวิทยาเขตอ่างทอง ได้กล่าวถึงการที่ได้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า “ได้รับหนังสือจากทางสถาบันไทยพัฒน์ ก็เลยตัดสินใจมาทั้งๆ ที่ติดภารกิจ เพราะหัวข้ออบรมในกิจกรรมสัมมนานี้ ตรงกับที่จะสอนเด็กคณะศิลปศาสตร์พอดี เลยเลือกที่จะมาร่วมอบรมในวันนี้ โดยจะสอนเกี่ยวกับนันทนาการเชิงพาณิชย์ เลยคิดว่าข้อมูลวันนี้น่าจะเกี่ยวข้องกัน การมาจัดตามส่วนภูมิภาคเป็นสิ่งที่ดี ทำให้องค์กรธุรกิจในต่างจังหวัดได้รับความรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจที่ควรจะมีต่อชุมชน แล้วก็น่าจะมีการบรรจุวิชาหน้าที่พลเมืองในหลักสูตรยุคนี้ด้วย เพราะเด็กสมัยนี้ขาดคุณธรรม จริยธรรมกันซะเยอะ”

ในวันนี้เราไม่มีตะกรุดแจกครับ ฮ่าๆๆ มีแต่เสื้อแคมปัสสีขาว ได้มีผู้ให้ความสนใจจะไปร่วมงานแคมปัสระดับภาคที่ชลบุรี แต่ก็ถามว่าที่พักฟรีไหม ฮ่าๆ พี่คนที่ถามเนี่ยะ เอารางวัลเราไป 3 ชิ้นแล้ว ไม่คิดลงทุนเลยนะครับ และยังอยากให้เราไปจัด CSR Day ให้ถึงองค์กรของเธอ แต่ก็บอกว่าอาหารว่างเอามากันเองด้วยนะ โหววววว...อะไรจะรักบริษัทขนาดนั้น ผู้บริหารได้ยินนี่รักตายเลย ผมเลยบอกไปว่า พี่จะเอาอะไรกับผมอีกคร๊าบบบ..และแล้ว..ก็มาถึงเวลาที่ต้องจากกัน ผมได้กล่าวปิดงานอย่างเป็นทางการ เราได้เก็บของกันอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้ พวกเราจะได้เดินทางกลับบ้านแล้ว ไชยโยยย..คิดถึงบ้านมาก คิดถึงหมาผมด้วย กำลังท้องอยู่เลย และผมคงต้องเตรียมตัวตอบคำถามแม่ผมด้วย กะว่าถึงบ้านปุ๊บ ผมจะวิ่งขึ้นไปนอนเลย หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ฮ่าๆๆ

รถของเราได้เคลื่อนตัวออกจากจังหวัดอ่างทองมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ และได้มาแวะทานอาหารเวียดนามร่วมกันก่อนที่ผมจะขอแยกตัวกลับบ้านก่อน แหม่...แต่พี่ๆ ก็ใจดีครับ กลัวผมจะยืนรอรถนานจึงได้ขับมาส่งถึงหน้าบ้านเลย โออ มันช่างสุดยอดอะไรปานนั้น อาจจะเป็นเพราะวันที่เราไปสระบุรีผมรอนาน วันนี้พี่ๆ เลยมาส่งถึงที่ คงไม่ใช่อย่างนั้นครับ พี่ๆ ทุกคนเอ็นดูผมจะตาย เวลาทานอะไรก็ตักให้เอาๆ จนผมเป็นแบบนี้แล้ว ทริปนี้ผมขึ้นมาอืม...เกือบ 2กิโลกรัมเห็นจะได้ครับ

หมาที่บ้านก็วิ่งออกมาในขณะที่ประตูบ้านเปิดและได้เห่าพี่ๆ กันยกใหญ่ แต่จะทำไรได้ครับหมาพันธุ์ปลั๊ก เตะทีเดียวก็หนีแล้ว เหอๆ ผมก็ได้ขอบคุณพี่ๆ และได้ยืนส่งที่หน้าบ้าน จนรถตู้ได้เคลื่อนตัวออกไป เอาละครับเวลาตอบคำถามมาถึงแล้ว....แม่ผมก็ซัดเลย ถามๆๆๆ จำไม่ได้ว่าถามอะไรไปบ้างครับ แต่ก็ตอบอย่างรวดเร็ว และได้ปลีกตัวในขณะที่แม่เอาข้าวเข้าปาก เพราะท่านไม่พูด ผมก็หนีซิ อยู่ทำไม พ่อผมก็ได้แต่ยิ้มๆ เพราะรู้ว่าผมขี้รำคาญ ฮ่าๆ

ครับสำหรับในทริปต่อไปกลุ่ม “อ้วนดำขาใหญ่” เราจะไปที่ไหนนั้น ได้โปรดติดตามนะครับ เพราะถ้าคุณไม่ติดตาม !!คุณจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง!! 5555 ขอยืมมาใช้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ


วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สระแก้ว


วันนี้เราตื่นมาพร้อมกับเตียงนุ่ม ๆ ในห้องหรู ๆ ในเวลา 6.20 น.แอบสายสักนิดนึงเพราะอากาศดีนี่นา (อยากนอนต่อ) เราเลยเข้าไปอาบน้ำก่อน ปล่อยให้อาจารย์บอยจมอยู่กับความสบายบนเตียงอีกสักพัก สุดท้ายก็เก็บของเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกจากตัวอาคารที่พักไปสู่สถานที่รับประทานอาหารจะเป็นต้นไม้เรียงรายทั้ง 2 ข้างทาง รวมกับบรรยากาศเมื่อคืนที่สายฝนลงมานิดหน่อย ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเย็น โดยรวมถือว่าบรรยากาศดีมาก (อยากหยุดอยู่ตรงนี้จริง ๆ)

เมื่อมาถึงห้องอาหารก็เป็นไปอย่างที่คิดครับ มี American Breakfast และข้าวต้ม วันนี้โรงแรมมีเพิ่มมาอีกอย่างครับ ก็คือ ข้าวผัด แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าชอบ American Breakfast มากกว่า เพราะทานค่อนข้างสะดวกกว่า หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ก็ถือโอกาสดูเฟอร์นิเจอร์ภายในโรงแรมซะหน่อย ยอมรับครับ หรูมากจริง ๆ พวกเราไม่พลาดโอกาสทอง จึงร่วมกันชักภาพอีกสักครั้ง เพราะหากจะหา Background ด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูขนาดนี้ คงต้องไปตาม Studio ต่าง ๆ แน่นอนและต้องเสียตังค์ด้วย อิอิ

พอถึงเวลาประมาณ 8.50น. งานก็เริ่มขึ้นด้วยวีดิทัศน์ HOME ซึ่งแขกทุกท่านก็ชอบนะครับ นั่งดูด้วยความสนใจทีเดียว หลังจากนั้นก็มาถึงอาจารย์บอยแสดงบทบาทผู้บรรยายด้วย CSR เต็มเปี่ยม พอมาถึงช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีผู้นำเสนอในเรื่องของการไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา และใจ เพราะการไม่เบียดเบียนผู้อื่นจะเป็นการสร้างมิตรภาพไปในตัว และส่วนของพลเมืองบรรษัท อยากให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้พนักงานมีหลักการดำเนินชีวิตและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ส่วนอีกท่านได้เสนอหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงชีพตนเองโดยชอบธรรม เพราะเป็นการทำงานด้วยหลักธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ บุคลากร หน่วยงาน และองค์กรด้วย

พอมาถึงช่วงพักเที่ยง ตัวกระผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะอาหารกับแขกหลายท่าน ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดหลายด้าน และพี่ที่ถามเราเค้าก็ถามว่าทำไมเราหน้าเด็กจังผมก็บอกว่าเพิ่งจบครับ พอสอบถามไปมาจึงรู้ว่าพี่ท่านนี้เป็นรุ่นพี่เรานี่เอง เหอ ๆๆๆ (เด็กเกษตรกระจายอยู่ทั่วไทย) บรรยากาศบนโต๊ะอาหารช่างเป็นแบบกันเอง แต่วันนี้ก็ทานน้อยเพราะอยากผอมบ้าง (ที่ผ่านมาทานอย่าง Maximum กินอึด) หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ผมก็กลับมาที่ห้องประชุม แต่ก็เผอิญปวด…เข้าห้องน้ำเหลือบไปเห็นคู่มือใช้งาน (Rest room operation manual) เค้าช่างคิดกันจริง ๆ

และแล้วก็มาถึงช่วงบ่ายที่ต้องบรรยายเกี่ยวกับ CSR เชิงระบบ ได้มีผู้นำเสนอเกี่ยวกับหัวข้อ CSR เชิงระบบ เช่น การสื่อสารเรื่อง CSR ในองค์กร เนื่องจากความรู้ CSR ขององค์กรวันนี้ยังค่อนข้างน้อยอยู่ จึงต้องมีการให้ความรู้ CSR แก่พนักงานในองค์กรอย่างเหมาะสมด้วยการจัดอบรมในเชิงบังคับ และในที่สุดพนักงานทุกคนจะเข้าใจ CSR อย่างถูกต้องและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ ส่วนท่านต่อมาได้นำเสนอหัวข้อการริเริ่มกิจกรรม CSR ด้วยความสมัครใจ ซึ่งเมื่อเรามีความรู้ CSR อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถเผยแพร่ให้ชุมชนละแวกใกล้เคียงให้เข้าใจเรื่อง CSR ได้มากขึ้น

มาถึงช่วงสุดท้ายในการนำเสนอเกี่ยวกับกิจกรรม CSR เชิงสร้างสรรค์ของสระแก้ว ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ “โครงการ เพิ่มทักษะการเรียนรู้ของนักศึกษาอาชีวะ” โดยให้องค์กรธุรกิจด้านรถยนต์มาช่วยอบรมให้ความรู้เรื่องรถยนต์แก่นักศึกษาอย่างเห็นจริง และมีการนำไปศึกษาถึงวิธีปฏิบัติที่แท้จริงเกี่ยวกับรถยนต์ สุดท้ายเมื่อนักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรถยนต์ที่ถูกต้องแล้ว ก็จะนำนักศึกษาที่ผ่านการอบรมไปอาสาซ่อมบำรุงรถยนต์ในชุมชมท้องถิ่นใกล้เคียง เป็นการลดค่าใช้จ่ายของชุมชนในการซ่อมรถยนต์ และเป็นการนำนักศึกษามาปฏิบัติงานจริงอีกด้วย

กิจกรรมที่น่าสนใจรองมา คือ “โครงการศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดสระแก้ว” ที่จะเน้นกลุ่มเด็กที่เป็นโรคออทิสติกก่อนเพราะเป็นกลุ่มเด็กที่ด้อยโอกาส โดยเสนอให้มีการสร้างสนามเด็กที่สามารถสร้างอรรถประโยชน์ได้ เช่น การปั่นจักรยานที่สามารถรดน้ำผักสวนครัวได้ในตัว ซึ่งผักสวนครัวดังกล่าว ก็สามารถนำมาบริโภคหรือขายได้อีกต่อหนึ่งด้วย อีกทั้งยังเป็นการบริหารร่างกายสำหรับเด็กด้อยโอกาสดังกล่าวด้วย

ส่วนกิจกรรมสุดท้ายที่น่าสนใจ คือ “โครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพสมุนไพรไทย” ที่จะเน้นการสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกสมุนไพรไทยชนิดต่าง ๆ เพราะจังหวัดสระแก้วมีภูมิประเทศที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชสมุนไพรต่างๆ โดยเสนอให้มีการจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรให้แก่นักศึกษาและเยาวชน มีการต่อยอดด้วยการพัฒนาเป็นศูนย์แพทย์ทางเลือก (แพทย์แผนไทย) ของชุมชน รวมถึงอาจสร้างเป็นสมาคมแพทย์ทางเลือก พร้อมให้บริการรักษาผู้ป่วยด้วยสมุนไพรและการนวดแผนไทยด้วย

หลังจากนั้นผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านอาจารย์ สามารถ บารมี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีจังหวัดสระแก้ว อาจารย์ได้กล่าวความรู้สึกในวันนี้ว่า “วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รับความรู้ด้าน CSR ซึ่งหลังจากรับฟังบรรยายแล้วทำให้รู้ว่า ก่อนหน้านี้ทางสถานศึกษาได้มีการทำ CSR อยู่ก่อนแล้ว โดยได้เน้นปลูกฝังให้นักศึกษามีคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง ส่วนในเรื่องของพลเมืองบรรษัท เราสามารถบูรณาการลงไปในรายวิชาได้ทุกวิชาเลยครับ “ ขณะที่ผมนั่งพูดคุยกับอาจารย์อยู่นั้น ผมรู้สึกเลยว่า อาจารย์เป็นคนเก่งมากครับ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรมเลยทีเดียว

ในที่สุดการสัมมนา CSR Campus ของจังหวัดสระแก้วก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ใบหน้าของแขกทุกท่านเปื้อนยิ้มกันทุกคน ทีแรกผมคิดว่าทุกคนน่าจะได้รับความรู้ CSR กันเต็มเปี่ยม จึงยิ้มกันแก้มปริ ที่ไหนได้ผมลืมรูดซิปครับ ยอมรับว่าอายอย่างมหันต์ แต่ก็ดีนะครับที่ทำให้ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะ แต่วันหลังขอให้หัวเราะด้านอื่นดีกว่า ด้านนี้ไม่ไหวครับ (> <) เราเริ่มเดินทางไปสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อเวลา 16.45 น.และได้แวะปั๊ม ปตท.ด้วยครับ (เป็นปั๊มที่เด็กเติมน้ำมันหน้าตาดีที่สุดตามโฆษณา) รู้สึกจะมีร้านค้ามาขายของมากมาย รวมทั้งผลไม้ และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นผลไม้ลูกโคตรใหญ่ด้วยครับ มี มะม่วง น้อยหน่า เป็นต้น มะม่วงลูกหนึ่ง ผมว่าหนัก 1 กิโลกรัมแน่นอน (สุโค่ยอีกแล้วครับท่าน) ได้แต่มองครับเพราะไม่กล้าซื้อกลัวทานไม่หมด ตามรูปผมลองเทียบมะม่วงกับมือผม(ที่ปกติมันก็โคตรใหญ่อยู่แล้ว) คิดว่าถ้าเปรียบเป็นนักมวยผมว่าน่าจะเป็นรุ่น Heavy Weight ทั้งคู่

หลังจากแวะปั๊มเสร็จ เราก็ได้เริ่มมุ่งหน้าสู่ วังธารา รีสอร์ท เห็นจากข้างนอกคิดว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่มากครับ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย ด้านหลังโรงแรมติดกับแม่น้ำบางปะกงด้วยครับ โดยรวมวิวสวยมากมาย หลังจากที่ผมไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ขณะที่คนอื่นยังอยู่ในชุดเดิม ผมเลยดูวรรณะต่ำกว่าทันทีครับ จากสภาพเหมือนพี่บอยเป็นอาจารย์ ส่วนตัวผมเหมือนคนสวนติดตามพี่บอย 5555+ และได้มีการถ่ายรูปวิวที่โรงแรมด้วยครับ สวยมาก...

เราไปฝากท้องมื้อเย็นที่เรือนมธุรส วันนี้ได้ทานอาหารทะเลกันเต็มเปี่ยมเลยครับ หลังจากทานเสร็จกลับมาที่โรงแรม มีงานแต่งงานด้วยครับ มีคนแต่งชุดราตรีเยอะแยะเลย แต่ผมใส่ชุดเหมือนคนสวนเดินฝ่ามรสุมชุดราตรีเข้ามาก็อายเล็กน้อยนะครับ อิอิ พอมาถึงห้องก็เป็นไปตามปกติครับ ผมก็เล่นอินเทอร์เน็ต ส่วนพี่บอยก็ไปอาบน้ำ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกแล้วครับ ...ไฟดับครับ เฉพาะห้องผมด้วย

ตอนนี้ความมืดล้อมผมแล้วครับ วิธีเดียว คือ ต้องเปิดประตู เพราะห้องมืดมาก แต่สถานการณ์พี่บอยนี่สิครับอยู่ในห้องน้ำ(ถ้ามีการลงสบู่หรือยาสระผมแล้วคงสยองครับ) ไฟดับอย่างสยองครับ ผมเลยรีบโทรเรียกเจ้าหน้าที่โรงแรมมาช่วยดู สภาพที่เกิดเหตุตอนนั้นก็มีผมใส่ชุดเหมือนคนสวน ส่วนพี่บอยมีผ้าเช็ดตัวคาดเอว 1 ผืนกับพระเครื่องที่ห้อยคอ 1 องค์ (สภาพเหมือนผู้ใหญ่บ้านมากครับ ) ยืนเปิดประตูห้องรอพี่พนักงานเข้ามาแก้ไข แต่จังหวะนั้นเองความซวยยังไม่พ้น เสียงลิฟต์ดังขึ้น ชุดราตรีมาเป็นขโยงเลยครับ ประมาณ 10 กว่าท่าน เดินผ่านห้องที่มีคนสวนและผู้ใหญ่บ้าน เหอ ๆ ๆ ความอับอายบังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงระดับ 5 ริคเตอร์เลยครับ

สุดท้ายเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ให้เราย้ายห้อง ผมจึงรีบให้ผู้ใหญ่บ้านบอยวิ่งไปสถิตห้องน้ำห้องใหม่ก่อน ส่วนตัวผมก็ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทคนสวน คอยต้อนรับแขกในชุดราตรีเลียนแบบหนังเรื่อง Lady Chatterley เอ๊ย ไม่ใช่...คอยย้ายของจากห้องเก่าสู่ห้องใหม่ พอมาถึงเวลา 11.00 น. ผมรู้สึกเพลียมากครับ เหมือนวันนี้สวมบทบาทคนสวนอย่างดีเยี่ยม (น่าจะได้รางวัลออสการ์สาขาคนสวน) แต่พรุ่งนี้ก็ต้องทำงาน CSR Campus ต่อไป ก็ขอนอนดีกว่า พรุ่งนี้พบกันใหม่ นะ จ๊ะ สวัสดีพี่น้องชาวไทย ( แอบเลียนแบบวู๊ดดี้ )