วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

เชียงราย

บัดนี้เรามาถึงจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศแล้วครับ จ.เชียงราย ครับ ยานของเราลงจอดที่หน้าร้านข้าวต้มแห่งหนึ่ง ในเวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ อย่างเคยครับสั่งกันไม่สนใจคนที่ต้องรับผิดชอบทีหลังอีกแล้ว คราวนี้เราทานกันไม่หมดครับ เริ่มที่จะไม่เสียดายไม่สงสารเกษตรกรกันแล้ว เพราะทีมเรามีจุดหมายใหม่ที่ว่า หุ่นดี เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า เหอๆ ไม่มีใครอยากจะอ้วนอีกแล้ว อืม...หรือว่าแต่ละคนเจ็บคอทำให้ทานกันได้ไม่เยอะก็ไม่แน่ใจ

เราได้นั่งรถชมเมืองเหนือกันไปซักพักครับ ผมคิดว่าด้านความเจริญผิดจากที่ผมคาดไว้เลยครับ อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทำให้ต้องมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตึกและร้านค้าต่างๆ เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายจนความเป็นธรรมชาติไม่สามารถเห็นได้ในเมืองอีกแล้ว แต่ก็ยังคงความเป็นวัฒนธรรมอยู่ด้วยภาษาที่พูดออกมา เราเข้าพักกันที่ “โรงแรม Little Duck” ครับ แยกย้ายกันเข้าห้อง คืนนี้ผมไม่รีบกับการสรุปงานมากนักก็เรื่อยๆ กันการเล่นกีตาร์ผ่อนคลายเป็นพักๆ ส่วนอาจารย์พงศ์หลับเอาแรงตั้งแต่หัวค่ำเลย เพราะต้องสะสมพลังเสียงเอาไว้ในวันรุ่งขึ้น

เช้าต่อมาเราได้มารวมตัวกันที่ห้องอบรม จัดเตรียมอุปกรณ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใสอย่างทุกวัน วันนี้มีการจัดอบรมจากตำรวจท้องถิ่นอีกห้องหนึ่ง เมื่อจังหวัดที่แล้วก็มีเหมือนกัน ผมก็แปลกใจอยู่ทำไมช่วงนี้ตำรวจจัดสัมนากันบ่อยจังและเค้าประชุมกันเรื่องอะไร จะเข้าไปถามหรือแอบดูก็ใช่เรื่อง ฮ่าๆ จึงทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่าครับ การบรรยายเริ่มขึ้น สังเกตได้ว่าคนที่นี่ไม่ค่อยจะตอบอะไรกันเท่าไร แต่ใบหน้าและรอยยิ้มแสดงถึงความสนใจที่แสดงออกมาอยู่เหมือนกัน ทำให้การบรรยายดำเนินไปอย่างสบายๆ

กิจกรรมหน้าที่พลเมือง มีผู้นำเสนอว่าตนนั้นเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมายเป็นพื้นฐานของตนเองในฐานะประชาชนชาวไทย การไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อยากให้องค์กรมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องโปร่งใส เพราะจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นอันนำไปสู่มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของสังคมต่อไป ท่านที่สองอยากให้ทุกๆคนปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัด รักษาศีล 5 นั่งสมาธิทุกวัน ทำทาน ก็อยากให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สังคมจะได้สงบสุข มีความสุขในตนเองแล้วก็จะขยายไปสู่ สิ่งแวดล้อม ก็จะมีความกตัญญู สามัคคี ซื่อสัตย์ สรุปก็จะเป็นผู้ คิดดี พูดดี ทำดี ท่านสุดท้ายก่อนที่จะไปพักรับประทานอาหารว่างกัน ได้เลือกทุกข้อเพราะได้ทำทุกๆอย่างเท่าๆกัน ส่วนรวม สังคม สิ่งแวดล้อม จะได้ประโยชน์อย่างมาก องค์กรนอกจากจะเสียภาษีแล้ว ก็ควรมีกิจกรรมที่คืนกำไรสู่สังคมในจังหวัดที่ตัวเองตั้งอยู่ อย่างสม่ำเสมอและจริงใจ

วันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์กรชนก สนิทวงศ์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ท่านกล่าวว่า “เป็นความรู้ของการดำเนินกิจการที่ต้องห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ก็ดีที่มาจัดกิจกรรมให้จังหวัดเชียงราย อยากให้ประชาสัมพันธ์ให้คนมามากกว่านี้ คิดว่านำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอนได้ เพราะสอนในเรื่องพัฒนาสังคมอยู่แล้ว ก็ต้องการทราบแนวทาง เพื่อจะไปพัฒนาด้านการเรียนการสอนมากขึ้น”

กิจกรรม CSR เชิงระบบในวันนี้ ผู้นำเสนออยากให้องค์กรมีการทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานที่เกี่ยวกับ CSR เป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาองค์กร จัดให้มีการอบรม สังเกตพฤติกรรมหลังการอบรม สรุปประเมินผลโดยแยกเป็นสายงาน เกิดความรักความสามัคคีของบุคลากรมากขึ้นภายในหน่วยงาน ท่านต่อมาอยากให้เพิ่มความเชื่อถือได้ในการดำเนิน CSR สำรวจตัวชี้วัดการใช้สาธารณูปโภค จัดโครงการโรงเรียนสร้างความเข้มแข็งสิ่งแวดล้อมศึกษา ในการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บรรเทาภาวะโลกร้อน สร้างเครือข่ายการประหยัดพลังงานสู่องค์กรที่เกี่ยวข้อง ท่านที่สามอยากให้มีการบูรณาการเรื่อง CSR ให้ยุติการเล่นพนัน เพิ่มการมีส่วนร่วมกับสังคม อบรมด้านวัฒนธรรมและการทิ้งขยะให้ถูกที่ ขอความร่วมมือจากนักธุรกิจที่ไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตนมากนัก จะสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นและองค์กรอย่างมาก

สำหรับกิจกรรม Creative CSR มีโครงการที่น่าสนใจ ได้แก่ “โครงการแม่น้ำกกมหานทีหล่อเลี้ยงชีวีคนเชียงราย” เราจะใช้กังหันปั่นกระแสน้ำจากกก เราจะเปลี่ยนพลังงานน้ำมาเป็นกระแสไฟฟ้า จากนั้นเราจะนำจุลินทรีย์ที่ชุมชนได้ร่วมกันจัดทำขึ้นมาทำให้น้ำสะอาด ระบบจะส่งผ่านท่อ ทำให้มีการไหลเวียนของเสียในท่อระบายน้ำ เศษอาหารมีการย่อยสลาย หลังจากนั้น น้ำก็จะผ่านไปลงที่น้ำกกเหมือนเดิม เหมือนเติมน้ำดีให้กับลำน้ำกก ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงจากการมีส่วนร่วมในการจัดเก็บจุลินทรีย์และหมักจุลินทรีย์ด้วย จะได้พลังงานที่สะอาด ชุมชนมีรายได้

ต่อมา คือ “โครงการขจัดสารพิษ คืนชีวิตให้ธรรมชาติ” จากที่เราพบปัญหาขยะในครอบครัว ชุมชน ทำให้เราได้ดำเนินการ คิดค้นหาแนวทางการย่อยสลายขยะประเภท ผัก ผลไม้ ทำประโยชน์ให้กับชุมชนและครอบครัว ทำปุ๋ยหมักเพื่อสร้างจุลินทรีย์ นำจุลินทรีย์ที่ได้มาใช้ปรับปรุงน้ำเสีย ในทุ่งนาและบ่อเลี้ยงปลาได้ อบรมเกษตรกรไม่ให้ใช้สารเคมี สร้างระบบนิเวศน์ขึ้นใหม่

และ “โครงการส่งเสริมภูมิความรู้ให้เยาวชนและผู้ด้อยโอกาสด้านอัญมณี” ให้เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้สนใจได้รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอัญมณี การออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญ สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้เกิดรูปลักษณ์ที่แตกต่าง จัดให้มีสิ่งจูงใจ โดยมีการจัดแข่งขันออกแบบอัญมณี กลุ่มผู้เข้าอบรมจะได้มีอาชีพติดตัว เพิ่มรายได้แก่ตนเองและชุมชน ผู้บริโภคมีความพึงพอใจ ได้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนใคร ออกแบบด้วยมือตัวเองก็จะเกิดความภูมิใจ

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์พลภัทร พรมเมือง จากโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ซึ่งท่านได้กล่าวกับผมว่า “ได้หนังสือเชิญจากทางไทยพัฒน์ เกี่ยวกับระบบ CSR นี้ น่าจะเป็นการอบรมที่เพิ่งจะทราบเป็นครั้งแรก ตอนแรกเข้าใจว่ามาบรรยายเกี่ยวกับ ISO แต่ก็ดีครับ ในเรื่องนี้ก็เป็นระบบใหม่ดีครับ ในเรื่องหน้าที่พลเมืองก็อยากจะได้รายละเอียดเพิ่มเติมอีกเพื่อจะได้ไปสอนให้กับเด็กๆได้มีประสิทธิภาพและขยายความได้มากยิ่งขึ้น”

การบรรยายจบลงอย่างสนุกสนานกันการที่ได้รับความรู้ด้านอัญมณี การมาทริปนี้ทำให้ผมรู้คำใหม่ๆหลายคำเลย ถุงพลาสติก คนแพร่เรียก ถุงซู่แซ่ คนน่านเรียก ถุงแซ่วแซ่ว และคำว่า “หลุก” แปลว่ากังหันลม วันนี้ผู้มาอบรมท่านหนึ่งซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ซะด้วย เพราะท่านก็มาอบรมเมื่อปีที่แล้ว ได้ยืนส่งทีมงานเราตั้งแต่เลิกงานจนทีมงานของเราทุกคนขึ้นรถ เป็นคนที่อัธยาศัยดีมากเลยและมีความรู้มากอีกด้วยเพราะท่านพูดตลอด ให้ความรู้เกี่ยวกับในท้องถิ่นตลอด เยี่ยมไปเลยครับ

ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากเชียงรายนั้น ถ้าไม่ได้ไปยังสถานที่หนึ่ง คงจะเรียกว่ามาไม่ถึงอย่างแน่นอน เราไปดูความงดงานของ “วัดร่องขุน” ครับ พูดได้ว่าสุดยอดมากๆ เป็นครั้งแรกของผมอีกเช่นกันครับที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ เคยเห็นแต่ในรูป ของจริงงามกว่าเยอะเลย ทั้งรูปสลัก ปลาในบ่อน้ำ วิวทิวทัศน์ โอว...ไม่คิดว่าคนไทยจะมีฝีมือยอดเยี่ยม อย่าว่าแต่ยอดเยี่ยมเลย ไม่รู้จะเอาคำไหนมาพูดเปรียบดีกว่า สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดที่เราได้เจอคือ อาจารย์เฉลิมชัย ผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดแห่งนี้ครับ ก็ไม่รอช้าขอจัดภาพทันที

เราไม่สามารถที่จะเดินทางรวดเดียวถึงกรุงเทพฯได้ ทีมของเราจึงตัดสินใจที่จะไปพักจังหวัดไหนก็ได้กลางทาง แบบว่าวัดดวงไปเลย ไม่ต้องจองโรงแรมล่วงหน้า เราเดินทางไปเรื่อยๆครับ แต่ผมต้องชิ่งหลับอีกแล้ว เพราะทางโค้งของถนน ไม่ไหวๆ (-_-‘) ไม่ถูกกันจริงๆครับ คิดว่าทริปหน้าจะไม่เกิดการวิงเวียนขึ้นแล้ว เพราะภาคเหนือจะมีอีกครั้งก็คือ CSR Campus ระดับภาคเหนือ ส่วนหลังจากนี้ก็จะเป็นการลงใต้อย่างเดียวครับ ถึงจะไม่มีการเสี่ยงกับทางโค้งก็ตาม แต่เราจะไปเผชิญกับระเบิดแทน ฮ่าๆๆ

เรามุ่งหน้าลงมาเรื่อยและใช้เวลานานซักหน่อย แต่เราต้องมาแวะกันที่บ้านของภรรยาอาจารย์พงศ์อีกครั้งเพราะต้องนำของฝากที่ได้รับคำสั่งเอาไว้ ถ้ากลับไปไม่มีอาจจะงานเข้าได้ เป็นปลาส้ม แคปหมู ครับ ดูน่าอร่อยแต่ผมทานไม่ค่อยจะเป็นก็ไม่แน่ใจวารสชาติจะเป็นแบบไหน ในที่สุดเราก็ต้องมาพักเติมพลังกันที่จังหวัดกำแพงเพชร โรงแรมเดิมที่เราคุ้นเคย ที่ได้มาจัดอบรม CSR Campus เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน แต่พนักงานต้อนรับจำเราไม่ได้ซะงั้น ฮ่าๆ ตื่นเช้ามาวันนี้ Happy มากๆ เพราะทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาร่วมโต๊ะทานข้าวอย่างสบายอารมณ์เพราะไม่ต้องจัดอบรมและไม่ได้รีบไปไหน ทีมงานสาวของเราอยากจะแวะซื้อเฉาก๊วยกลับไปให้กับทางบ้าน แต่แล้วเธอสองคนก็หายไปนานพอสมควร ปล่อยให้ผมกับอาจารย์นั่งระลึกประวัติศาสตร์ ดูสามก๊กกันอยู่บนรถ และแล้วพี่คนขับรถก็ลงไปดูว่าพวกเธอไปไหนกัน ผมก็เห็นเธอสองคนเดินกลับมาพอดี พร้อมกับถุงเสื้ออีก 4 ตัว ในมือของคุณพี่แอน เหอๆ รถตู้ออกตัวและได้จอดอีกครั้งที่บึงบอระเพ็ด ที่นี่ดังในเรื่องของจระเข้ แต่เอาอีกแล้วครับ วิญญาณอาโนเนะเข้าสิงพี่แอนอีกแล้ว ไหนๆไม่มีหรอก อะไรจระเข้ บ้าๆ อย่ามาโม้ๆ.....รูปให้ระวังจระเข้ประกาศออกจะใหญ่ เหนื่อยกับเธอจริงๆครับ ฮ่าๆ ชมความกว้างใหญ่ของบึงกันเรียบร้อย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ทันที ใจผมอยู่บ้านไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่มีการแวะซื้อของฝากใดๆทั้งสิ้น สำหรับการเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้ ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีไม่ว่าจะทั้งผู้อบรมที่น่ารัก สนุกสนาน โรงแรมดีๆ อาหารอร่อยๆ หวังว่าทุกท่านก็จะอินและติดตามไปกับการเขียนการเดินทางของทั้งสองทีม พี่หนึ่งและผม (นายแม็กซ์) ด้วย ขอบพระคุณครับ

เพชรบูรณ์

จากคำใบ้ (เด็กอนุบาลยังตอบได้เลย) ที่ผมให้ไปเมื่อจังหวัดที่แล้วทุกท่านคงทราบดีนะครับ ว่าจังหวัดที่ผมมุ่งต่อไป คือ จังหวัดเพชรบูรณ์นั่นเอง พูดถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ก็ต้องคิดถึงมะขามหวานใช่มั้ยล่ะ ซึ่งตัวกระผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้มีโอกาสในการได้ชิมว่ามะขามของที่นี่ว่าหวานจริงสมกับชื่อหรือเปล่า ?? ขณะที่พวกเรากำลังเดินทาง บนรถตู้ตอนนี้ก็กำลังดูหนังเรื่อง A Man A Apart ผลงานของพี่ Vin Diesel อยู่นะครับ โดยภาพรวมของหนังค่อนข้างมันส์มากแต่ความมันส์มักไม่จีรังกับกระผมสักเท่าไร เพราะเมื่อรถตู้เริ่มเข้ามาในส่วนของเทือกเขาเพชรบูรณ์ หัวสมองของผมก็เกิดความวิงเวียนเป็นอย่างยิ่งจนความมันส์ของหนังที่เสพเมื่อกี้หลุดหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว...เหลือไว้แต่ความมึน

สภาพขณะรถตู้เลี้ยววกวนอยู่ในเทือกเขาเพชรบูรณ์ตอนนั้นในรถตู้ผมว่าทีมงานกำลังหลับกันหมดเหลือผมกับพี่รถตู้สองท่านที่ยังตาแข็งอยู่ บรรยากาศข้างนอกตอนนั้นฟ้าหมองอย่างเห็นได้ชัดครับบวกกับสายฝนโปรยปรายนิดนึงด้วย ทำให้รถตู้จากที่วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 60 Km/h ต้องลดลงมาเป็น 30 Km/h ยิ่งเป็นการเพิ่มช่วงเวลานรกให้ผมได้ผะอืดผะอมในลำคอได้อย่างดีทีเดียว ในใจได้แต่นึกว่าเมื่อไรจะออกจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ได้เนี่ยแล้วถ้ากระผมทนไม่ไหวแล้วอาเจียนออกมา กลิ่นที่คาวคลุ้งบนรถตู้จะทำให้ทีมงานมองหน้ากระผมไม่ติดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ช่วงเวลาดังกล่าวกระผมก็ต้องเงยหน้าอดทนดูหนัง A Man A Part ด้วยความผะอืดผะอมบวกกับความเมามันส์ต่อไป

เมื่อรถตู้วิ่งสักพักฟ้าก็มีตาครับ ทางออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ก็ได้มาโอบอ้อมรถตู้เราอีกครั้งครับ (สภาพ ณ ตอนนั้นเหงื่อออกบวกกับหน้าตาผะอืดผะอมอย่างเห็นได้ชัด) ตอนนี้ผมเริ่มถามพี่ทีมงานว่าเทือกเขาเพชรบูรณ์เทียบกับทางเข้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นอย่างไรบ้าง ทีมงานสาวท่านหนึ่งบอกว่าโค้งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีประมาณ 1,864 โค้ง ซึ่งมากกว่าเทือกเขาเพชรบูรณ์อยู่มากนัก ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกกลัวแล้วครับว่าตอนที่ไปจัดงาน CSR Campus ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนคงต้องมีการแสดงอาเจียนโชว์ต่อเหล่าทีมงานอย่างแน่นอน ส่วนทางพี่บอยก็บอกว่าอย่ากลัวเลยจำนวนโค้งไม่ได้เยอะขนาดนั้นจริง ๆ มันมีแค่ 2 โค้งเท่านั้น คือ โค้งซ้าย กับ โค้งขวา (ขอบคุณครับพี่บอยที่ช่วยลดจำนวนโค้งและทำให้ความรู้สึกของกระผมดีขึ้น)

หลังจากที่กระผมกระวนกระวายในเรื่องของจำนวนโค้งมาพอสมควรแล้ว เราก็มาถึงที่โรงแรมแล้วครับต่อจากนั้นเราก็มุ่งไปสู่ร้านอาหารเย็นของเรา ในวันนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามด้วย แต่เนื่องจากเราถูกร้านน้ำใสใจจริงเผาตุ่มรับรสไปแล้วทำให้แม้ว่าร้านนี้จะทำอาหารรสจัดเพียงไร ก็ไม่สามารถทำให้ผมรับรู้ความจัดจ้านนั้นได้จริง ๆ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จทางทีมงานก็ไปต่อด้วย Ice cream Swensen’s ต่อเนื่องเลยครับ แต่ตอนนี้กระเพาะของกระผมไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้วครับจึงขอ Bye ตอนนี้ทีมงานผมเริ่มท้องอ่อน ๆครับ (พุงเริ่มโผล่นั่นเอง) จากนั้นเราก็มุ่งหน้าต่อ สู่โรงแรมเพื่อเตรียมงานกันในวันพรุ่งนี้ต่อไป ส่วนตัวกระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ด้วยความเมามันส์จนกระทั่งเวลา 23.45 น.ก็ได้เวลานอนเสียที

เวลาล่วงเลยไปประมาณสัก 6 ชั่วโมงกับอีก 30 นาทีผมก็ตื่นนอนครับ จึงเริ่มปฏิบัติภารกิจส่วนตัวจนมาถึงรับประทานอาหารเช้าอย่างสบายใจเนื่องจากว่าหลังจากเสร็จภารกิจทีมงานของเราก็จะกลับบ้านกันแล้วครับ โดยงาน CSR Campus วันนี้ก็มีผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงานแล้ว เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสอบปลายภาคจึงทำให้งานวันนี้ขาดเหล่าเยาวชนของจังหวัดเพชรบูรณ์ (น่าเสียดายจัง) ก่อนเริ่มงานอากาศก็เย็นผิดปกติเนื่องจากข้างนอกห้องประชุมถูกโปรยปรายด้วยฝนลงมาอย่างช้า ๆ จนถึงกระหน่ำอย่างหนักตามลำดับ

มาในช่วงกิจกรรมหน้าที่พลเมืองก็มีหัวข้อที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการขยันทำงานและศึกษาหาความรู้เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะเป็นการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนอีกหัวข้อ คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขของชาติด้วยการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการวางแผนในการใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่ไปเป็นหนี้เป็นสินกู้ยืมเงินของผู้อื่น ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะเมื่อองค์มีผลกำไรก็ควรที่จะตอบแทนผลกำไรกลับมาสู่ตัวพนักงานภายในองค์กรด้วย

มาในส่วนกิจกรรม CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ การเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจด้วยการเริ่มจากการกระตุ้นให้บุคคลในหน่วยงานและต่างหน่วยงานให้ตระหนักถึงความสำคัญของ CSR ต่อมาก็ประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้พนักงานรับทราบข่าวสาร และจัดอบรมแก่ผู้เข้าร่วมอบรมสัมมนา ส่วนอีกหัวข้อ คือ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร โดยจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ด้าน CSR มาบรรยายให้บุคลากรในบริษัททุกคน พร้อมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อปลูกจิตสำนึกกระตุ้นให้ทุกคนในองค์กรเห็นความสำคัญของ CSR จนนำไปสู่การปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมในองค์กรในที่สุด

มาถึงกิจกรรมสุดท้ายนั่นก็คือ กิจกรรม Creative CSR ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ดังนี้คือ “โครงการ วัยรุ่น สดใส ด้วยสายใยคนเพชรบูรณ์” โดยเริ่มเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพื่อนำไปเข้าค่ายในระยะเวลา 2 วัน โดยในช่วงเวลา 2 วันจะมีการทำกิจกรรมดังนี้ เช่น การเรียนรู้เรื่องศาสนาและจริยธรรม การเรียนรู้กฎหมายและบทลงโทษของการกระทำผิดโดยเข้าไปดูสถานที่จริงที่ “ฑัณฑสถาน” เป็นต้น รวมถึงการจัดสร้างเครือข่ายกิจกรรมให้มีสมาชิกรวมถึงผู้เข้าอบรมให้มากยิ่งขึ้น

ต่อมาคือ “โครงการท่องเที่ยวการเกษตรไปกับพระยาลืมแกงจังหวัดเพชรบูรณ์” โดยเริ่มการเดินทางท้องที่ต่าง ๆ เพื่อชมผลผลิตที่เอกลักษณ์ในท้องที่นั้นเช่น ที่น้ำหนาวจะมีพันธุ์ข้าวพระยาลืมแกง ที่ทับเบิกจะมีกะหล่ำ และที่เขาค้อก็จะมีฟักแม้วกับแมงกะพรุนน้ำจืด (แมงกะพรุนน้ำจืดมี 2 ที่ในโลกคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ เขาค้อเท่านั้น) โดยกิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่กันยายนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์งานในทุก ๆ ปีจากภาครัฐและเอกชน โดยโครงการนี้จะเป็นการสร้างงานแก่ประชาชนในจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย ในงานวันนี้กระผมก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมมาข้อหนึ่งด้วยครับ ว่าโลกเราในตอนนี้มาถึงยุคที่ 5 คือ ยุคสังคมคุณภาพแล้วครับต้องเท้าความก่อนว่าโลกเราผ่านมา 5 ยุคแล้วดังนี้ ยุคแรกยุคการเกษตรกรรม ยุคสองคือยุคอุตสาหกรรม ยุคสามคือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information Technology) ส่วนยุคที่สี่คือยุคการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) และยุคที่ห้าก็คือยุคสังคมคุณภาพนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับการทำ CSR เหลือเกินเพราะวัตถุประสงค์ของการทำ CSR นั่นก็คือ การทำให้สังคมมีความสุขหรือสังคมคุณภาพนั่นเอง

ซึ่งวันนี้ผมก็มีโอกาสได้สนทนากับอาจารย์ 2 ท่านโดยท่านแรก คือ อาจารย์สมชาย ศรีฉ่ำพันธ์ รองผู้อำนวยการ โรงเรียนนาสนุ่นวิทยาคม ท่านได้กล่าวกับผมว่า “หลังจากรับฟังการบรรยายวันนี้ทำให้รู้ว่าตอนนี้องค์กรธุรกิจทั่วไปเริ่มให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและร่วมพัฒนาสังคมไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนของพลเมืองบรรษัทจะต้องนำไปถ่ายทอดให้กับนักศึกษา รวมถึงการเน้นย้ำให้นักศึกษามีจิตสาธารณะให้มากขึ้นบางทีเราก็ควรหยิบยื่นโอกาสให้กับคนที่เค้ามีโอกาสน้อยกว่าเรา” ส่วนอาจารย์อีกท่าน คือ อาจารย์สุภาพ หาญมาก โรงเรียนบ้านบ่อไทย กล่าวว่า “วันนี้ผมได้เรียนรู้ด้าน CSR มากขึ้นหลังจากรับทราบความหมายแล้วทำให้ผมรู้ว่าหน้าที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตรงกับอาชีพผมพอดี ซึ่งความรู้ตรงนี้จะต้องนำไปเผยแพร่ให้นักศึกษาเพื่อให้นักศึกษาเหล่านั้นมีจิตสาธารณะเพิ่มมากขึ้น ส่วนพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการยกตัวอย่างในเรื่องของการประกอบธุรกิจโดยใช้หลักธรรมาภิบาล และจะต้องส่งเสริมให้นักศึกษานั้นมีคุณธรรม และจริยธรรม ให้นักศึกษารู้จักหน้าที่ของตนรวมถึงกฎระเบียบในท้องถิ่นอีกด้วย”

สุดท้ายงาน CSR Campus วันนี้ก็เสร็จลุล่วงไปด้วยดีอีกเช่นเคยหลังจากเราเก็บของเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไป Swensen’s อีกครั้งหนึ่งเพราะเมื่อวานมีทีมงานสาวท่านเป็นแผลร้อนใน (วัยรุ่นเรียกว่า ปั๊บโป่ะ) จึงไม่สามารถร่วมแจมไอศกรีมได้ในเมื่อวาน เธอต้องการของร้อนมากกว่าเพราะเกรงว่าไอศกรีมจะทำให้เจ้าปั๊บโป่ะเติบโต แต่ถ้าถามว่าวันนี้หายหรือยังก็ต้องตอบว่ายังไม่หาย แต่ทีมงานสาวท่านนี้คิดว่าของร้อนก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าปั๊บโป่ะได้ งานนี้ต้องเจอของเย็น..หึๆ หรือพูดง่ายๆว่า คุณเธอจะ Freeze เจ้าปั๊บโป่ะนั่นเอง ทีมงานของผมก็เลยปูกระเพาะไปด้วยไอศครีมก่อนที่จะมีอาหารเย็นตามมา หลังจากเราอิ่มหมีพีมันเรียบร้อยด้วยไอศกรีม Swensen’s เสร็จ เราก็ต่อเนื่องไปที่ไร่กำนันจุลครับ ซึ่งผมก็ต้องทึ่งไปตามระเบียบนะครับว่าผลผลิตทางการเกษตรที่ได้ล้วนสดใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สละ ส้ม มะขาม มะพร้าว ฯลฯ (สวนผลไม้ก็อยู่ติดกับ Shop นั่นแหละครับ) ถือว่าเป็นเกษตรกรตัวอย่างได้เลยนะครับเนี่ย พอเรา Shopping ผลไม้จากไร่กำนันจุลเสร็จ เราก็มุ่งหน้าไปทานอาหารเย็นธรรมดาอย่างเคย ซึ่งต้องบอกเลยว่า Ice Cream Swensen’s ทำหน้าที่ให้ทางเราอิ่มได้อย่างดีเลยครับ มื้อเย็นมื้อนี้พวกเราเลยทานกันไม่ค่อยเยอะเท่าไรนัก 555 จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางเพื่อกลับสู่กรุงเทพฯ แล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

พะเยา

ในที่สุดเราก็เคลื่อนทัพออกจากพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน ซักที หลังจากที่รอสาวใจบุญทั้งสองอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เราเดินทางต่อไม่ไกลนักแต่ใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะถนนที่คดเคี้ยวและขึ้นเขาทำให้เราเร่งไม่ได้มากนัก แต่ก็คุ้มกับเวลาที่ใช้ครับ เพราะทิวทัศน์สองข้างทางงดงามมากๆ อยากจะหยุดรถถ่ายรูป แต่ถนนก็ไม่ใช่ของคุณพ่อผมซะด้วย กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ วิวนั้นเต็มไปด้วยภูเขาเขียวไปหมดเพราะต้นสักปลูกใหม่ มองลึกลงไปก็เป็นเหวครับ ธรรมชาติสุดๆไปเลย น้อยครั้งที่ผมจะเห็นอะไรแบบนี้ เพราะส่วนมากผมจะไปแต่ทะเล มันใกล้กว่าครับ คิดว่าถ้าต้นไม้ในโลกมีเยอะๆก็คงดี

เราพ้นโค้งทั้งหลายมาอย่างปลอดภัย แต่พี่เชด (คนขับรถ) ดันเลี้ยวขวาจะไปเชียงรายซะแล้ว จึงต้องกลับรถให้สมกับฉายา (เชด U-Turn) จริงๆ จังหวัดที่เรามาถึงเป็นที่คุ้นเคยของอาจารย์พงศ์ก็ว่าได้ เพราะเป็นบ้านเกิดของภรรยาสุดสวยของท่านนั่นเอง จังหวัดพะเยาครับ

เช้าต่อมาผมยังไม่อยากจะลุกจากเตียงเลย เพราะเหมือนนอนไม่ค่อยจะหลับ แต่ก็ต้องบังคับตัวเองไปอาบน้ำ และมานั่งดูข่าวเหมือนทุกวัน รู้สึกว่าจะมีการแข่งกีฬาที่เวียงจันทร์ ที่มี Mascot เป็นช้างชื่อ “จำปา กับ จำปี” ดูน่ารักทีเดียว ดูไปก็หงุดหงิดคนไทยครับ ที่บ้าแพนด้าเข้าเส้นไปแล้ว แพนด้ากลิ้งหน่อย ล้อมหน่อย เล่นกับแม่หน่อย น้ำหนักเพิ่มนิด ก็เป็นข่าวไปหมด (จะบ้ากันไปถึงไหน) จนสัญลักษณ์ประเทศเราจะไปเป็นของประเทศอื่นแล้ว

เราได้รวมตัวกันที่ห้องสัมนา วันนี้ดูพี่ๆ สดชื่นจริงๆ ครับ พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ที่มาเข้าอบรมลงทะเบียน ชาวเหนือนี่อารมณ์ดีจริงๆ อาจเป็นเพราะอากาศที่ดีกว่าที่อื่นก็เป็นได้ การบรรยายเริ่มขึ้น วันนี้อาจารย์เสียงค่อนข้างจะกลับมาเข้าที่หน่อยแล้ว จะว่าไปแล้วจังหวัดพะเยาไม่มีนักศึกษามาเข้าร่วมเลย เพราะอยู่ในช่วงสอบ แต่ตัวแทนจังหวัดก็มาในจำนวนพอเหมาะทีเดียว

กิจกรรมเรื่องหน้าที่พลเมือง ผู้นำเสนอมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทำความเคารพรูปของพระองค์ก่อนออกจากบ้าน อีกทั้งเตือนสติตนเองว่าจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรตามรอยพ่อหลวง เริ่มจากตัวเองก่อน ต้องดีทั้งกาย วาจาและใจ ท่านที่สองได้เลือกในข้อเดียวกับท่านแรก ต้องไม่ว่าร้ายผู้อื่นและสถาบันหลักของชาติโดยทั้งทางกาย วาจา และใจ อยากให้องค์กรไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เคารพกฏหมายอย่างเคร่งครัด และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องโปร่งใส ถ้าทำได้ก็จะไม่เกิดความวุ่นวาย ท่านสุดท้ายก่อนที่เราจะไปเบรค ก็เลือกในหัวข้อเดียวกันอีก ปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคม รับผิดชอบต่อหน้าที่ น้อมนำพระราชบัญญัติต่างๆเข้ามาในชีวิต อยากส่งเสริมให้องค์กรและพนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วสิ่งดีๆทั้งหลายก็จะตามมา

ในวันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์สุทธิชัย ปัญญโรจน์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวรพะเยา โดยท่านกล่าวว่า “ความจริงเข้าร่วมเป็นปีที่ 2 ได้ความรู้มากรวมทั้งข้อมูล เพราะตอนนี้เป็นยุค Changing สามารถนำเอาข่าวสารใหม่ๆไปถ่ายทอดให้นิสิตได้อีกทางหนึ่ง มาจัดที่นี่ดีมาก ต้องยอมรับว่าคนอยู่ต่างจังหวัดจะไกลปืนเที่ยงเพราะการอบรมส่วนมากจะมีแต่ที่กรุงเทพฯ ทำให้ลำบากในการเดินทาง การจัดให้ตามต่างจังหวัดจะดีมาก เพราะเขตภูธรจะได้ความรู้ด้วย หน้าที่พลเมืองสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ปัจจุบันจะมุ่งไปยังบริโภคนิยมเป็นหลัก คือเรื่องเงิน การที่ได้ฟังการบรรยาย ทำให้เรารู้ว่าพลเมืองที่ดีต้องมีศีลธรรมจะได้เอาไปถ่ายทอด และทำให้เด็กปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้เด็กฉุกคิดและกลับมาเป็นพลเมืองที่ดีได้”

อีกทั้งผมได้มีโอกาศนิมนต์พระอาจารย์ฉันอาหารเพล และได้นั่งพูดคุยกับท่านพักใหญ่ ท่านบอกว่าท่านชอบที่จะเป็นพระมากกว่า เพราะสามารถช่วยคน สังคม ได้มากกว่าการเป็นสามัญชนธรรมดา แต่การช่วยบางครั้งพวกบางกลุ่ม บางองค์กรชอบมาถ่ายรูปตอนท้ายๆ เอาหน้าเป็นงานของตน คนเรามันก็เป็นแบบนี้ บางคนมี 20 บาทแต่เลี้ยงดูแม่ตลอดมา กับบางคนที่มี 20 ล้าน แต่ไม่เคยที่จะดูแลพ่อแม่เลย มันก็ใช้ไม่ได้ “มาตา อปิตุ อุปถานัง การบำรุงมารดาเป็นสิ่งที่ประเสริฐ” (ผมไม่แน่ใจว่าผมเขียนถูกไหม) พระอาจารย์บอกว่าท่านได้ซื้อที่ดินให้กับวัดและปลูกพืชกินได้ทุกอย่างที่ปลูกได้ มีก็แจกจ่ายให้ชาวบ้าน เดือดร้อนอะไรมาก็เต็มใจช่วยทุกอย่าง บ้านเมืองเรามันไม่มีความสามัคคี มั่วไปหมด ดูอย่าง USA เค้าตีกันก็จริงแต่เวลาชาติบ้านเมืองเกิดวิกฤติ เค้าก็ร่วมมือกัน ทำไมเราไม่เอาสิ่งดีๆ เป็นตัวอย่างบ้าง ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ตนเอง เริ่มจากตนเอง ประเทศคงจะเจริญมากเลย

นอกจากนี้อาจารย์สมพร จิรศาสตร์ จากวิทยาลัยเทคนิคพะเยา ยังกล่าวไว้อีกว่า “ก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่อง CSR เป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ สถาบันก็ทำ เน้นในเรื่องจิตสาธารณะ เราก็มีกิจกรรมออกไปสอนเด็ก มีส่วนร่วมกับสังคม จัดกิจกรรมปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ทำอะไรหลายๆอย่าง ให้เด็กนักเรียนเป็นคนดีมีคุณภาพ มาจัดที่จังหวัดพะเยานี่ดีมากเลย จังหวะปิดภาคเรียน ทำให้ว่างมาในวันนี้ ก็เจอผู้เข้าอบรมหลากหลายดี มันเป็นสิ่งจำเป็นมากเลยที่จะนำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอน ในวิชาก็สอดแทรกสิ่งเหล่านี้อยู่และพยายามพลักดันให้เค้าปฏิบัติ เพราะเราตระหนักว่าอนาคตเด็กเหล่านี้ต้องไปสร้างตัวเองก็พยายามจะให้สิ่งดีๆกับเค้ามากที่สุด”

สำหรับกิจกรรม CSR เชิงระบบในวันนี้ ผู้นำเสนอท่านแรกอยากให้องค์กรเพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR อยากให้ทุกคนมีจิตสาธารณะ ปลูกฝังในด้านคุณธรรม จัดกิจกรรมเข้าค่ายละลายพฤติกรรม คืนกำไรให้สังคมและชุมชน ลดการเอาเปรียบสังคม ท่านต่อมาอยากให้เพิ่มในเรื่องเดียวกับท่านแรกเช่นกัน มีการจัดอบรม ทำเอกสาร แจกเทป เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ มีการศึกษาดูงาน ถ้าเข้าใจถึงเรื่อง CSR ก็จะมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง องค์กร หน่วยงาน ทั้งเรื่องเวลา งบประมาณ ท่านที่สามต้องการให้องค์กรทำการบูรณาการเรื่อง CSR แต่จะเน้นไปในเรื่องการเงินส่วนมากและหน่วยงานที่สนับสนุน มีการระดมสมอง นำไปปฏิบัติและติดตามประเมินผล

อาจารย์ศิริพร สดเมือง จากวิทยาลัยการอาชีพเชียงคำ ได้แสดงทัศนะกับผมว่า “ได้รับความรู้เยอะแยะ บางเรื่องเรารู้แต่อาจจะไม่รู้จริง วันนี้ก็ได้กระจ่าง จริงๆน่าจะมาจัดในช่วงเปิดเทอมจะได้พาเด็กมาเยอะๆ คิดว่าสามารถนำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอนได้เยอะ จำเป็นเพราะสอนวิชาธุรกิจทั่วไปด้วย เรื่องการประกอบธุรกิจ จำเป็นมากๆที่จะต้องส่งเสริมให้เด็กมีจรรยาบัญในการประกอบธุรกิจ ซึ่งต้องซื่อสัตย์ต่อทั้งลูกค้า สังคม ชุมชน”

ส่วน Creative CSR เราได้ “โครงการขยายพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์” มีชื่อกลุ่มด้วยสำหรับโครงการนี้ ชื่อกลุ่ม “ข้ามากับพระ” กำหนดกลุ่มเป้าหมายจากเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ ทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันส่งเสริมให้ความรู้ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เพื่อเพิ่มมูลค่า (Value Added) จัดการอบรมให้ความรู้ถึงขั้นตอนวิธีการปลูกข้าวอินทรีย์ ก็จะได้ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ เกษตรกรจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้ปุ่ยเคมีมาเป็นปุ๋ยธรรมชาติ สุขภาพผู้บริโภคก็จะดี สร้างมูลค่าเพิ่มต่อตัวสินค้า ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสัมผัสธรรมชาติจากข้าวหอมมะลิที่ปลอดสารพิษ

ต่อมา คือ “โครงการทำปุ๋ยชีวภาพจากเศษอาหาร” มีการรวมกลุ่มจัดตั้งคณะทำงาน และประสานงานกับท้องถิ่น นัดประชุมชาวบ้านมาให้ความรู้เรื่องทำปุ๋ย จัดหาอุปกรณ์ เศษอาหาร กากน้ำตาล เพิ่มความรู้ ว่าท้องถิ่นจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง และแก้ปัญหาลดการใช้สารเคมี ต้นทุนทำให้ดินไม่เสียง่าย ลดภาวะโลกร้อนและอากาศเป็นพิษ อาจจะเห็นผลช้ากว่าปุ๋ยเคมีแต่ให้ผลผลิตสูงที่ต้นทุนต่ำ ยั่งยืนยิ่งกว่า เพิ่มรายได้ลดรายจ่ายให้เกษตรกร

นอกจากนี้ยังมี “โครงการฟ้าใสเมืองพะเยา” เพื่อลดหมอกควัน รณรงค์ให้เห็นประโยชน์และโทษ ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ พยายามผลักดันให้ใช้ปุ๋ยชีวภาพ จัดอบรมให้ความรู้และเผยแพร่ทางเอกสาร มีการปลูกจิตสำนึกเดือนละ 1 ครั้ง ประชาชนก็จะเข้าใจและลดการเผาป่่า ได้บรรยากาศที่ดี ลดภาวะโลกร้อน ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับเมืองพะเยาด้วย

ก่อนจบกิจกรรมวันนี้อาจารย์นวพร เกษสุวรรณ จากมหาวิทยาลัยนเรศวรพะเยา ได้พูดคุยกันเราว่า “แน่นอนได้ทราบเกี่ยวกับเรื่อง CSR สอนเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ด้วย ก็อยากได้หัวข้อนี้ไปทำ Case Study ดีที่มาจัดกิจกรรมให้ค่ะ องค์กรที่ได้ก็สามารถนำเรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ บางที่ทำอยู่แล้วแต่อาจไม่ทราบว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเรียกว่าอะไร จากกรณีศึกษาที่วิทยากรยกตัวอย่างมา ก็จะเอาเรื่องพลเมืองไปบอกให้เด็กรู้ว่าภาคเอกชนเค้าทำ CSR กันอย่างไรบ้าง”

เมื่อวานที่จังหวัดน่านผมได้รู้ว่าเค้าเรียกถุงพลาสติกว่า “ถุงซู่แซ่” แต่วันนี้จังหวัดพะเยาเค้าเรียกกันว่า “ถุงแซ่วแซ่ว” และ Commentators ของเราวันนี้ก็ฮาเหลือเกิน กรรมการท่านหนึ่งบอกว่าความคิดสร้างสรรค์เนี่ยมันต้องฉีกแนวไปเลย อย่างเช่นถ้าผมได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ผมจะทำให้การเทศน์ของพระเหมือน Concert เลย มีแสงไฟส่อง มีไฟวิ่งไปยังพระที่มาเทศน์ตลอด นะโม ตัสสะ ภัควะโต! เอาแบบเป็นจังหวะเลย พี่เค้าล้อเล่นนะครับ คงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ฮ่าๆๆ ท่านยกตัวอย่างเฉยๆ ท่านอยากให้เห็นว่านี่คือการฉีกแนวไปเลย

เราได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่วัด วัดศรีโคมคำ อืม...จะว่าไปแล้วทริปนี้เราเป็นทริปไหว้พระรึไง เพราะเราเข้าวัดกันทุกวันเลย แต่ก็ดีครับทำให้จิตใจโล่ง อาจารย์พงศ์ พี่เชดและผม ก็ได้เดินกลับมาที่รถ ได้เจอกับสาวแกร่งท่านหนึ่งเป็นคนขับรถตู้เช่นกัน พี่เชดก็ได้ไปถามว่าขึ้นเขาที่ไหนมาบ้าง เธอบอกว่าขึ้นหมด เดินทางไปเหนือลงใต้ทุกอย่าง ดอยไหนเธอไปหมดแล้ว พี่เชดอึ้งเลย ฮ่าๆๆ ของมันอยู่ที่ใจเธอบอก เครื่องของรถทั้งสองคันก็เท่ากัน เธอบอกอีกว่าขับรถตู้ภาคเหนือขึ้นดอยไม่ได้ก็อย่าทำเลย โดนไปเต็ม อาจารย์พงศ์หัวเราะชอบใจใหญ่ เราไปล่องเรือกันต่อที่กว๊านพะเยา นั่งเรือพายไปกลางบึงเพราะสมัยก่อนเป็นวัดแต่ถูกน้ำท่วมจนหายไปหมดแล้ว แต่มีการงมเอาพระพุทธรูปขึ้นมาให้กราบไหว้บูชา คาดว่าน้ำคงลึกมากๆ อย่างน้อยก็ต้องประมาณ 5 เมตรขึ้นไปแน่ๆ เราก็ได้ไปแวะทักทายคนที่บ้านของภรรยาสุดสวยของอาจารย์พงศ์ ก็นั่งสนทนาอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกันต่อไปยังจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของไทยเราครับ ลองเดากันดูว่าเราจะไปโผล่กันที่ไหนนะครับ สำหรับตอนนี้ผมก็งีบเอาแรงซักหน่อย สวัสดีครับ

พิจิตร





ตอนนี้กระผมก็ขอเฉลยแล้วกันว่าเรากำลังเดินทางไปจังหวัดพิจิตรครับ โดยทางทีมงานสาวท่านหนึ่งได้ขอร้องให้ทานข้าวจากจังหวัดพิษณุโลกไปก่อนเพราะว่าท้องเริ่มหิวแล้ว พวกเราจึงเดินทางไปร้านอาหารตามคำบอกเล่าของทีมงานสาวท่านนั้นอย่างไม่รีรอและร้านอาหารเย็นที่เราไปยลโฉมวันนี้ก็คือ ร้านอาหารน้ำใสใจจริง สังเกตหน้าร้านก็จะคล้ายกับกึ่งร้านเหล้ากึ่งร้านอาหารนะครับ แต่เราเลือกแค่อาหารเท่านั้น หลังจากเราสั่งอาหารไปเรียบร้อยฝูงยุงก็เริ่มบินมาปฏิบัติหน้าที่เราจึงเรียกร้องขอพัดลมมาช่วยพัดไล่ยุงทันที ประมาณ 5 นาทีอาหารก็มาแล้วครับขอยกกับข้าวมาสาธยายอย่างเดียวแล้วกันนะครับ นั่นคือต้มยำเห็ด สีน้ำต้มยำผมว่าผ่านการโขลกพริกทุกสายพันธุ์เลยทีเดียว หลังจากซดน้ำไปครั้งแรกอาการแรก คือ ความเผ็ดนิยามใหม่ โดยนิยามให้เข้าใจง่าย คือ เผ็ดแบบอวัยวะระเบิดทีเดียว น้ำต้มยำไปผ่านอวัยวะไหน อวัยวะนั้นแสบระเบิดทีเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มกับข้าวมากมายมาวางระรานตาบนโต๊ะอาหารซึ่งส่วนใหญ่จะเผ็ดมาก(มากยกกำลังสอง) เช่นกัน

หลังจากเราทานอาหารเสร็จก็ขอยกร้านน้ำใสใจจริงให้ได้รางวัล Nobel สาขาความเผ็ดระดับทำลายล้าง อย่างเป็นทางการเลยทีเดียว (แนะนำให้คนเป็นหวัดมาทานกันที่ร้านนี้นะครับ) ตอนนี้รถตู้ของเราก็มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดดินแดนชาละวันกันแล้ว ซึ่งรายละเอียดที่พัก คือ เดอะรีสอร์ทของกำนันเต่าซึ่งหนทางการเดินทางเปลี่ยวได้ใจมาก ๆ ครับขนาดพวกผมอยู่ในรถตู้ก็ยังรู้สึกเปลี่ยวอยู่ดี และในที่สุดเราก็มาถึงเดอะรีสอร์ทแล้วครับ โดยลักษณะห้องพักจะตกแต่งด้วยไม้ซะเป็นส่วนใหญ่

ตอนนี้กระผมก็เริ่มอาบน้ำเพื่อที่จะเข้านอนแล้วครับ ในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มหลับก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ลึกลับ! จึงทำการรับสาย ก็ทราบว่าเป็นสายจากทีมงานสาวนั่นเอง พอถามไถ่ไปมาก็มิได้ใจความแต่อย่างใด รู้แต่ว่าให้มาหาด่วน! ผมก็เลยสวมวิญญาณเด็กแนว (เด็กแนวแค่ไหนลองจินตนาการดูนะครับ ผมใส่เสื้อแขนกุดสีเหลือง กางเกง Adidas สีแดง และรองเท้าหนังสีดำเลื่อม) ซึ่งมองไกล ๆ เหมือนนักประดาน้ำเลยครับ หลังจากเข้ามาในห้องทีมงานสาวก็รับทราบว่ามีเสียงดังจากข้างหลังห้อง..กุ้ก..กั๊กๆ (กลัวชายไทยจะเข้ามาจีบนั่นเอง) ผมจึงไปตรวจสอบและนั่งรักษาการณ์ประจำห้องทีมงานสาวพักนึง ซึ่งก็ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่ทีมงานสาวก็ยังเว้าวอนให้อยู่ต่อ ผมจึงปลอบประโลมทีมงานสาวสักพักนึงว่าถึงมีใครเข้ามา ก่อนที่เขาจะทำอะไรเค้าคงคิดหน้าคิดหลังแล้วแหละ (ทีมงานสาวมีหน้าตาเป็นอาวุธ..คิๆ) หลังจากที่ผมให้เหตุผลสักพักทีมงานสาวก็เริ่มมั่นใจขึ้นมาว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาแน่นอน กระผมจึงขอตัวกลับไปที่ห้องพักเพื่อจัดการกับงานที่ยังคั่งค้างอยู่และก็ผลอยหลับไปตามระเบียบครับ

แล้วสักพักไม่กี่ชั่วโมงผมก็ตื่นนอนประมาณ 6.10 น.ครับ มองบรรยากาศรอบห้องแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเยอะมากมองด้านหลังก็เห็นวิวของแม่น้ำในตอนเช้า (คาดว่าน่าจะไม่มีจระเข้มาเยือนห้องพักตอนเช้านะ) หลังจากนั้นกระผมก็เริ่มจัดการภารกิจส่วนตัวและไปทานข้าวเช้า แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้นะครับเนื่องจากทางรีสอร์ทบอกว่าแม่ครัวจะมาเช้า (หรือช้า) ประมาณ 8 โมงกว่า ๆ นู้น... ซึ่งทางผมคิดว่าไม่ทันต่อการทานข้าวเช้าแน่นอนเราจึงต้องวานสั่งให้พี่รถตู้คนเก่งเป็นคนไปซื้ออาหารตามสั่งข้างนอกมาครับ หลังจากที่เราสั่งอาหารไปไม่นาน ในขณะเดียวกันพวกเราก็ถือโอกาสเตรียมงานที่ห้องประชุมแล้วสักพัก พี่รถตู้ก็ถือข้าวกล่องมาทำให้ทางเราดีใจอย่างกับได้อาหารเช้าแล้ว พวกเราก็เริ่มทานอาหารอย่างไม่ลังเลซึ่งทางผมกับทีมงานสาวทานหนึ่งทานกระเพราะหมูไข่ดาว ส่วนพี่บอยทานข้าวผัดกุ้ง (รู้ได้เลยว่าใครมีแววจะอ้วน) พออาหารเข้าปากได้สักพัก พี่บอยต้องถึงกับเหวอทันทีเพราะกล่องข้าวผัดกุ้งด้านล่างโฟมละลายครับ สันนิษฐานว่าน่าจะละลายด้วยความเร่าร้อนของข้าวผัดกุ้งอย่างไม่ต้องสงสัย กระผมจึงได้แต่นึกว่าร้านค้าน่าจะรองพลาสติกทนความร้อนมาให้ด้วย ร้านค้าน่าจะคำนึงถึงภาชนะที่เหมาะสมกับอาหารนะครับ เฮ้อ หวังว่าการจัดงาน CSR Campus ครั้งนี้ความรู้ CSR จะแผ่ขยายไปถึงเจ้าของร้านอาหารด้วยนะครับ

มาในช่วงกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทก็มีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวพิจิตรดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการปฏิบัติงานตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และไม่แสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจหน้าที่ของตน ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะถ้าธุรกิจไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมก็จะทำให้สังคมอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข ส่วนอีกหัวข้อที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติด้วยการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น และรู้จักใช้รู้จักเก็บ ส่วนพลเมืองบรรษัทนั้น อยากให้ธุรกิจมีความเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของท้องถิ่นโดยเคร่งครัด เพราะจะทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือและประชาชนไว้วางใจซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการอย่างราบรื่น

ส่วนหัวข้อ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจก็มีดังนี้ เช่น การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรด้วยการจัดอบรมให้พนักงานในองค์กรให้มีความรู้ CSR ที่ชัดเจน โดยมีผู้ที่มีผลต่อความสำเร็จ คือ ผู้บริหารองค์กร และพนักงานในองค์กรที่ต้องส่วนในการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวด้วย ส่วนอีกหัวข้อคือการเข้าร่วมในความคิดริเริ่ม CSR โดยสมัครใจ โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์ให้แก่องค์กรที่สนใจอยากร่วมกิจกรรม CSR อย่างสมัครใจ ซึ่งการระบุเกณฑ์บ่งชี้ความก้าวหน้าจะเน้นการมีส่วนร่วมจากระดับจังหวัด สู่ระดับประเทศ

หลังจากพวกเราทานอาหารกลางวันเสร็จก็มาถึงช่วงกิจกรรม Creative CSR ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจของชาวจังหวัดพิจิตร ได้แก่ “โครงการกำจัดผักตบชวาเพื่อพัฒนาบึงสีไฟ” เนื่องจากบึงสีไฟนั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพิจิตรแล้ว ขณะนี้ที่บึงสีไฟนี้มีปัญหาเรื่องผักตบชวาอยู่มากซึ่งจะทำให้ทัศนียภาพของบึงสีไฟไม่น่าดู โดยกิจกรรมจะมีการจัดการแข่งขันเก็บผักตบชวาขึ้นโดยจัดแข่งขันปีละ 2 ครั้งในช่วงวันลอยกระทงและวันสงกรานต์ โดยผักตบชวาที่เก็บไปได้จะนำไปให้เกษตรกรทำปุ๋ยหมักส่วนหนึ่ง และอีกส่วนจะนำไปให้แม่บ้านทำเป็นเครื่องจักรสานต่อไป

โครงการต่อมา คือ “โครงการรถราง รักบ้านเกิด” เนื่องจากจังหวัดพิจิตรยังมีการเดินทางโดยรถรางอยู่โดยจะนำจุดขายตรงนี้มาใช้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้การท่องเที่ยวในจังหวัดพิจิตรคึกคักยิ่งขึ้น ด้วยการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวมาร่วมเที่ยวจังหวัดพิจิตรด้วยการใช้รถรางซึ่งจะมีเส้นทางอย่างย่อโดยเส้นดังกล่าวจะผ่านทั้ง วัดท่าหลวง ศาลากลางเก่าซื้อ บึงสีไฟ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติและสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดพิจิตรทั้งหมด

โครงการสุดท้าย คือ “โครงการเที่ยวเมืองพิจิตร เศรษฐกิจหมุนเวียน”โดยโครงการนี้จะเน้นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างเศรษฐกิจในจังหวัดพิจิตรให้ดียิ่งขึ้นโดยกิจกรรมจะเริ่มจากการพัฒนาบึงสีไฟให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยจัดทั้งสวนสนุกกลางน้ำและห้องสมุดสำหรับเด็ก จัดงานกีฬา Extreme ทางน้ำในบึงสีไฟเพื่อกลุ่มวัยรุ่น และจัดรถรางรูปจระเข้สำหรับผู้สูงอายุโดยมีบริการบีบนวดบนรถรางอีกด้วย เป็นต้น

ในวันนี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับอาจารย์จากสถาบันการศึกษา 2 แห่งด้วยกันโดยที่แรก คือ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร โดยอาจารย์นัยนา ทิพกร กล่าวไว้ว่า “ตอนแรกเข้าใจว่า CSR คือเรื่องจิตอาสาพัฒนาชุมชนแต่พอหลังจากการบรรยายแล้วจึงได้รู้ว่า CSR อยู่รอบ ๆตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะไหน บทบาทไหน ก็สามารถทำ CSR ได้ทั้งสิ้นโดยความรู้ตรงนี้จะนำไปเผยแพร่กับนักศึกษาด้วย และเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการเน้นย้ำกับนักศึกษาเพราะนักศึกษามีเรื่องจริยธรรมอยู่น้อย จึงต้องมีการเผยแพร่ต่อไปให้มากเพื่อที่จะทำให้นักศึกษาสามารถไปประยุกต์ใช้ในชีวิติประจำวันได้”

ส่วนสถาบันอีกแห่ง คือ วิทยาลัยชุมชนพิจิตร โดยอาจารย์ณัฐพงษ์ กลั่นหวาน กล่าวว่า ”หลังจากร่วมงานสัมมนาในวันนี้ทำให้รู้ว่า CSR คือการปลูกจิตสำนึกโดยเน้นจากตนเองก่อน แล้วค่อยนำจิตสำนึกตรงนี้ไปปฏิบัติต่อผู้อื่นต่อไป ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัททางวิทยาลัยต้องนำไปปฏิบัติเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่นักศึกษา เพื่อวันหนึ่งที่นักศึกษาเหล่านี้เข้าไปทำงานจะได้นำความรู้ตรงนี้ไปใช้”

หลังจากเสร็จกิจกรรม CSR Campus ทางทีมงานกระผมก็ไม่รอช้าที่จะไปเที่ยวบึงสีไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรก่อนเพื่อน และเมื่อมาถึงก็รู้สึกว่าบึงนี้ค่อนข้างใหญ่มาก และทางจังหวัดก็เล็งเห็นให้ความสำคัญต่อนักท่องเที่ยวกลุ่มที่จะมาเยี่ยมชมด้วยการจัดพิพิธภัณฑ์ด้วย รวมถึงห้องสมุดอีกต่างหาก แต่ทางเราก็ไม่มีโอกาสเข้าไปหรอกครับ (ปิดเรียบร้อย) ทางทีมงานก็ได้แต่ถ่ายรูปร่วมกันไปร่วมกันมาเฉย ๆ เท่านั้นเอง และในส่วนข้างหน้าของบึงสีไฟก็จะมีจระเข้ที่ตัวใหญ่มากเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรด้วย หลังจากเราถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยทีมงานเราก็พร้อมมุ่งหน้าสู่จังหวัดต่อไปแล้วครับ ก็ลองไปเดากันว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดอะไรใบ้ให้ว่ามีคำว่าเพชรนำหน้า แต่คงไม่ใช่เพชรบุรีหรอกนะท่านผู้ชม Blog

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

น่าน

ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากจังหวัดแพร่นั้น เราได้แวะไปที่ร้านยาและ Seven Eleven เพื่อหาของมาใส่ท้องซักนิดหนึ่งเพราะพี่คนขับรถบอกว่ากว่าจะไปถึงที่หมายต่อไปอาจจะใช้เวลาซักนิดหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนซื้อของกันอยู่ ผมก็ได้แวบไปที่ร้านที่มีเจ้าสุนัขน้อย Siberian Husky 3 ตัวนั้น ที่ต้องแอบมาเพราะกล้วพี่แอนตามมาด้วย ถ้าเกิดสุนัขเห็นเธอกระโตกกระตากอีกมันอาจจะกัดเอาได้ ผมจึงไปขออนุญาติเจ้าของมัน ถ่ายรูปมาให้ทุกท่านได้ดูเล่นว่าสุนัขหิมะอย่างพวกมันก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับบ้านเราได้ เราได้เดินทางต่อกันทันที แต่ถนนค่อนข้างจะเป็นโค้งซะมากเลย ผมเลยจำเป็นต้องข่มตาหลับเพื่อจะได้ไม่เมาครับ จะว่าไปแล้วพี่ๆทุกคนก็หลับกันหมดเหมือนกัน เพราะแต่ละคนไม่ค่อยจะสมบูรณ์นักจึงต้องเก็บแรงไว้ให้ได้มากที่สุด

เรามาถึงที่หมายในเวลาประมาณเกือบ 2 ทุ่ม วันนี้พี่เชด (คนขับรถอารมณ์ดีของเรา) ดีใจมากเลยเพราะเหมือนได้กลับบ้านหลังที่สอง ทำไมผมถึงพูดว่าบ้านหลังที่สอง นั่นเป็นเพราะที่นี่เป็นจังหวัดที่แฟนพี่เค้าอยู่ครับ จังหวัดน่านนั่นเอง ไม่รอช้าพี่เค้าก็ได้พาเราไปยังร้านอาหารชื่อ “ชมเดือน” ซึ่งเป็นร้านอาหารของน้องแฟนพี่เชดนั่นเอง พี่แกนำเสนอเป็นอย่างมาก เซิฟเอง บริการ เทน้ำ ตักข้าว ถามถึงรสชาติทุกอย่าง โห...อะไรจะขนาดนั้น สอบถามพี่เค้าได้ความว่าต้องรีบทำคะแนน ฮ่าๆๆ แต่แล้วก็มีประเด็นมาอีก จะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เธอคนนี้ พี่แอนอีกแล้ว เธออีกแล้ว! “ไหนว่าร้านอาหารชื่อน้องแฟนไง ทำไมชื่อชมเดือนละ?” พี่ผึ้ง อาจารย์พงศ์และผม ต่างกุมหัวตัวเอง ประมาณว่าไม่รู้จะพูดกับเธอแบบไหนดี ภาษาอะไรดี พี่ผึ้งจึงอธิบายให้เธอฟังด้วยท่าทีหมดแรง เธอจึงเข้าใจและพยายามพูดอะไรอีกเยอะแยะต่อๆไปไม่หยุด ฮ่าๆ (ผมคิดในใจว่า หาอะไรหวดซักทีดีไหมเนี่ยะ ชักจะไม่ไหว เหอๆ) หนุ่มๆ จะชอบและสนใจเธอเป็นอย่างมากกับความ อาโนเนะ ของเธอ ประมาณว่า First Impression เอาไปเต็มว่างั้น แต่รู้จักแล้ว........อืมพอดีกว่า เอาเป็นว่าเธอน่ารักน่าแกล้งก็แล้วกันครับ (^_^’)

หลับสบายเลยครับ ตื่นมาก็อารมณ์ดีเพราะเมื่อคืน ได้ดู ตี 10 ในช่วง ดันดารา กระเทยมาแข่งร้องเพลงกันตลกมากๆครับ คิดแล้วยังอดขำไม่ได้ พวกเธอช่างกล้าจริงๆ หลายท่านอาจจะบอกว่าไม่ชอบคนเหล่านี้ แต่ผมรู้สึกเฉยๆครับ และคิดว่าพวกเธอนั้นช่างมีความสามารถหลากหลายทั้งยังกล้าแสดงออกยิ่งนัก โรงแรมเทวราช นี่ดีจริงๆครับ ห้องอบรมก็ดูใหญ่และดูเป็นสัดส่วนดีมาก การบรรยายได้เริ่มขึ้นกับมุขของอาจารย์ที่ว่า วันนี้ผมอาจจะเสียงเหมือนแดน D2B เนื่องจากบรรยายมาค่อนประเทศแล้ว วันนี้เสียงอาจจะแหบซักเล็กน้อย ต้องขออภัยด้วยครับ ได้คะแนะจากน้องนักศึกษาที่ส่งยิ้มให้ไปเพียบ จ๊าก...อ่ะนะปล่อยให้ท่านหนึ่งวันเพราะท่านยังไม่ฟิตนัก ต้องการกำลังใจอย่างมาก อืม...ว่าแต่คนทางบ้านจะรู้ไหมนะ เหอๆ

กิจกรรมหน้าที่พลเมืองในวันนี้ ผู้นำเสนอเป็นผู้มีความพากเพียร ทำงานด้วยความสุจริต ไม่คดโกงใคร ทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความราบรื่นต่างจากพวกที่แสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยทุจริต ต้องหลบๆซ้อนๆ ในส่วนของความเป็นพลเมืองบรรษัทก็อยากให้ดำเนินกิจการที่ไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม นอกจากจะทำให้ธุรกิจดีขึ้นแล้ว ยังลดปัญหาต่างๆอีกด้วย ท่านต่อมาเน้นในเรื่องของศาสนา เป็นข้อที่สำคัญมากเพราะสามารถครอบคลุมได้ทุกข้อ ขอแค่ยึดศีล 5 ก็พอยังไม่ต้องไปถึงศีล 8 ถ้าทำได้จะเป็นคนดีอย่างแน่นอน ไม่อึดอัดใจเวลาทำด้วย จะมีความสบายใจ อิ่มใจ ปิติและได้บุญกุศล และอยากให้องค์กรประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ท่านต่อมาพูดในเรื่องของศาสนาเช่นกัน ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม อยากให้องค์กรแสดงความเป็นพลเมืองบรรษัทโดยการ ประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมภิบาล และไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

เราได้ร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งครับ รู้สึกว่าท่านจะเป็นที่รู้จึกของคนจังหวัดน่านเหลือเกินเพราะขณะที่ทานอยู่นั้น มีคนผ่านมายกมือสวัสดีท่านกันพอสมควร เราได้ทำการสนทนากันครับ ได้ข้อมูลว่า ท่านเคยอยู่แถวรังสิตมาก่อน เคยทำงานให้กับโรงพยาบาลธัญญารักษ์ ตั้งแต่สมัยบุกเบิก ท่านบอกว่ามองจากโรงพยาบาลสามารถมองเห็นทางรถไฟได้ ผมอยู่รังสิตมา 20 กว่าปีไม่เคยจะมองเห็น ยังบอกอีกว่าสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวโกฮับดังมากชามละ 2 บาท เหล้าแม่โขงแบนละ 15 บาท มี 100 บาทสมัยนั้นกินเหล้ากันเมาจนอ้วกแตก สมัยนี้แค่น้ำแข็งก็ไม่พอแล้วครับ น้ำมันลิตรละ 2 บาท เท่ากับก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเลย ทองหนัก 1 บาท มูลค่า 390 บาทเท่านั้น ทำงานอยู่แถวรังสิตซักพัก ก็ได้ย้ายมาทำเกี่ยวกับสาธารณสุขที่แม่ฮ่องสอน 2 ปี แต่ก็มาตั้งรกรากอยู่ที่น่านครับ เพราะได้ภรรยาที่นี่ สังเกตได้ว่าเป็นเหมือนกันหมด เวลาแต่งงานแล้วก็จะล้มเลิกความอิสระและอยู่อย่างมั่นคง ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีจริงๆ การที่เราได้รู้จักคนสูงอายุทำให้เราได้รู้ประวัติศาสตร์หลายๆอย่างเลย

CSR เชิงระบบ ท่านแรกอยากให้องค์กรจัดกิจกรรมจัดสถานศึกษาให้มีความสะอาดเรียบร้อย ควรปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ให้มีความเป็นระเบียบเป็นสัดส่วน ท่านที่สองอยากให้มีการสื่อสารเรื่อง CSR โดยจัดอบรมและเสนอนโยบายให้กับผู้บริหารในระดับอำเภอและจังหวัด จะทำให้ชุมชนมีความเข้าใจและอยู่อย่างมีความสุข ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้องค์กรมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ความสามัคคีก็จะมีมากขึ้นด้วย ท่านที่สามอยากให้มีการเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ อยากให้จังหวัดเปิดเวทีสาธารณะในการให้ความเข้าใจเรื่อง CSR ระดมความคิดให้เกิดกิจกรรมที่หลากหลายและสอดคล้องกัน เชิญตัวแทนแต่ละภาคส่วน โดยมุ่งเน้นให้สอคคล้องกับกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด นั่นคือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นำความคิดนี้ไปพัฒนาเผยแพร่ให้กับชุมชนอื่นได้

มาถึงกิจกรรมที่ทุกคนรอคอยครับ Creative CSR เราได้ “โครงการเมืองน่านน่าอยู่ เมื่อหมู่เฮาบ่เอาถุงพลาสติก” โครงการนี้ทำให้ผมรู้ว่าถุงพลาสติกมีอีกชื่อเรียกว่า ถุงซู่แซ่ มีการรณรงค์ให้ลดการใช้ถุงพลาสติก กำหนดอย่างน้อยหนึ่งวันในสัปดาห์ใช้ถุงผ้า หรือใบตองแทน และใช้กระติกน้ำแทนการใช้ถุงใส่น้ำ ขอความร่วมมือจากพ่อค้าแม่ค้าให้มีส่วนลดจากการใช้ถุงผ้าในการใส่ของแทนถุงพลาสติก มีการให้รางวัลกับผู้ที่ใช้บ่อยที่สุด ทำให้ชุมชนมีทัศนคติที่ดีรักสิ่งแวดล้อม เป็นจุดขายการท่องเที่ยว Green Tourism

ต่อมา คือ “โครงการพืชผลทางการเกษตรปลอดสารพิษ พิชิตหอยเชอรี่” รวมกลุ่มเกษตรเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยนำหอยเชอรี่มาทำกรรมวิธีให้เป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ ซึ่งสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด ได้พืชปลอดสารพิษ กำจัดหอยเชอรี่ทางอ้อมและทำให้เกษตรกรมีสุขภาพดี ปลอดภัยจากสารเคมี ชุมชนก็จะได้พืชที่ไม่มีสารตกค้างเช่นกัน

อีกโครงการ คือ “โครงการจักรยานพันธุ์ใหม่ ใส่ใจผู้ขับขี่” ผลิตจักรยานที่มีความเร็วไม่เกิน 50 กม/ชม มีเสียงเตือนเมื่อไม่ใส่หมวกนิรภัย ถ้าไม่เอาขาตั้งขึ้น รถก็จะไม่สามารถทำงานและขับขี่ได้ ผู้ที่ไปทำงาน แม่บ้านและคนที่ใช้จักรยานก็จะแข็งแรง การขี่จักรยานทำให้มลพิษลดลงเนื่องจากไม่ต้องใช้น้ำมัน อุบัติเหตุร้ายแรงก็น้อยลงเพราะความเร็วที่จำกัด ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ทิพวรรณ สุขมี จากวิทยาลัยเทคนิคน่าน ท่านบอกกับทางเราว่า “ได้รู้มากกว่าปีที่แล้ว ในหนึ่งปีเรื่อง CSR ก็มีมากขึ้น บางคนไม่รู้ก็ได้รู้ มันแปลกใหม่จริงๆ พวกเค้าสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่และต่อยอดให้กับผู้ใกล้เคียงได้ มาจัดกิจกรรมให้ ดีมากเลย เรื่องความรู้ข่าวสาร ปีนี้ปีที่ 2 ถ้ากระจายให้กับนักศึกษาจะยิ่งกระจายเร็วมากเพราะเค้าจะไปคุยกัน ถ้ามีการจัดอบรมอีกก็อย่าลืมจังหวัดน่าน เพราะเป็นจังหวัดที่จะพัฒนาได้อีกเยอะมาก โดยจิตใจคนเหนือจะเป็นคนโอบอ้อมอารี มีจิตสำนึกในเรื่องน้ำใจ ช่วยเหลือชุมชนมากอยู่แล้ว นานมากแล้วที่ขาดในเรื่องหน้าที่พลเมืองไป บางคนไม่รู้ว่าหน้าที่ตัวเองคืออะไร เอามาพูดมาย้ำมาเตือนก็จะดี ถ้าดึงกลับมาจะดีมาก ยังมีอีกหลายเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไป ต้องไปตอกย้ำในเรื่องหน้าที่พลเมืองให้มากๆเลย”

หลังจากที่อบรมเสร็จก็มีน้องนักศึกษาอยู่หนึ่งคนมาบอกกับผมว่า เมื่อคืนก่อนจัดอบรม เห็นผมกับอาจารย์พงศ์ นั่งกินเหล้าอยู่ที่ผับแห่งหนึ่งชื่อ Fit Club ในจังหวัดน่าน บอกว่าจำได้เลยเหมือนกันเลย..... ผมงงเลยครับ เมื่อวานอาจารย์ไม่ค่อยสบายหลับไปตั้งแต่ 4 ทุ่ม ผมก็ทำงาน 5 ทุ่มก็หลับไปเช่นกัน ชื่อร้านผมยังไม่รู้จักเลย ฮ่าๆๆ ผมจึงบอกไปว่าน้องคงจำผิดมั้งครับ เธอก็ยังยืนยันว่าเห็นจริงๆ อยากเห็นไอ้คนที่หน้าเหมือนเราสองคนจริง เธอบอกอีกว่ามีอีกคนสูงๆ ผอมๆ ขาวด้วย เผอิญพี่คนขับรถเรา อืม...ไม่สูงนัก อ้วน คล้ำด้วย ฮ่าๆ คงจะไม่ใช่แน่นอน ผมจึงบอกไปว่าคงผิดจริงๆละครับ น้องๆและเพื่อนๆของเธอจึงสวัสดีและลากลับไป

เราได้ไปแวะกราบไหว้ พระธาตุแช่แห้ง ไม่มาที่นี่แสดงว่ามาไม่ถึงจังหวัดน่าน ปกติการสักการะคงใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีอย่างแน่นอน แต่ผมนั่งรอคุณพี่ผึ้งและพี่แอน ประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่รู้เธอสองคนหายไปทำอะไร เห็นว่าไปเช่าพระ และเป็นสมาชิกในการสร้างกระต่ายอะไรซักอย่างให้ในหลวงของเรา ส่วนอาจารย์หลับอยู่ในรถรอ ผมก็นั่งอยู่ข้างนอกคิดว่าถ้าพี่ๆเดินมาขึ้นรถ ผมจะได้ไม่ต้องลุกไปลุกมาให้อาจารย์ต้องรำคาญ แต่กว่าจะมาผมตัวแทบจะละลายอยู่แล้ว เหงื่อออกเป็นท่อน้ำเลย อากาศร้อนจริงๆ ฮ่าๆๆ แต่ก็ดีครับที่พวกเธอไปทำบุญกันจะไปเร่งก็จะบาปเอา เสร็จธุระที่วัดพระธาตุแช่แห้งแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปทันที สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณทุกท่านมากๆที่ให้การติดตามกันนะครับ

พิษณุโลก

ตอนนี้เราเริ่มออกเดินทางมาเรื่อย ๆ เพื่อจะมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านเกิดของทีมงานสาวท่านหนึ่ง ซึ่งทีมงานท่านนี้เล่าว่าจังหวัดพิษณุโลกเป็นเมืองบ้านเกิดของสมเด็จพระนเรศวร รวมถึงยังมีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คือ พระพุทธชินราชนั่นเอง ต้องยอมรับว่าผมเคยเห็นพระพุทธชินราชแค่ในรูปเท่านั้นเอง ในใจก็อยากเห็นองค์จริงเหมือนกันว่าจะสวยกว่าในรูปแค่ไหน ..ในช่วงระหว่างเดินทางเราก็หยิบหนังเรื่อง Roommate มาดู แหม ต้องยอมรับเลยครับว่าหนังเรื่องนี้วาง Plot เรื่องได้เยี่ยมมากเป็นรัก 3 เส้า ซึ่งปกติต้องเป็นชาย 2 หญิง 1 แต่หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็น ชาย 1 ดี้ 1 และทอม 1 (เน้นแบบ two in one) ต้องนับถือผู้เขียนบทจริง ๆ ครับว่าวางบทได้ซับซ้อนมาก ถ้าหากเทียบกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง

ซักพักพวกเราก็มาเหยียบพื้นดินจังหวัดพิษณุโลกแล้วครับ ทางทีมงานสาวได้แนะนำให้เราไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรด้วยครับ ซึ่งผมก็ขอไว้หลายเรื่อง ๆ เหมือนกันแต่เรื่องหนึ่งที่ผมขอพรอย่างชัดเจนมากที่สุด คือ อยากให้ประเทศไทยกลับมาสงบสุขอีกครั้ง (ขอแบบพระเอกครับ..แหะๆ) อยากให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยหรือคอรัปชั่นประเทศไทยให้มลายสูญสิ้นไป เหตุที่ผมขอพรอย่างนี้เพราะว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก สมเด็จพระนเรศวรก็เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองให้กลับเป็นเอกราชอีกครั้ง และในวันนี้บ้านเมืองของเราแม้ไม่ได้เสียเอกราชให้ประเทศใด ๆ ตามรูปธรรมแต่ในความคิดของกระผมกลับมองว่าตอนนี้บ้านเมืองได้เสียเอกภาพผ่านความแตกแยกของคนในชาติไทยเอง ซึ่งผมคิดว่ามันร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียเอกราชเสียอีก ผมก็ได้แต่หวังว่าพรที่ผมขอต่อสมเด็จพระนเรศวรในวันนี้จะสัมฤทธิ์ผลทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีและกลมเกลียวเช่นดังเดิมอีกครั้ง

หลังเราไหว้ขอพรที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรมทันที ซึ่งตอนช่วงรอจะ Check In เข้าที่พัก ผมก็มองเห็นน้ำใจของโรงแรมโดยผ่านการเชื้อเชิญจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เราทานน้ำส้มกันตามสบาย ทีแรกผมยังคิดว่าน้ำส้มตรงนี้อาจจะมีไว้สำหรับแขกงานเลี้ยงให้ห้องประชุมใกล้ ๆ แหม แค่น้ำส้มแก้วเดียวตอนนี้ก็ทำให้กระผมพึงพอใจกับโรงแรมนี้พอสมควรแล้วครับ แล้วหลังจากที่พวกเรานำสัมภาระไปเก็บในห้องเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งสู่ร้านอาหารครับ ซึ่งวันนี้ร้านอาหารเราอยู่ติดแม่น้ำน่านเลยครับ (สังเกตว่าชื่อแม่น้ำอยู่ไกลมากไปไกลกว่า โน่น..อีกครับ ) อาหารก็อร่อยมากเลยครับ กระผมรู้สึก Enjoy Eating กับลาบทอดมากครับ เพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวสะใจวัยโจ๋จริง ๆ (ลำแต้ๆ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมทันที กระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา 23.00 น.เลยเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อผ่อนคลายซะหน่อย ซึ่งรายการโทรทัศน์ที่กระผมดูวันนี้ คือ รายการตีสิบครับ โดยทางรายการได้นำเสนอชีวิตของคนขายของเก่าคนหนึ่งที่มีความกตัญญูและประหยัดอดออมเป็นเลิศมานำเสนอ นั่นคือ คุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ นั่นเอง หากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องคงจะยาวจึงได้นำคลิปวีดิโอมานำเสนอให้ชมกันครับ









หลังจากทุกท่านได้ชมเรียบร้อยคงจะมีความรู้สึกเดียวกับผมนะครับว่า ถึงคุณอภิรักษ์จะมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เหมือนบุคคลทั่วไป แต่ผมยอมรับนะครับว่าคุณอภิรักษ์มีความรับผิดชอบในการอดออมและกตัญญูต่อคุณแม่อย่างมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บางคนเสียอีก (ขอยกนิ้วให้ครับ..นายเยี่ยมจริงๆ) วันนี้ถือว่ากระผมก็ได้มีเรื่องอมยิ้มก่อนนอนเหมือนกันนะครับเนี่ย! และเช้าวันรุ่งขึ้นก็หมุนเวียนผ่านมาเหมือนทุกวันอีกครั้ง ซึ่งผมก็ตื่นขึ้นตามเวลาทุกวันครับหลังจากตื่นผมก็เริ่มปฏิบัติภารกิจส่วนตัวทันทีครับ ตอนนี้ทางเราก็อยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมกันเมาท์สักพักก็เริ่มเดินทางไปห้องประชุมทันทีครับ ซึ่งวันนี้บรรยากาศก็มีทั้งนักศึกษา นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคณะอาจารย์จากหลายสถาบันด้วยกัน

เริ่มจากกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทซึ่งมีหลายหัวข้อที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวพิษณุโลกดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานหาเลี้ยงตัวเองขณะที่ยังเรียนอยู่โดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับที่บ้าน และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาที่น่าสนใจ คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ ด้วยการรักและเคารพในหลวงด้วยหัวใจ ไม่เคยคิดคดกบฏต่อบ้านเมือง ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจประกอบการด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะคิดว่าหากแต่ละองค์กรมีการใช้หลักธรรมาภิบาลแล้วน่าจะเป็นหนทางในการดูแลรักษาซึ่งกันและกันทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมดีขึ้นอย่างแน่นอน

ต่อมาเป็นกิจกรรม CSR เชิงระบบที่มีหัวข้อน่าสนใจดังนี้ อาทิ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรโดยมีการจัดอบรมความรู้เรื่อง CSR ให้กับบุคคลในองค์กร จัดให้มีการศึกษาดูงานตามองค์ต่าง ๆ ที่มีการทำ CSR เพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่อง CSR เพิ่มมากขึ้น เมื่อบุคลากรในองค์กรมีความเข้าใจในเรื่อง CSR แล้วก็จะเริ่มนำ CSR ไปปฏิบัติและเผยแพร่ต่อไป ส่วนอีกหัวข้อ คือ การทบทวนและปรับปรุงในการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR โดยจะปรับปรุงการบริการของพนักงานในมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ศูนย์พิษณุโลก ให้มีจิตสำนึกในการรักบริการเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ดียิ่งขึ้น

วันนี้ช่วงกลางวันอาหารมีมากมายทีเดียวครับทำให้ทั้งทีมงานและผู้ร่วมงานใช้เวลาในการรับประทานอาหารกลางวันมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายเราก็สามารถดึงคนทั้งหมดมาร่วมงานต่อได้ทันเวลาครับ ซึ่งกิจกรรมในตอนบ่ายก็จะเป็นการคิดโครงการ Creative CSR ของชาวจังหวัดพิษณุโลกโดยมีโครงการที่น่าสนใจได้แก่ “โครงการ Global Village สร้าง Trend ใหม่ให้เด็กไทยรู้เท่ากัน” เนื่องจากปัญหาด้านการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเด็กในเมืองและเด็กในถิ่นทุรกันดารยังมีอยู่ ซึ่งจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเยาวชน ทางกลุ่มจึงคิดโครงการโดยการเน้นสร้างระบบสารสนเทศเบื้องต้นผ่านทั้งจานดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตโดยมีการติดตั้งให้บริการอินเตอร์เน็ตในบริเวณรอบชุมชนเยาวชนกลุ่มเป้าหมาย และมีการผลิตรายการให้ความรู้ในรูปแบบ Real time เช่น ข่าวรอบจังหวัด ความรู้ดูได้ทั่วไทย เป็นต้น โดยโครงการมุ่งหวังว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเยาวชนให้น้อยลงด้วย

โครงการต่อมา คือ “โครงการขยะเพื่อการศึกษาพัฒนาเมืองพิษณุโลก” โดยเริ่มจากประชาสัมพันธ์ข่าวสารโครงการให้ประชาชนทั่วไปทราบก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มจากการไปเก็บขยะตามชุมชนโดยคัดแยกขยะนำส่วนที่สามารถไป Recycle หรือ Reuse มาประดิษฐ์ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษา และขยะส่วนที่ไม่สามารถ Recycle หรือ Reuse ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้ก็จะนำไปขายและนำเงินที่ได้ดังกล่าวมาใช้เป็นทุนในการซื้ออุปกรณ์การศึกษาอีกทีหนึ่ง เมื่อเราได้อุปกรณ์การศึกษาเพียงพอแล้วก็จะนำไปบริจาคต่อสถานศึกษาต่อไป

โครงการสุดท้าย คือ “โครงการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงอนุรักษ์ชมของดีเมืองพิษณุโลก” โดยโครงการจะเน้นการส่งเสริมท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมในจังหวัดพิษณุโลก เช่น วัดใหญ่ รถราง จำทวี และดนตรีมังคละ เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมระบบนิเวศน์ด้วยการล่องน้ำเข็กและร่วมกันเก็บขยะอีกด้วย โดยผู้มาร่วมท่องเที่ยวจะได้รับของชำร่วย คือ กล้วยอบน้ำผึ้งในชะลอมจิ๋ว เป็นของที่ระลึกอีกด้วย

วันนี้ผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์จาก 3 สถาบันด้วยกันซึ่งสถาบันแรก คือ โรงเรียนบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีพิษณุโลก โดยผมได้สนทนากับอาจารย์นภัสวรรณ แป้นบูชา และอาจารย์พัชรา พิทักษ์พูลศิลป์ โดยทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะไว้ดังนี้ “แต่แรกยังไม่ค่อยเข้าใจ CSR เท่าไรนัก แต่ตอนนี้ก็ได้รู้ว่าองค์กรธุรกิจนี้มิได้มองผลประโยชน์ของตนเป็นหลักเท่านั้น แต่ยังมองผลประโยชน์ของสังคมเป็นหลักอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการนำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้นักศึกษาเพราะในวันข้างหน้านักศึกษาเหล่านี้ก็จะออกไปประกอบกิจการซึ่งถ้ามีความรู้พลเมืองบรรษัทในวันนี้ ธุรกิจของนักศึกษาเหล่านี้ก็จะเป็นธุรกิจที่มองเห็นถึงผลประโยชน์ของสังคมร่วมด้วย”

ส่วนอาจารย์ท่านต่อมา คือ ท่านอาจารย์ รศ.ดร.ภูมิศักดิ์ อินทนนนท์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ท่านกล่าวว่า "ก่อนเข้าร่วมการอบรมครั้งก็พอมีความเข้าใจในเรื่อง CSR อยู่บ้าง แต่หลังจากฟังการอบรมเรียบร้อยทำให้รู้ว่าการทำ CSR จะทำให้องค์กรดำเนินกิจการโดยมิได้มองถึงผลกำไรอย่างเดียวแต่ยังต้องมองถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างอีกด้วย ส่วนพลเมืองบรรษัทสำคัญมากในการเผยแพร่เพราะหากนิติบุคคลตระหนักถึงหน้าที่พลเมืองบรรษัทอย่างชัดเจนย่อมส่งผลดีให้กับทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน และยังต้องมีการคำนึงถึงการทำ CSR ทั้ง In process และ After process ภายในองค์กรอีกด้วย"

และอาจารย์ท่านสุดท้าย คือ อาจารย์พิรุณรัตน์ บุญมีมา จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลกซึ่งท่านกล่าวก่อนปิดกิจกรรมในวันนี้ว่า “วันนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CSR ค่อนข้างเยอะมาก ทำให้เรารู้ว่าการทำ CSR มิใช่เป็นสิ่งไกลตัวเราออกไปและพวกเราทุกคนต้องหันกลับมาสำรวจบทบาทตัวเองอีกครั้งว่าวันนี้เราทำบทบาทที่เราได้รับดีแล้วหรือยัง ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่อย่างแน่นอนทั้งนักศึกษา รวมถึงเพื่อนร่วมงานโดยอาจจะให้ทางสถาบันไทยพัฒน์ไปบรรยายที่สถานศึกษาอีกด้วยเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ CSR ที่ชัดเจนอีกด้วย”

หลังจากงานเลิกทางทีมงานก็รีบเก็บของเพื่อมุ่งหน้าไปกราบนมัสการพระพุทธชินราชทันที เมื่อเรามาถึงวัดตอนเย็นก็กำลังเป็นเวลาในการทำวัตรเย็นพอดีทางเราจึงไม่สามารถเข้าไปในโบสถ์ได้แต่ทีมเราก็ยังมองเห็นพระพุทธชินราชนะครับ เพราะประตูโบสถ์ยังเปิดอยู่ ต้องยอมรับเลยครับว่าแค่เห็นเท่านี้ก็รู้สึกยินดีแล้วครับ เพราะพระพุทธชินราชสวยงามมากทางเราจึงขอไหว้แค่หน้าโบสถ์แล้วกัน กลัวเข้าไปในโบสถ์แล้วจะร้อนกัน…(อย่าคิดมากครับ ร้อนเพราะคนเยอะครับ) หลังจากไหว้เรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดต่อไปทันที ลองเดาสิครับว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดอะไร ใบ้ให้นิดนึงว่านึกถึงจังหวัดนี้ต้องเห็นภาพจระเข้เป็นจังหวัดแรก

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

สุโขทัย

สวัสดีท่านผู้ชม Blog อีกครั้งนะครับ อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีกันหรือเปล่า กระผมก็จะมาสาธยายบรรยากาศต่าง ๆ จากกิจกรรม CSR Campus เช่นเดิมซึ่งครั้งนี้เราเริ่มเดินทางสู่ภาคเหนือแล้วครับ โดยเริ่มจากภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งจังหวัดแรกที่เราจะไปครั้งนี้ คือ จังหวัดสุโขทัย นั่นเองครับ ส่วนตัวก่อนออกเดินทางมีความรู้สึกว่าเมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในเรื่องเมืองโบราณสถานอย่างมาก เคยฝันไว้ตอนเด็ก ๆ ว่าหากมีโอกาสสักครั้งต้องไปเที่ยวให้ได้เลยทีเดียวซึ่งกระผมก็คว้าโอกาสอย่างไม่รีรอเลยครับ เราออกเดินทางจากสถาบันประมาณ 10.00 น.ช่วงเวลาเดินทางเราก็มีการเปิดคอนเสริต์ทั้ง แคลอรี่ บลา บลา กับ 3B&Playboy อีกด้วย ทำให้ทีมงานเราทั้งรถเกิดอาการคึกคักเป็นพิเศษครับ

พอใกล้เที่ยงเราก็มุ่งหมายพร้อมกันว่าต้องเริ่มหาร้านอาหารแล้วครับ (เรื่องทานอาหารเป็นเรื่องหลักที่ทีมเราไม่เคยมองข้ามและใส่ใจในทุกรายละเอียด..หุ ๆ) ช่วงเวลาดังกล่าว เรากำลังอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรีครับพี่รถตู้ก็เลยแนะนำร้านอาหารร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก (กระผมลืมชื่อร้านไปแล้ว) ซึ่งพอทีมงานเราถึงร้านดังกล่าวเมื่อเปิดเมนูอาหารก็ต้องตะลึงครับว่าเกือบทุกเมนูมีแต่ปลาช่อนเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น ตั้งแต่ ปลาช่อนแดดเดียว ปลาช่อนสามรส พุงปลาช่อนต้นยำ ยันไปถึงของหวานนั่นก็คือ เค้กปลาช่อนนั่นเอง เมื่อเมนูมีแต่ปลาช่อน ทีมงานเราก็สนองด้วยการสั่งแต่เมนูปลาช่อนมาทานเช่นกัน ทานกันไปจนคาวปากกันทั่วหน้า ซึ่งโดยรวมผมว่าค่อนข้างอร่อยนะครับ หากมื้อเย็นทานที่นี่ได้ก็จะย้อนกลับมาทานที่นี่อีกครับ

หลังจากเราทานอาหารเที่ยงจนอิ่มไปแล้วเราก็เริ่มเดินทางต่อครับ จนเรามาถึงจังหวัดนครสวรรค์พี่รถตู้ก็ได้แนะนำให้เรามาไหว้พระวัดคีรีวงศ์ ซึ่งจุดเด่นของวัดนี้คือตั้งอยู่บนภูเขาครับรวมทั้งเจดีย์ยังมีพระสารีริกธาตุอยู่ด้วย (ได้บุญอย่างเยอะเลยแฮะ) หลังทำบุญเสร็จกระผมก็ยืนมองวิวบนเจดีย์ทำให้ผมเห็นภาพทิวทัศน์ของเมืองนครสวรรค์เกือบทั้งเมืองเลยครับ สักพักก็มีทีมงานสาวสวยท่านหนึ่งได้ชี้ไปที่สิ่งก่อสร้างที่มีสถาปัตยกรรมแปลก ๆแล้วกล่าวเป็นวจีออกมาว่า “นั่น ๆ! หมู่บ้านอะไรอ่ะ” (บวกกับอารมณ์ Hyper ดวงตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็นมากก..ของสาวเจ้า) ความรู้สึกตอนนั้นของกระผมถึงกับหนาวขนลุกวาบเลยทีเดียวครับต้องบอกกล่าวย้อนกลับไปที่ทีมงานสาวสวยทันทีว่า “พี่ครับ สถาปัตยกรรมเป็นหมู่บ้านที่พี่ว่า แถวบ้านผมเรียกฮวงซุ้ยครับ!!” ทีมงานสาวสวยถึงกับผงะเลยครับมองไปอีกทีก็รู้สึกว่า “เออ จริงด้วยฮวงซุ้ย ฉันมองเป็นบ้านได้อย่างไรเนี่ย!” เสียงหัวเราะก็ระเบิดออกมาจากกลุ่มอย่างไม่ได้นัดหมายเลยทีเดียวครับ

ตอนนี้ก็เป็นเวลา 17.30 น.แล้วครับซึ่งตอนนี้พวกเราก็มาถึงโรงแรมไพลินที่จังหวัดสุโขทัยแล้ว กระผมจึงถามพี่ที่โรงแรมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสุโขทัยว่าใกล้ ๆ แถวนี้มีที่ไหนบ้าง ทางพี่ที่โรงแรมได้แนะนำอุทยานประวัติศาสตร์เมืองเก่าสุโขทัยครับ เพราะใกล้ด้วยแถมปิดประมาณ 18.30 น.อีกต่างหาก ทีมงานเราจึงไม่รอช้าเพื่อไปยลโฉมเมืองประวัติศาสตร์ทันที พอเราไปถึงก็ต้องบอกได้คำเดียวครับว่าคุ้มค่าจริง ๆ ร่องรอยซากปรักหักพังของวัดโบราณ รูปปั้นพระพุทธรูป ล้วนแฝงไปด้วยร่องรอยอารยธรรมทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าคนสุโขทัยในสมัยนั้นคงอยู่กันด้วยรอยยิ้มอย่างแน่นอน เพราะศิลปะพระพุทธรูปจากที่ผมสังเกตุยิ้มทุกองค์เลยครับสมแล้วครับที่เป็นเมืองแห่งความสุขใจ (ตามความหมายของคำว่าสุโขทัยเลยครับ)

หลังจากเราเที่ยวเสร็จแล้วก็เป็นเวลาเย็นพอสมควรเหมาะแก่การรับประทานอาหารเย็นซะที จากที่เจ้าหน้าที่โรงแรมได้แนะนำร้านอาหารขึ้นชื่อต่าง ๆ พวกเราก็ตระเวนหาร้านอาหารอย่างดีแต่ก็ปรากฏว่าทุกร้านปิดหมดเลยครับ เราจึงไปฝากท้องที่ MK ในห้าง Big C ทันที บรรยากาศครอบครัวมากมายครับ ระหว่างที่เรารับประทานก็เห็นการเต้นออกกำลังกายของพนักงาน MK อีกด้วย เห็นแล้วก็อดยิ้มมิได้ (ได้แต่นึกว่าที่สถาบันน่าจะมีบ้าง) หลังจากการแสดงเสร็จลงกระผมก็ปรบมือทันทีเลยครับ หลังจากเราทานอาหารเสร็จแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าสู่โรงแรมเลยครับเพื่อจะรีบพักผ่อนและเตรียมงาน CSR Campus ในวันต่อมา

วันต่อมาก็ผ่านมาไวเหมือนโกหกนะครับในวันนี้กระผมก็ตื่นนอนประมาณช่วง 6.15 น.พอดีหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เริ่มรับประทานอาหารกับทีมงานอย่างพร้อมหน้า ซึ่งในช่วงทานอาหารเช้าวันนี้ทางทีมงานสาวได้บอกว่าจะมีบุคคลท่านหนึ่งที่มาร่วมงานซึ่งเคยมาร่วมงาน CSR Campus ในปีแรกอีกด้วย และเป็นผู้ที่แนะนำว่าควรมีเรื่องของหน้าที่พลเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง CSR อีกด้วย จากคำแนะนำเมื่อปีที่แล้วก็นำมาสู่กิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทในปีที่นี้ด้วยครับ (ถือว่าเป็นเรื่องนวัตกรรมเหมือนกันนะเนี่ย) พอเราทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่ห้องประชุมเพื่อเตรียมงานทันทีซึ่งวันนี้ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคธุรกิจจนถึงระดับข้าราชการบำนาญก็มีนะครับในวันนี้

ในช่วงกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทมีข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวสุโขทัยดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานโดยอาศัยหลักธรรมเรื่องอิทธิบาท 4 มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้องค์กรธุรกิจเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของท้องถิ่นโดยเคร่งครัด เนื่องจากการทิ้งของเสียหรือสิ่งปฏิกูลลงแหล่งน้ำหรืออากาศล้วนเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทั้งสิ้น ส่วนหัวข้อต่อมาที่สนใจ คือ การเป็นผู้มีความสัตย์ด้วยการพูดจาอย่างตรงไปตรงมาและส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้องค์กรเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของท้องถิ่นอย่างเคร่งครัดซึ่งจะเป็นการไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนส่วนรวมอีกด้วย

มาถึงช่วงกิจกรรม CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวสุโขทัยดังนี้เช่น การเพิ่มความเชื่อถือได้ในการดำเนิน CSR ขององค์กรเนื่องจากการที่องค์กรมีการทำ CSR ด้วยการให้บริการรับเช็คสภาพรถในราคา 20 บาทด้วยการไม่เกี่ยงยี่ห้อด้วยแต่ประชาชนทั่วไปที่ใช้รถยนต์ก็ยังไม่เชื่อว่าองค์กรเราจะรับเช็คสภาพรถทุกยี่ห้อจึงต้องมีการเพิ่มความเชื่อถือให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ใช้รถยนต์ และเมื่อเช็คสภาพเรียบร้อยหากต้องซ่อมก็จะมีการแจ้งราคาค่าซ่อมอีกด้วยโดยไม่จำเป็นต้องซ่อมกับองค์กรก็ได้ ส่วนหัวข้อต่อมาคือ การทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR โดยปกติหน่วยงานจะเน้นการให้บริการอุตุนิยมวิทยาด้านเกษตรกรรมแก่เกษตรกรในจังหวัดสุโขทัย ซึ่งประกาศแค่เพียงช่องทางวิทยุในช่วงเวลาจำกัด ทำให้เกษตรกรอาจได้รับข่าวสารอย่างไม่ทั่วถึงจึงต้องมีการปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยอาจจะเพิ่มช่องทางผ่านโทรศัพท์มือถืออีกช่องทางก็เป็นได้ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลเรื่องอากาศไปสู่เกษตรกรได้ดีกว่าเดิม

มาในช่วงพักทานอาหารกลางวันบรรยากาศก็เป็นห้องอาหารเมื่อตอนเช้าซึ่งเป็นกันเองมาก มีทั้งแขกจากงานอื่น ๆ มาร่วมกันในห้องอาหารอย่างคึกคัก(หัวดำหัวทองปนกันมั่วเลยครับ) หลังจากกระผมทานอาหารเสร็จก็รีบมาเตรียมงานต่อเพื่อเริ่ม CSR Campus ในรอบบ่าย ซึ่งกระผมเห็นคุณป้าท่านหนึ่งมานั่งรอที่ห้องประชุมแล้ว ก็เลยชวนท่านคุยสักพักซึ่งเนื้อหาเรื่องที่คุยก็จะเป็นเรื่องทั่วไปในจังหวัดสุโขทัยว่าตอนนี้ในน้ำมีปลา ในนายังมีข้าวอยู่หรือเปล่า ซึ่งคุณป้าบอกว่านายังมีข้าวอยู่นะ แต่ในน้ำไม่แน่ใจว่าจะมีปลาอยู่หรือเปล่า คุณลุงบางท่านบอกว่าปลาหนีจากในน้ำไปอยู่ Big C หมดแล้ว 555 และผมยังถามเพิ่มในส่วนของเมืองเก่าเทียบกับ อุทยานศรีสัชนาลัยต่างกันอย่างไรบ้าง คุณป้าเล่าว่าเมืองเก่าจะเน้นเป็นพวกวัดมากกว่าแต่ที่อุทยานศรีสัชนาลัยจะดูคึกคักกว่า ชุมชนแถวนั้นมีการตั้งเป็นตลาดเพื่อซื้อขายพวกผ้าบ้าง หรือเครื่องเงินบ้าง ส่วนบริเวณศรีสัชนาลัยก็ยังมีพวกถ้วยชามสังคโลกอีกด้วย(ในใจกระผมก็ได้แต่นึกอยากไป แต่คงไม่มีเวลาไปเที่ยวอย่างแน่นอน)

ในส่วนกิจกรรมสุดท้ายคือกิจกรรม Creative CSR ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจของชาวจังหวัดสุโขทัยดังนี้เช่น “โครงการชุมชน 700 ปีสุโขทัย” โดยโครงการดังกล่าวจะเน้นด้านการท่องเที่ยวในสุโขทัยให้มากขึ้นเนื่องจากเดิมทีจังหวัดสุโขทัยเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่แล้วซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวแค่เมืองเก่าเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายด้าน เช่น การผลิตผ้าตั้งแต่การทอจนถึงย้อมสีผ้า การทำขนม และนาฏศิลป์แบบดั้งเดิมหรือแบบประยุกต์อีกด้วย เป็นต้น โดยโครงการนี้จะเน้นความน่าสนใจในเรื่องอื่น ๆ ของจังหวัดสุโขทัยให้มากขึ้นซึ่งจะเป็นการเพิ่มจุดขายในการท่องเที่ยวให้จังหวัดสุโขทัยไปในตัวรวมถึงการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนสุโขทัยอีกด้วย

โครงการต่อมาคือ “โครงการเกษตรอินทรีย์” เนื่องจากการที่สิ่งแวดล้อมในจังหวัดสุโขทัยปัจจุบันค่อนข้างแย่ซึ่งสังเกตุได้จากอุณหภูมิที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงเกษตรกรทั่วไปที่ยังผลิตพืชผลทางการเกษตรที่ยังใช้สารเคมีอยู่ซึ่งทำลายทั้งสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายด้านสารเคมีก็ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นจึงมีการเริ่มโครงการเกษตรอินทรีย์โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ และมีการบรรยายการทำเกษตรกรรมแบบผสมผสานโดยเน้นขุดสระน้ำไว้ในพื้นที่ด้วยเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่พื้นที่เกษตรรวมถึงเลี้ยงปลาในบ่อน้ำนั้นด้วย

และวันนี้ผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์สังวร ด้วงบาง รองผู้อำนวยการ วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรงจังหวัดสุโขทัยโดยท่านกล่าวกับผมว่า “ วันนี้ได้ทราบถึงความรู้ด้าน CSR เกี่ยวกับเรื่องชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยจะนำความรู้ดังกล่าวนี้ไปบูรณาการในสถานศึกษาให้เป็นระบบมากขึ้น และเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องนำไปสอดแทรกในกิจกรรมต่าง ๆ หรืออาจารย์เพื่อนำไปเผยแพร่สู่นักศึกษาอีกที ซึ่งตอนนี้ทางวิทยาลัยก็มีกิจกรรมในการให้บริการชุมชนเรื่องการซ่อมสร้างของชุมชนเพื่อพัฒนาท้องถิ่นซึ่งเป็นการให้นักศึกษาได้รับความรู้ทั้งวิชาชีพและ CSR ผ่านการปฏิบัติอีกด้วย”

ตอนนี้กิจกรรม CSR Campus จังหวัดสุโขทัยก็ได้จบแล้ว ซึ่งตอนนี้พวกเราก็เพลียกันระดับหนึ่งจึงมีการเสนอว่าเราควรมาเติมพลังด้วยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยสักหน่อยโดยเรามุ่งหน้าไปร้านเจ๊แฮครับ พอมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊แฮทางร้านก็ได้ต้อนรับด้วยการคว่ำเก้าอี้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว (แถวบ้านเรียกร้านปิด) เราจึงกลั้นใจ (หรือกลั้นหิวก็ไม่รู้) ไปเติมพลังต่อในจังหวัดต่อไป ใบ้ให้นิดนึงว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดบ้านเกิดสมเด็จพระนเรศวรอีกด้วย แล้วพรุ่งนี้เรามาเจอกันใหม่ครับ

แพร่

วันนี้เป็นวันจันทร์ครับ ผมขับรถเดินทางไปที่ทำงานอย่างสบายอารมณ์ ไม่รีบเร่งอะไรมาก พี่ๆเค้านัดกัน 9 โมง ผมอยู่บนทางด่วนก็ 9 โมงแล้ว อืม...อีกกี่นาทีจะถึงละเนี่ยะ แต่ผมก็ไม่เร่งรีบอะไรครับ เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องสายอยู่ดี แวะเติมน้ำมันซักหน่อย เข้า Seven Eleven ซักนิด ซื้ออะไรลองท้อง เหอๆ คิดอยู่ในใจว่า จะโดนว่าไหมเนี่ยะ ขณะแวะที่ Seven Eleven ก็เห็นพี่หมูผู้ใจดีที่คอยแจกเสื้อผมบ่อยๆเพราะขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น มายืนกดเงินอยู่ แสดงว่าพี่ๆเค้ายังไม่ออกเดินทางอย่างแน่นอน รู้สึกโล่งใจลึกๆ มาถึงก็ขนของลงทันที เสียงของพี่หนึ่งมาก่อนเหมือนเคย อ้าว...นายแม๊กซ์ จะไปไหมเนี่ยะ ปาเข้าไปกี่โมงแล้ว ผมก็เดินไปสวัสดีทักทายพี่ๆทุกคน ก็เห็นอาจารย์พงศ์กับอาจารย์บอยและพี่ๆคนขับรถ ยืนคุยกันเกี่ยวกับเส้นทางในการเดินทางในครั้งนี้ และการเดินทางครั้งหน้าที่จะไปยังจังหวัดต่างๆที่เหลือ เพราะว่าเราได้มีการเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย ทำให้ทีมอาจารย์บอยต้องเพิ่มจังหวัดเข้าไปอีกประมาณ 2 จังหวัด เห็นจะได้ ต้องขอขอบพระคุณจากใจจริงๆครับ

กราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ทั้ง 2 ทีมก็ออกเดินทางทันที OK! Lets go!! แต่ไม่ทันไรทีมเราก็เหลือบไปเห็นว่ามีรถเข็นผลไม้มา จอดๆๆ! เสียงพี่ผึ้งดังมาจากข้างหลัง ไม่ทันไรก็หาของกินซะแล้ว ทีมเราก็แบบนี้ละครับ อิ่มไว้ก่อนเป็นดี อุดหนุนกันเรียบร้อย ปิดหน้าต่างรถออกตัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทีมเราก็ได้พูคคุยกันถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาครับ เหมือนไม่เจอกันเป็นอาทิตย์ ทั้งๆที่เจอกันทุกวันแต่อาจจะไม่ค่อยได้คุยกันนักครับ

ขับมากันได้ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็ชักจะหิวซะแล้ว แวะกันที่ปั๊ม PTT ครับลงไปหาซื้อเสบียงซักนิด พี่ผึ้งมาอีกแล้ว “จะกินอะไรนักหนาเดี๋ยวก็แวะกินข้าวแล้ว!” ( -_-‘) ผมตัวเล็กเลย! อะไรอ่ะ...คนมันหิวอ่ะ บังเอิญผมมองออกไปนอกร้านเห็นทีมอาจารย์บอยมาแวะพอดี แต่รู้สึกจะไม่รู้ว่าทีมเราอยู่ในนี้ ผมจึงวิ่งเข้าไปด้านหลังพี่หนึ่ง และล๊อคแขนไว้ หยุดเอาเงินมา! พี่หนึ่งตกใจสะดุ้งใหญ่ ฮ่าๆ ก็เฮฮากันไปครับ แกล้งคนอื่นสะใจเรียบร้อยเราก็ไม่รอมุ่งหน้าสู่จุดหมายทันที

จะว่าไปแล้วการเดินทางคราวนี้เอากีตาร์มา 2 ตัว ของผมและของอาจารย์พงศ์ เหอๆๆ แทบจะไม่ต้องนั่งกันเลยทีเดียว แต่เพื่อความสนุกสนานจึงไม่หวั่น (แต่ไม่รู้พี่ผึ้งกับพี่แอนจะคิดไงครับ) การเดินทางค่อนข้างใช้เวลานานมากทีเดียว สองข้างทางเขียวขจีไปหมด ขึ้นเขาวิวก็ดี พอเราผ่านทุ่งนามาก็เห็นนกฝูงใหญ่ยืนกินหาอาหารกินอยู่ในนา เอนโดรฟินในการถ่ายรูปของอาจารย์พงศ์ก็สูบฉีบอย่างรุนแรงเลย แต่จะหยิบกล้องมาก็คงยาก จึงได้แต่มองผ่านไป ฮ่าๆๆ ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ครับ ตื่นมาอีกทีก็ถึงซะแล้ว โรงแรมนครแพร่ทาวเวอร์ จ.แพร่ ครับผม มีสัญลักษณ์ช้างที่แกะด้วยไม้สวยงามทีเดียวครับ เราได้ไปแวะทานข้าวกันที่ “ร้านบางรัก” บรรยากาศคราวนี้อาจจะไม่ติดน้ำครับ แต่ติดเนินเขาประมาณนั้น อากาศก็ดี ถ้ามาหน้าหนาวคิดว่าต้องสุดยอดแน่นอน พนักงานก็บอกเองว่าถ้ามาหน้าหนาวจะเป็นหมอกหมดเลย อาหารที่นี่รสจัดใช้ได้เลย ผมจึงซัดไปสามจาน พนักงานมาแซวอีกแล้ว “พี่นี่เจริญอาหารดีนะค่ะ” เราได้เดินทางกลับไปยังโรงแรมและได้แวะซื้อยาแก้ไอกันนิดหน่อย เพราะอาจารย์กับพี่ผึ้งดูจะไม่ค่อยสบาย แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่สองคนนี้ครับ พอเดินออกมาร้านข้างๆเป็นร้านขายอุปกรณ์กีฬาและในนั้นมีสุนัข Siberian Husky อยู่ 3 ตัวด้วยกัน เป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขที่ผมชอบมากที่สุด กะจะวิ่งไปเอากล้องมาถ่ายแต่แล้ว ประเด็นมันอยู่ที่ คนนี้เลยครับ พี่แอน! เธอเห็นสุนัข ปกติก็บ้าอยู่แล้ว แต่พอเห็นไอ้สามตัวนี้ เธอกระโดดครับพร้อมส่งเสียงแหลมๆว่า “อุ๊ยๆๆๆ น่ารักอ่า น่ารัก น่ารักมากเลย” (คำเตือน กรุณาคิดภาพตามประกอบไปด้วย) ทุกท่านอาจจะเคยเจอคนประเภทนี้นะครับ แต่ผมไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ พี่ผึ้งก่อนเลยครับ ตามด้วยอาจารย์และผมวิ่งขึ้นรถทันที อายอะครับ ไม่ใช่เด็กนะครับ มากระโดดๆ Oh My God! จะบ้าตาย ผมจึงอดเก็บภาพเจ้าสามตัวนั้นมาให้ทุกท่นชมเลย....จะว่าไปผมน่าจะอัดวีดีโอผีเด็กมาให้พี่ๆที่ทำงานดูแทน ฮ่าๆๆ

เช้าในวันรุ่งขึ้นอาจารย์ลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อนผมครับ อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์หลับเร็วก็เป็นได้ หลับคากีตาร์เลยครับ จะเอารูปลงให้ดูก็อาจจะเสียภาพพจน์ได้ วันนี้ดูข่าวก็รู้สึกดีครับเพราะตำรวจของไทยเราเก่งครับสามารถจับคนร้ายที่ขโมยของมีค่าที่มีมูลค่าหลายล้านไปได้หลายราย และราคาน้ำมันโลกก็ยังลดลงอีกด้วย เช้านี้ฝนตกลงมาครับคิดว่าจะไม่ค่อยมีคนมาซะแล้ว เพราะแต่ละจังหวัดที่ผ่านมาน้องๆนักศึกษายังไม่ปิดเทอมแต่มาครั้งนี้น้องๆเริ่มทยอยสอบและปิดเทอมกันบ้างแล้ว จึงคิดว่าวันนี้คนจะน้อยมาก แต่แล้วผู้มาอบรมก็มาในจำนวนพอเหมาะเลยครับประมาณ 30 คนเห็นจะได้ ก็ทำให้การบรรยายในวันนี้เป็นบรรยากาศแบบสบายๆ

หน้าที่พลเมืองวันนี้ ผู้นำสเนอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเพราะเธอขออนุญาตเลือกทุกๆหัวข้อทั้งในเรื่องที่ตนทำและเรื่องที่อยากให้องค์กรเป็นไปในด้านดีทุกๆด้าน ต้องมีสติตลอดเวลา สิ่งใดควรทำไม่ควรทำ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อบรมลูกให้มีวินัย เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เข้าใจและให้โอกาสผู้อื่น คิดว่าการทำให้ประเทศเจริญต้องเริ่มจากตนเองก่อน และได้เน้นว่าอยากให้พนักงานในองค์กรมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ท่านที่ 2 มาเร็วไปเร็วแต่ได้ใจความว่า ต้องมีความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่จะทำให้คนรอบข้างเชื่อถือ โดยเฉพาะการที่พูดแล้วต้องทำให้ได้ด้วย องค์กรต้องไม่สร้างความเดือดร้อน ต้องสุจริต (เหมือนเก็บกดอะไรมาครับ) ท่านต่อมามีสมาธิและสติมาก เพราะไมค์ส่งเสียงเพี้ยนไปมาและก็ดับไปเลย แต่เนื้อหาก็ยอดเยี่ยมทีเดียว ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่นินทา ไม่ให้ร้ายหรือทำให้เกิดผลเสียแก่ผู้อื่น การไม่ฝ่าฝืนกฏหมาย ต้องมีความสัตย์ เป็นลูกผู้ชายพอ รักในหลวงเพราะเรามีประมุของค์เดียว คือพ่อของแผ่นดิน อยากให้องค์กรทำ 6 อย่าง คือ หลักความรับผิดชอบ หลักความโปร่งใส หลักความยุติธรรม หลักความคุ้มค่า การมีส่วนร่วมและหลักความเสมอภาค

สำหรับกิจกรรม CSR เชิงระบบของชาวจังหวัดแพร่ ท่านที่นำเสนออยากให้มีโครงการ Open House ที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดแพร่ จัดกิจกรรมค่ายนักเรียนผู้นำ กิจกรรมเชิมชมศูนย์ฐานการเรียนรู้ จัดนิทรรศการเกี่ยวกับหลักสูตรต่างๆ ทำให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับสถาบันมากขึ้น ท่านต่อมาเสนอในการบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กร จัดโครงการชื่อว่า "การอบรมการรักษาสิทธ์ประโยชน์ของเกษตรกร" เนื่องจากเกษตรกรเป็นอาชีพสำคัญและถูกเอารัดเอาเปรียบจากสิ่งต่างๆมากมาย โดยกิจกรรมนี้จะจัดอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจในสิทธ์ประโยชน์ และเพื่อพัฒนาระดับฐานะของตนเองได้ ส่วนท่านสุดท้ายก่อนที่จะไปพักรับประทานอาหารว่างนั้นต้องการให้จัดกิจกรรม ผักสวนครัวรั้วกินได้เพื่อตามรอยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รณรงค์และสนับสนุนให้คนในองค์กรปลูกผักทานเอง เมื่อมีความรู้ก็นำไปเผยแพร่ต่อๆไปได้

ในส่วนของกิจกรรม Creative CSR เราได้โครงการดีจากชาวแพร่ “โครงการทำปุ๋ยอินทรีย์จากเศษพืชการเกษตร” เพื่อลดการเผาทำลายทิ้ง ไม่ทำให้โลกร้อน มีการรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งสหกรณ์ มีการจ้างงานในชุมชน มีการจัดอบรมให้ผู้สนใจมาทำปุ๋ยเพื่อลดการซื้อปุ๋ยเคมี เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเงินหมุนเวียนในชุมชน ประชาชนมีรายได้ประจำ มีปุ๋ยที่เป็นมิตรต่อสภาพดิน

ต่อมา คือ “โครงการขยะรีไซเคิล เริ่มที่บ้าน” มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกในชุมชนได้ทราบถึงประโยชน์ของโครงการ ตั้งศูนย์รับขยะที่ได้ทำการคัดแยกแล้ว ประโยชน์ที่จะได้รับ คือ การลดปริมาณขยะ สร้างรายได้ให้กับประชาชน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน ช่วยลดภาวะโลกร้อน ชุมชนจะสะอาด น่าอยู่ บรรยากาศก็จะดีขึ้นตามๆกัน

อีกโครงการ คือ “โครงการปุ๋ยอินทรีย์จากซังและเปลือกข้าวโพดโดยวิธีการเติมอ๊อกซิเจน” นำซังและเปลือกข้าวโพดที่เกิดจากการเก็บเกี่ยวมากองไว้ นำท่อ PVC เสียบเข้าไปในกองซังและเปลือกข้าวโพด เพื่อปล่อยอ๊อกซิเจนเข้าไปในกองที่เตรียมไว้ เติมน้ำและปุ๋ย EM เพื่อเร่งการหมัก ปล่อยทิ้งไว้ให้เกิดการย่อยสลาย จะได้ปุ๋ยชีวภาพ เกษตรกรในพื้นที่จะได้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้ เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ลดการพึ่งปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงและลดรายจ่ายของเกษตรกร

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ภิญโญ ผลงาม จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้แพร่เฉลิมพระเกียรติ กล่าวไว้ว่า “จากที่ไม่เคยมีความรู้เรื่อง CSR เลย วันนี้ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับ CSR มากมายเลยทีเดียว คิดว่าการมาจัดกิจกรรมให้ชาวจังหวัดแพร่ในครั้งนี้ ทางเราโชคดีมากแต่เสียดายตรงที่เวลามีอยู่นิดเดียว เพราะว่าตอนนี้แต่ละสถาบันอยู่ในช่วงสอบปลายภาค ทำให้น้องๆนักศึกษาไม่สามารถที่จะมาเข้าอบรมด้วยได้ ในปัจจุบันนักศึกษาของเราค่อนข้างที่จะละเลยในเรื่องหน้าที่พลเมืองอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บ้านเมืองเราตอนนี้เหมือนจะขาดความสามัคคี ก็จะนำตัวอย่างที่ได้เรียนไปในวันนี้ ไปสอนให้กับเด็กเพื่อความเข้าใจมากขึ้น”

การอบรมเสร็จสิ้นลงพร้อมกับการแจกของรางวัลต่างๆ วันนี้เป็นวันแรกของการอบรมในการเดินทางครั้งนี้ และอาจารย์กับทีมงานสาวของเราก็ดูจะไม่ค่อยสบาย อืม...สงสัยงานจะหนัก ฮ่าๆๆ คราวนี้ผมจึงดูฟิตที่สุดครับ หลังจากที่สองทริปที่ผ่านมาผมเบื่ออาหารไปพักใหญ่ แต่ครั้งนี้กินไม่ยั้งเลยครับ กะว่าขอเอาคืนสิ่งที่ขาดทุนหน่อย (ด้านโภชนาการ) เราเดินทางไปกราบไหว้พระธาตุช่อแฮ และแวะชมแพะเมืองผี ทั้งสองที่ต่างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของชาวแพร่ ผมได้อ่านประวัติของแพะเมืองผีมาว่า “เป็นป่าครับ และมียายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาของป่ามาทำอาหาร แต่เดินเข้าไปแล้วไปเจอกับของมีค่าพวกทอง อัญมณีทั้งหลายจึงขนกลับออกมา แต่เดินยังไงก็ออกมาไม่ได้ซักที เพราะเจ้าที่แค่ต้องการโชว์ของให้ดูเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้นำกลับ เธอเดินหาทางออกอยู่นานจึงได้วางของไว้และกลับออกมาได้ เธอไปบอกชาวบ้าน จึงพากันมาดูแต่ของทุกอย่างก็หายไปหมดแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของ ที่นี่ครับ”

หลังจากที่เราได้แวะชมสถานที่ต่างๆแล้ว จึงเดินทางต่อทันทีเพราะว่าการเดินทางไปที่ต่อไปอาจต้องใช้เวลาซักนิด กับทางที่ค่อนข้างจะคดเคี้ยว แต่ก็ยังคงความงดงามของสองข้างทางอย่างแน่นอน ภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้ากับเมฆที่สามารถจินตนาการเป็นรูปต่างๆได้มากมาก เราไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีตึกหรือซอยอะไรมากมายให้เห็นอย่างแน่นอน สำหรับจังหวัดนี้ก็เสร็จสิ้นลง ขอให้ชาวจังหวัดแพร่และผู้ที่ติดตามการเดินทาง ทั้งของผม (นายแม็กซ์) และพี่หนึ่ง มีสุขภาพแข็งแรงครับ

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

นครราชสีมา




Notice: การเขียนในจังหวัดนี้ จะมีผู้เขียนสองคนเหมือนจังหวัดชลบุรีนะครับ แต่ก็ยังคงสาระและความสนุกไว้เช่นเคย ยังไงก็เป็นกำลังใจ ช่วยอ่านกันเยอะๆนะครับ!

(นายแม็กซ์) และแล้วก็มาถึงวัน วันที่เราต้องไป.....(เพลงเสกโลโซ) เหอๆ สวัสดีชาว CSR Campus ทุกท่านครับ วันนี้เป็นวันที่ทุกคนดูขยันและเร่งรีบกันเป็นพิเศษอีกวันหนึ่ง การเดินทางครั้งนี้เป็นทีมใหญ่เลยครับ ผมจะขอกล่าวรายชื่อซักนิดหนึ่งนะครับ (ดร.พิพัฒน์ อาจารย์สุธิชา อาจารย์ชวันรัตน์ อาจารย์วุฒิพงศ์ อาจารย์ฌานสิทธิ์ พี่หมู พี่สาว พี่ผึ้ง พี่แอน พี่น้อง พี่หนึ่ง พี่ตอง และผม) แต่สิ่งที่ Surprise ก็คือเราได้ผู้ร่วมเดินทางหน้าใหม่อีกหนึ่งท่านคือ น้องนีน่า ซึ่งทางเราเพิ่งจะ Import เธอ มาจาก United States of America ทางนีน่าอาจจะเข้าใจภาษาเรา แต่ยังยากที่จะเข้าใจในมุขของพี่หนึ่งและกระผม เราพร้อมใจกันเตรียมตัวเก็บวัสดุอุปกรณ์ ตรวจเช็คสิ่งของต่างๆ ที่จะเอาไปใช้ในงาน CSR Campus ระดับภาคอีสาน! ที่โคราชครับ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือกีตาร์ของอาจารย์พงศ์และผม (นายแม็กซ์) ขาดไปเหมือนขาดเสียงเพลงและชีวิตชีวา ถึงแม้จะเกะกะยานพาหนะของเราไปบ้างก็หยวนๆ นะ

ล้อของเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัว 9 ที่นั่ง (รถตู้ -_-‘ ) ทั้ง 2 ลำ พูดให้ดูยิ่งใหญ่ ก็เคลื่อนตัวออกจากลานกว้างขนาดใหญ่หน้าสถาบัน ซึ่งเราได้รับความสะดวกสบายจาก โปรธงชัย ใจดี ที่มาให้บริการเราในการพาเราไปถึงที่หมาย (หน้าคนขับรถตู้เราเหมือน โปรธงชัย อะครับ) ในระหว่างที่เรากำลังเม้าท์แตกกันอยู่ในรถนั้นเอง รถตู้ก็มาติดค้างบนทางด่วน มันเกิดอะไรขึ้น หลายๆ คนจากรถคันอื่นๆ ก็ลงมาและเดินไปดูอะไรบางอย่าง พวกผมเองนั้นก็นั่งคุยกันอยู่ในรถ เห็นควันสีขาวหนาแน่น ลอยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เฮ้ย! ควันจากรถที่ติดถังแก๊สนี่หว่า! มีคนตะโกนมา ทุกคนตาเหลือกกันใหญ่ บะแล้ว บะแล้ว! ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย ต้องมาพลีชีพแล้วหรอเนี่ย รถติดยาวเป็นแถว ผู้คนเริ่มตกใจกลัว และสันนิษฐานกันไปต่างๆ นาๆ แม๊กซ์ลงไปดูซิ (ทำไมต้องผมเนี่ยะ) เป็นเสียงคำสั่งที่ออกมาจากเบื้องบน คนในรถมีตั้งเยอะ ผมซะงั้นอะ ฮ่าๆๆ แต่หัวหน้าประจำทีมผมได้แสดงความรักลูกศิษย์ (รึป่าวหรือว่าแค่อยากลงไปดู) อาจารย์วุฒิพงศ์ก็ได้ชวนผมลงไป เผื่อจะได้ภาพและส่งไปให้กับรายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” ก็ยังมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็เห็นแต่ควัน เจ้าหน้าที่ของรถทัวร์จากบริษัทหนึ่งได้วิ่งมายังที่เกิดเหตุพร้อมยกถังดับเพลิงที่ติดมากับรถไปช่วยดับไฟที่ก่อให้เกิดควันจำนวนมากที่ทุกคนสงสัย รถได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละน้อย ในขณะที่ควันก็ยังออกมาเรื่อยๆพร้อมกับการลุกไหม้ เราเข้ามาใกล้ที่เกิดเหตุจึงเห็นว่า เป็นรถยี่ห้อหนึ่งสีดำซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ ไม่รอช้าเหยียบซิครับ! เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนมีรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด โชคยังดีของทุกคนเพราะว่ารถคันนี้ไหม้เนื่องจากน้ำมัน ไม่ใช่แก๊สทำให้ไม่เกิดการระเบิด หรืออาจเป็นเพราะบารมีของผู้บริหารจากไทยพัฒน์ก็เป็นได้ เหอๆ (จะเวอร์ไปไหม)

หลังจากที่เรารอดจากสถานการณ์ตื่นเต้นมาได้ ก็เม้าท์กันต่อกันพักใหญ่ และมีการอธิบายเกี่ยวกับเรื่อง CSR ให้กับน้องหน้าใหม่ของเราฟัง ส่วนผมก็นั่งดูวิวสองข้างทางไป จะว่าไปแล้วเราใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว ผมคิดว่าการมาโคราชจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่นี่ปาเข้าไป 3 ชั่วโมงนิดๆ เห็นจะได้ เราทุกคนขนของเข้าที่พัก ณ โรงแรมสีมาธานี เป็นโรงแรมที่จะบรรจุผู้มาอบรมในวันถัดไป และแล้วพยาธิในท้องก็มาเตือนจนได้ว่าถึงเวลาให้อาหารเย็นแล้วนะ เราจึงไปรวมตัวกันที่ห้อง VIP ของร้านอาหาร “เสียวเสี้ยว” เป็นร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ แต่แล้วก็มีประเด็นเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์พงศ์ได้ถามว่า แผ่นโรตีนี่มันไว้กินกับอะไร? ผมก็ตอบอย่างมั่นใจเลยว่ากับเป็ดครับ เพราะบางครั้งยังเอาหมั่นโถไปกินกับหมูพะโล้หรือหมูหันเลย ท่านก็เชื่อผมและลองทานดู รสชาติก็ออกมาดีทีเดียว ผมและอาจารย์ฌานสิทธิ์ก็ได้ทดสอบเช่นกัน แต่แล้วผมก็ดันทะลึ่งไปถามพนักงานเสริฟ์ว่ามันเอาไว้กินกับอะไร จึงได้คำตอบว่า เอาห่อกับจานที่ดูคล้ายๆ กับผัดหมี่โคราชทานค่ะ.......กรรมของผม ไม่น่าปากดีไปถามเลย แนะนำผิดเลยเรา หลงทานไปหลายคนเลย..แหะๆ

การลงทะเบียนวันนี้ มันส์สุดๆ ไปเลยครับ เพราะผู้คนมาให้ความร่วมมือกันเป็นจำนวนมากมายทีเดียว ต่อแถวยาวไปถึงไหนๆ ในการลงทะเบียน ผมเองวันนี้รับหน้าที่ช่างภาพ โอ้ว.....กดชัตเตอร์แทบไม่ทัน ยังดีที่วันนี้ อาจารย์วุฒิพงศ์ให้การสนับสนุน โดยการนำกล้องส่วนตัวท่านมาเองให้ผมได้ทดลอง เผื่อผมจะหลงไปกับอารมณ์ศิลป์ของกล้องตัวนั้น กล้องดีครับไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบได้แต่ (หนักโคตร) ปวดคอไปหมด ต้องแปลี่ยนเลนส์ไปมา สับสนกับชีวิตมาก ฮ่าๆๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ซึมซับมาได้เป็นอย่างดีครับ กว่าผู้คนจะลงทะเบียนเข้าห้องสัมมนากันหมดก็เลยเวลามาพอสมควร การเปิดงานของพี่ผึ้งก็เป็นไปได้ด้วยดี อาจจะมีสั่นเล็กน้อย เพราะเธอได้วางมือมาพักหนึ่ง โดยการมาสอนผมแทน เหอๆ อาจารย์ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ก็ทักทายผู้ที่มาเข้าร่วมอย่างเป็นกันเองพร้อมให้สาระน่ารู้เกี่ยวกับ CSR ในมุมมองต่าง ทั้งในด้าน CSR in-process และ CSR after-process การอบรมเป็นไปอย่างราบรื่น

(พี่หนึ่ง) หลังจากพักเบรกในรอบเช้ากระผมก็มานั่งฟังกิจกรรมต่อไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงจากเครือข่ายเพื่อสังคมโคราชโดยกระผมต้องเล่าความเป็นมาของเครือข่ายโคราชว่าโดยการจับมือของกลุ่มคนทำงานเพื่อสังคมโคราชหลังจากที่ได้รับฟังการอบรม CSR Campus ที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อปีแรก โดยความร่วมมือกันของหลายฝ่าย อาทิ ผศ.ดร.ปรีชา อุยตระกูล รักษาการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ประธานเครือข่าย CSR KORAT พร้อมด้วย ดร.พระมหาประเสริฐ ลันตจิตโต เจ้าอาวาสวัดหนองรังกา นางภารดี เกียรติภิญโญชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสังคมโคราช รวมถึง 3 องค์กรหลักในท้องถิ่น ทั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และมูลนิธิชุมชนโคราช น.พ.สำเริง แหยงกระโทก นายก อบจ.นครราชสีมา, นายปรีชา มิตรสูงเนิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลโคกกรวด, นางสาวรุ่งเรือง กาญจนวัฒนา นายก อบต.โคกกรวด และนายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เครือข่าย CSR โคราชค่อนข้างใหญ่จริง ๆ นะครับเนี่ย) โดยทางเครือข่ายมีจุดประสงค์เพื่อจะมุ่งสร้างจิตสำนึกในความเป็นอาสาสมัครคนโคราช และกระตุ้นให้สังคมเกิดความดีงามในวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้น และสร้างความเข้มแข็งชุมชน
ให้สามารถต่อกรกับยุคโลกาภิวัตน์

และในปีที่แล้วมีการนำกิจกรรมที่คิดได้มาปฏิบัติจริง เช่น งาน "เดิ่นฅนเดิน เต๊อะเตินโคราช" โดยกิจกรรมที่มีการจัดขึ้นมีความหลากหลายมากครับไม่ว่าจะเป็น การทำบุญตักบาตรฟังธรรมเทศน์มหาชาติสันดรชาดก การแสดงรำวงย้อนยุคการละเล่นพื้นบ้านซึ่งหาชมยาก จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จำหน่ายพันธุ์ไม้งามราคาถูก รับบริจาคสินค้ามือสองของเหลือใช้ เป็นต้น ส่วนการดำเนินกิจกรรมของเครือข่าย CSR Korat ในปีนี้จะมีหลากหลายด้าน อาทิ ด้านวัฒนธรรม โดยทางเครือข่ายได้สังเกตุถึงนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโคราชเพื่อมากราบไหว้ย่าโม โดยบริเวณแถวนั้นจะมีคณะลิเกรวมตัวอยู่ประมาณเกือบ 200 คณะด้วยกัน ซึ่งทุกวันนี้คณะลิเกมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาสนใจทางเครือข่ายจึงเล็งเห็นว่าควรจะอนุรักษ์คณะลิเกตรงนี้ไว้ มิฉะนั้นจะทำให้วัฒนธรรมลิเกโคราชสูญหายไป ทางกลุ่มจึงจัดเป็นกิจกรรมถนน Hollywood Korat ด้วย

ด้านเศรษฐกิจ ทางเครือข่ายก็มีส่วนร่วมประสานงานทางด้านหอการค้าโคราชกับทางมลรัฐเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียด้วยเนื่องจากมลรัฐเมลเบิร์นมีความเชี่ยวชาญการท่องเที่ยวแบบ Eco-Tourism ซึ่งทางเครือข่ายคิดว่าถ้ามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมรวมถึงความเชี่ยวชาญด้าน Eco-Tourism โดยคิดว่าหากโครงการนี้สำเร็จจะเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของโคราชให้ดียิ่งขึ้นรวมถึงเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมโคราชไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย

ด้านสุขภาพจิต ทางเครือข่ายได้เล็งเห็นว่าผู้ป่วยที่อยู่ตามโรงพยาบาลที่ป่วยไข้ต้องนอนรักษาตัวพยาบาลอยู่นาน ๆ จะมีสุขภาพจิตที่เสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ ทางเครือข่ายจึงเล็งเห็นการให้กำลังใจกับบุคคลเหล่านี้ด้วยการจัดประกวดภาพถ่ายธรรมชาติเพื่อนำภาพถ่ายที่ติดอันดับมาประดับไว้ในห้องผู้ป่วยเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยให้มีแรงต่อสู้โรคต่อไป

(นายแม็กซ์) วันนี้พี่หนึ่งของเราได้นำเต้นได้อย่างเมามันและรุนแรงมากครับ สร้างเสียงหัวเราะและเรียกเสียงปรบมือจากแขกผู้มีเกียรติได้อย่างมากมาย สมกับฉายา “ตลกหลวงแห่งไทยพัฒน์” ฮ่าๆ หลังจากที่ทุกคนได้ละลายไขมันกันแล้วเราก็ได้รับเกียรติจาก คุณอภิชาติ การรุณกรสกุล จากบริษัท Asia Precision อีกครั้ง ที่มาแชร์ประสบการณ์ ความคิด การบริหารองค์กร การเข้าถึงตัวพนักงาน การเอาใจใส่ดูแลในทุกๆเรื่อง รับฟังปัญหาที่มาปรึกษา การไม่ถือตัวหรือแบ่งแยกของระดับชั้น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่ได้ทำไป ส่งผลให้บริษัทยั่งยืนอย่างมั่นคง ท่านได้ฉายวีดีทัศน์ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม บรรยากาศต่างๆในโรงงาน กิจกรรมต่างๆที่พนักงานและผู้บริหารได้มาทำร่วมกัน จะหนุ่ม/สาวหรือมีอายุเยอะ ก็ให้ความร่วมมืออย่างไม่ถือตัวทั้งสิ้น อย่างนี้ซิครับ มันถึงจะกินใจพนักงาน ผู้มาอบรมหลายๆ ท่าน ต่างให้ความสนใจ มีการมาสอบถามขอข้อมูลจากตัวคุณอภิชาติเลยก็ดี มาขอจากทางเราก็ดี เพราะต้องการนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปเผยแพร่ให้กับบริษัทที่แต่ละคนทำอยู่ อะไรที่เป็นแบบอย่างที่ดีเราก็ควรที่จะเอาเยี่ยงอย่างครับ

(พี่หนึ่ง) ในช่วงสุดท้ายก็เป็นช่วงของการเสวนาจากผู้บริหารทั้ง 3 ท่านจาก บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ในหัวข้อ Creative CSR in Slowdown Economy นะครับ โดยในวันนี้เราได้พิธีกรเป็นคุณคุณภารดี เกียรติภิญโญชัย มาคอยดำเนินการร่วมเสวนาครั้งนี้ด้วย (คุณภารดี ก็เป็นตัวแทนเครือข่าย CSR จังหวัดนครราชสีมาด้วยนะครับ) โดยบรรยากาศในการเสวนาแม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้ว แต่ความสนุกก็ไม่ได้หลุดหายไปไหนนะครับ โดยเนื้อหาสรุปของการเสวนามีดังนี้ครับ

เริ่มจากผู้บริหารทาง บมจ.กสท โทรคมนาคม ก่อนครับโดยท่านให้ความเห็นดังนี้ “แม้ว่าปีนี้ทาง CAT จะต้องเผชิญต่อวิกฤติเศรษฐกิจ แต่โครงการ CSR เดิมที่ยังดำเนินอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ รวมถึงการนำเครื่องมืออุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปให้แก่ผู้ยากไร้ด้วย และช่วงเวลานี้ CAT ก็จะปรับตัวโดยการหันมาหาคนภายในองค์กรว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง CSR ที่ดีแล้วหรือยัง โดยเริ่มจากการปลูกฝังผ่านการอบรมและปฏิบัติ ซึ่งหวังว่าวันหนึ่งการทำ CSR ตรงนี้จะเป็นการสร้าง DNA CSR ให้กับองค์กรเลยทีเดียว”

ส่วนทางผู้บริหาร บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นว่า “โตโยต้ามีการดำเนินงานมา 47 ปีแล้วและผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมามากมายโดยต้องมองว่าการผ่านวิกฤติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและทำให้เราเห็นคุณค่าของคนอื่นด้วยอีกทางซึ่งทำให้การดำเนินนโยบายของบริษัท Toyota แม้ว่าต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจก็ยังต้องเพิ่มงบในส่วนของนโยบาย CSR ของบริษัทอยู่ดี แต่อยากให้ทุกท่านมองว่างบประมาณมิใช่เป็นข้อจำกัดในการทำ CSR เพราะการทำ CSR ต้องเริ่มจากใจเพราะว่าการทำงานด้วยใจสำคัญที่สุดโดยยกเรื่องพระฤาษีสุเมธดาบสทอดกายเป็นสะพานแด่พระทีปังกรพุทธเจ้าเพื่อหวังว่าชาติหน้าอยากเกิดเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งการกระทำดังกล่าวล้วนเกิดจากความตั้งใจล้วน ๆจึงสำเร็จได้ “

ส่วนท่านผู้บริหารท่านสุดท้ายจาก บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ได้ให้ความเห็นว่า “การดำเนินธุรกิจของ Dtac จะต้องดำเนินไปบนความยั่งยืนของคนไทยด้วย หากคนไทยขาดความยั่งยืน Dtac ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อได้ ทาง Dtac จึงเริ่มการทำโครงการสำนึกรักบ้านเกิด โดยมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนจนจบการศึกษาระดับปริญญาแล้วส่งกลับมาทำงานที่บ้านเกิด รวมถึงโครงการทำดีทุกวันซึ่งมีอยู่ประมาณ 300 โครงการซึ่งอยู่ภายใต้กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเมื่อ Dtac จะดำเนินกิจกรรม CSR ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ต้องบอกว่างบประมาณมิใช่ข้อจำกัดของการทำ CSR ของทาง Dtac โดย Dtac จะเน้นมองถึงผลลัพธ์มากกว่า เช่น Dtac ได้ใช้เครือข่ายผสมกับภูมิปัญญาชาวบ้านที่คอยสังเกตปริมาณน้ำฝน และความเร็วลมเพื่อคาดการณ์การเกิดพายุได้ ซึ่งหากมีโอกาสในการเกิดพายุขึ้นทาง Dtac ก็จะส่ง SMS ไปแจ้งเตือนชาวบ้านในบริเวณรอบ ๆ ซึ่งเป็นการป้องกันภัยที่เกิดจากพายุอีกด้วย โดยอาจมองว่าผลกระทบที่เกิดจากพายุอาจสร้างความเสียหายที่ 10 ล้านบาท แต่การทำ CSR ของ Dtac ต้องเสียเงิน 1 ล้านบาทโดยส่วนต่าง 9 ล้านบาทที่ลดการสูญเสียได้จะถือว่าเป็นคุณค่าที่เกิดเพิ่มขึ้นจากการทำ CSR ครั้งนี้อีกด้วย”

วันนี้ในระดับภาคอีสานมีสถานศึกษามามากมายครับ ซึ่งกระผมก็มีโอกาสได้สนทนาเหมาหมดเลยคนเดียวโดยวันนี้มีอาจารย์ 5 ท่านจาก 5 สถาบันด้วยกัน (เป็นสถิติมากที่สุดในวันนี้) ท่านแรกคือ อาจารย์อดิศร สุทธาวาส จากวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา ซึ่งท่านกล่าวว่า “วันนี้ทั้งอาจารย์และนักศึกษาได้รู้ถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น มากยิ่งขึ้น และปัจจุบันสังคมก็กำลังถูกทอดทิ้งอยู่เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่มีการนำเรื่อง CSR มาตีแผ่มากขึ้น และส่วนของเรื่องพลเมืองบรรษัทก็จะต้องมีการเผยแพร่ต่อนักศึกษา ซึ่งทางสถานศึกษาก็มีการทำอยู่แล้วในบางหัวข้อเช่น การเปิดศูนย์ Fix it Center เพื่อให้นักศึกษาใช้ความรู้เรื่องช่างในการไปช่วยซ่อมรถไถหรือเครื่องจักรที่เสียหายและชาวบ้านเหล่านั้นไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าซ่อมได้ เป็นต้น และอาจารย์ได้ทิ้งท้ายว่าหากสังคมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน”

ส่วนอาจารย์ท่านต่อมาคือ อาจารย์พินิจ ณรงค์ศักดิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งท่านกล่าวว่า “หลังจากฟังอบรมวันนี้ทำให้รับรู้ว่า CSR ก็คือเรื่องจิตสำนึกนั่นเองซึ่งสำคัญต่อตนเองอย่างยิ่งในฐานะที่กระผมก็เป็นอาจารย์และผู้บริหารซึ่งมีหน้าที่ในการจัดซื้อ และสร้าง Infrastructure ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยส่วนตัวคิดว่านักศึกษาที่มาวันนี้จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ค่อนข้างมาก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทสามารถนำไปเผยแพร่สู่นักศึกษาได้แน่นอนซึ่งเรื่องพลเมืองบรรษัทพูดอย่างสรุปก็คือการดำเนินงานด้วยการไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น โดยควรเริ่มที่จากระดับรายบุคคลจนมาสู่ระดับองค์กรในที่สุด”

ต่อมาเป็นอาจารย์ชฎารัช คำแพงตา และอาจารย์อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ จากมหาวิทยาลัยวงศ์ชวลิตกุล ซึ่งทั้งอาจารย์ทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะไว้ดังนี้ “วันนี้ได้รับความรู้ CSR เพิ่มมากขึ้นและได้รู้ว่าตอนนี้ธุรกิจเริ่มคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงนักศึกษาที่มาร่วมงานวันนี้ก็ได้เห็นกรณีศึกษาทางธุรกิจที่ได้ทำ CSR และประสบความสำเร็จอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องนำมาเผยแพร่เพื่อให้นักศึกษามีความรับผิดชอบและมีจิตสำนึกที่ดีขึ้น ซึ่งต่อไปเมื่อนักศึกษาเข้าไปทำงานในองค์กรต่าง ๆ ก็จะทำให้องค์กรดังกล่าวมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มด้วย”

ท่านต่อมาเป็นอาจารย์จตุรวิทย์ ศศิธรานนท์ จากวิทยาลัยนครราชสีมา ซึ่งกล่าวว่า “ก่อนหน้าที่จะเข้ามาฟังเข้าใจว่า CSR ก็คือเรื่อง CRM แต่หลังจากฟังบรรยายแล้วทำให้ทราบว่า CSR กับ CRM นั้นต่างกัน เพราะ CSR มุ่งประโยชน์สู่สังคมเป็นหลักส่วน CRM มุ่งประโยชน์ต่อองค์กรเป็นหลัก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่ต่อนักศึกษาเพราะต้องยอมรับว่านักศึกษายังมีความรู้ด้านนี้ที่น้อยอยู่ จึงต้องมีการปลูกจิตสำนึกให้แก่นักศึกษาโดยเริ่มตั้งแต่ตนเองก่อน เมื่อตนปฏิบัติดีแล้วก็จะเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นอีกด้วย”

ส่วนท่านสุดท้าย คือ อาจารย์รัชฎาพร วิสุทธากร จากเทคโนโลยีสุรนารี (เริ่มเชื่อผมยังครับว่าวันนี้สัมภาษณ์เยอะจริง ๆ) ซึ่งท่านกล่าวกับผมว่า “ได้ติดตาม CSR Campus ตั้งแต่ปีแรกแล้ว ซึ่งปีนี้มีความรู้เพิ่มเติมในเรื่องของ Creative CSR และได้เห็นกรณีศึกษาเรื่อง CSR ไม่ว่าจะเป็น เครือข่าย CSR ที่โคราช หรือ การที่บริษัท Asia Precision ได้ใช้ความกตัญญูและวินัยมาปรับกับใช้กับพนักงานอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทสามารถเผยแพร่ได้เพราะส่วนตัวสอนวิชาจริยธรรมธุรกิจอยู่แล้วต้องมีการเพิ่มเติมลงไปในรายวิชาอย่างแน่นอนส่วนอีกช่องทางหนึ่งที่จะเผยแพร่ได้ คือ การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมร่วมไปกับรายวิชาและกิจกรรมอื่น ๆ ของเทคโนโลยีสุรนารีเพิ่มเติมด้วย”

เป็นยังไงกันบ้างครับกับ CSR Campus ประจำภาคอีสาน กระผมก็หวังอย่างยิ่งว่า ทุกๆท่านที่ติดตาม จะได้รับความรู้และสนุกสนาน ซ้ำยังได้รับรู้บางสิ่งบางอย่างของสถานการณ์ของโลกในขณะนี้อีกด้วย การสัมนาวันนี้ทุกท่านคงได้รับรู้ถึงประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายและมุมมองของผู้บริหารหลายๆท่าน ที่มาทำให้หลายๆคนมองเห็นภาพ หรืออาจจะนำแนวคิดต่างๆที่ได้รับฟัง ไปปรับใช้หรือแก้ปัญหาให้กับองค์กรของตนเอง

การเก็บสัมภาระและ Check out เป็นไปอย่างรวดเร็ว แล้วพี่หมูของเราก็ดันไปเปิดรถตู้ใครก็ไม่รู้ โอ้ว!!....ก้าวขึ้นไปแล้วเลยต้องวิ่งกลับมาหาทีมงานอย่างขวยเขิน ในวงสนทนาทีมงานเราเลยปล่อยฮากันจนท้องแข็งครับ และเราก็ได้ไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่งรวมกันแต่เหมือนแบ่งโต๊ะเป็น 2 ฝั่ง ด้านนักวิชาการ กับ ด้านมูมมามไร้ซึ่งอารยธรรม ฮ่าๆๆ สั่งอาหารมากันเพียบ ไม่รู้ไปใช้พลังงานเยอะกันจากไหน ถึงต้องสั่งกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ทุกคนรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย สนทนาและแซวกันอย่างเป็นกันเอง เพราะเรารักและปรองดองกันครับ โอ้โห...กล้าพูดเนอะ เราต่างรับประทานอาหารต่างๆ นั่งชมท้องฟ้าและบึงน้ำยามเย็นกันอย่างสบายอารมณ์

สำหรับวันนี้ก็หวังว่าทุกๆ ท่านจะได้ความสุขเช่นกัน และคิดว่าทุกๆ คนจะทำ CSR ในทุกๆ วัน ทุก ๆนาที ทุก ๆ ชั่วโมงนะครับ เพื่อตัวของท่านเอง อย่าไปมองถึงคนอื่น ขอทิ้งท้ายและย้ำไว้ว่า “ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจและตัวของเรา” สวัสดีครับ!

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

นครพนม








หลังจากเราทานข้าวเสร็จที่จังหวัดสกลนครเราก็มุ่งไปสู่จังหวัดนครพนม โดยในใจกระผมก็หวังว่าจะมีโอกาสไปเที่ยวพระธาตุพนมด้วยนะเนี่ย เพราะก่อนหน้าที่เราจะไปจังหวัดนครพนม พวกเราก็มีโอกาสไปเที่ยวพระธาตุเชิงชุมที่จังหวัดสกลนครด้วย โดยบรรยากาศถือว่าสวยงามมากครับมีหลักศิลาจารึกโบราณบริเวณฐานพระธาตุด้วยครับ (ลองอ่านแล้วอ่านไม่ออกแฮะ จึงไม่ได้แปลมาให้ฟังใน Blog) กระผมลองถามพี่ Formula 1 ดูเค้าให้ความเห็นว่าพระธาตุพนมสวยกว่าและใหญ่กว่ามาก ผมถึงกับนั่งคิดว่าแค่พระธาตุเชิงชุมก็สวยแล้วนะเนี่ย พระธาตุพนมยังสวยกว่าอีกเหรอเนี่ย (ในใจได้แต่คิดว่าจะไม่พลาดการไปเที่ยวพระธาตุพนมแน่นอน)

ในระหว่างทางการเดินทางเราก็แวะไปที่โลตัสด้วยครับ ได้ของติดไม้ติดมือกันมาบ้างเช่น ดีวีดีเดี่ยว 7.5 ขนมครก ขนมมันปิ้ง และข้าวโพดอบเนย บางท่านอาจจะงงไปเดินโลตัสหรืองานวัด แหม เดินทางทุกวันทานแต่ขนม Seven Eleven มันก็มีเบื่อบ้างคงเป็นไปตามคำที่คนส่วนใหญ่บอกว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ” ตอนนี้รถตู้เราก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดนครพนมอย่างเต็มกำลังแล้วครับ ในระหว่างการเดินทางเราก็เปิด เดี่ยว 7.5 ขึ้นมาดู ต้องบอกว่าพี่โน้ต อุดม แสดงตลกได้อย่างสนุกมาก แค่นำเรื่องปกติของคนเราที่มองข้ามมาตีแผ่ได้อย่างสนุกสนานทีเดียว ผมชอบตอนที่พี่เค้าคิดว่าหน้าตาเริ่มแก่ เลยต้องการบูรณะหน้าตาโดยการไปพึ่งเครื่องสำอางจากเจ๊เล้ง โดยมีทั้งครีมทานู้นทานี้ (ส่วนตัวกระผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าจะครีมประทินผิวจะมีมากขนาดนี้เลยทีเดียว) ซึ่งพี่โน้ตตัดสินใจได้ดีมากครับด้วยการนำทุกครีมมาผสมกันทุกตัวเลยแล้วก็ทาทั้งตัว โดยให้เหตุผลว่า “ครีมเหล่านี้ผมซื้อมาตั้งแพง ตอนทายังทำไมต้องให้เรามารับผิดชอบอีกว่า ครีมตัวนี้ทาเล็บ ครีมตัวนี้ทามือ ครีมตัวนี้ทาดวงตา ฯลฯ จึงคิดว่านำมาผสมกันแล้วทาทั้งตัวโดยให้ครีมแต่ละตัวรับผิดชอบกันเอง ครีมไหนมีหน้าที่อะไรก็ไปรักษากันเอง 5555”

ตอนนี้เราก็มาถึงโรงแรมแล้วครับ ทิวทัศน์ในโรงแรมค่อนข้างสวยมากเพราะมองตรงไปจากหน้าโรงแรมเราก็จะมองเห็นแม่น้ำโขง และแผ่นดินประเทศลาวครับ (เป็นการนอนได้เฉียดใกล้เคียงต่างประเทศอีกแล้วครับ หลังจากเคยนอนเฉียดต่างประเทศที่จังหวัดมุกดาหาร) สภาพภายในโรงแรมตกแต่งได้อย่างหรูหรามาก ความคิดตอนนี้ก็เตลิดไปไกลแล้วครับ ว่าภายในห้องต้องหรูอย่างงั้นอย่างงี้ สักพักก็มี Bell Boy มาขนสัมภาระเพื่อไปเข้าห้องพัก ปกติเราก็ต้องคิดว่าห้องพักน่าจะอยู่ข้างบนเสมอแต่โรงแรมนี้มาแปลกวันนี้กระผมต้องลงบันไดครับ ทีแรกคิดว่าเป็นห้องใต้ดิน (ในระหว่างเดินเข้าห้องพักต้องบอกว่าซับซ้อนมาก) และในที่สุดเราก็มาถึงห้องพักแล้วครับ สภาพธรรมดามากผิดจากด้านหน้าโรงแรมเลยทีเดียว

หลังจากเข้าห้องพักเรียบร้อยทางทีมงานสาวสวยก็ชวนไปเดินดูห้องประชุมพรุ่งนี้กันครับ ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างเราเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงห้องประชุมแล้วครับสภาพห้องเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบปริมาณผู้เข้าฟังที่ลงทะเบียนประมาณพื้นที่แมวตายครับ เราจึงต้องปรับแผนใหม่ด้วยการจัดเป็นเก้าอี้อย่างเดียวไม่มีโต๊ะในใจก็เริ่มคิดว่าผู้มาเข้าฟังพรุ่งนี้ต้องอึดอัดแน่ ๆ (เริ่มเอาเรื่องพรุ่งนี้เข้ามาเครียด นิด ๆ ) เมื่อกระผมกลับถึงห้องก็เริ่มพิมพ์ Blog อย่างต่อเนื่องและก็ผล็อยหลับไปตอน 22.45 น.(อาบน้ำแล้วนะครับ) ต้องถือว่าการหลับครั้งนี้หลับอย่างสนิทเลยครับ จนตื่นเลยเวลาเลยครับวันนี้กระผมตื่นมาประมาณ 6.22 น. จึงรีบไปอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะสาย หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ลองดูบรรยากาศข้างนอกไปเพื่อเป็นการฆ่าเวลาขณะพี่บอยอาบน้ำอยู่ มองไปข้างนอกก็เห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง และแผ่นดินที่อยู่ข้างหน้าก็คือประเทศลาวนั่นเองครับ (วิวตอนนั้นสวยมากครับ ) หลังจากเสพทิวทัศน์จนอิ่มแล้ว ก้มมองข้างล่างก็เห็นปาร์ตี้ยันเช้าของเหล่ามดแดงกำลังซัดซากจิ้งจกกันอยู่เลย (ความสุขที่ได้รับจากทิวทัศน์กลับหายไปทันที)

และในขณะนี้ผมก็ได้เดินทางมาถึงห้องทานอาหารเช้า มองออกไปข้างนอกก็เป็นบรรยากาศริมฝั่งโขงเช่นเดิมครับ ทำบรรยากาศการพูดคุย (เมาท์) ของทีมงานกระผมเป็นไปอย่างครึกคื้นมากขึ้น หลังจากทานอาหารกันเสร็จพวกเราก็ขึ้นมาข้างบนห้องประชุมเพื่อเตรียมงาน CSR Campus ของจังหวัดนครพนมแล้วครับ พอเราจัดของเตรียมเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มมีผู้เข้าฟังของจังหวัดนครพนมมาแล้ว โดยท่านแรกเป็นนักศึกษามาเช้ามากครับประมาณ 8.20 น.กระผมกลัวว่าน้องนักศึกษาท่านนี้จะเหงา จึงเค้าไปคุยสัพเพเหระสรุปได้ว่าน้องเค้าโดนเพื่อนอำครับว่างานเริ่ม 8.00 น. (ขนาดโดนเพื่อนอำยังมา Late ตามเวลาอำเลย) พอใกล้เวลาเริ่มงานผู้เข้าฟังก็ยังมาไม่ครบตามจำนวนที่ลงทะเบียนอยู่ดีมองอีกแง่ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีเหมือนกันที่จำนวนผู้เข้าฟังมาได้พอดีกับพื้นที่ห้องพอดี มิเช่นนั้นคงต้องขี่คอกันฟังบรรยายอย่างแน่นอน

มาในกิจกรรมเรื่องแรกหน้าที่พลเมืองมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้เช่น การเป็นผู้มีความสัตย์ด้วยการไม่คดโกงบุคคลอื่น เช่น การทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่คดโกงต่อบุคคลอื่นและตัวเอง มีความซื่อตรงโปร่งใสต่อหน้าที่การทำงานในส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียต่อส่วนรวม เพราะหากทำได้ตามข้อดังกล่าวก็ถือว่าองค์กรมีความรับผิดชอบสูง และเคารพกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนหัวข้อถัดมาคือ การเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนาอย่างเคร่งครัด ด้วยการปฏิบัติตามหลักศีล 5 เพราะถือว่าถ้าปฏิบัติตามแล้วจะครอบคลุมถึงการปฏิบัติตามกฏหมายด้วยรวมถึงการไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่นอีกต่างหาก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้องค์กรธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างถูกต้องและโปร่งใสเนื่องจากตอนนี้ปัจจุบันเป็นยุคของ IT ซึ่งหากองค์กรสามารถเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนจะทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับจากสังคมด้วย

กิจกรรมเรื่อง CSR เชิงระบบมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้เช่น การทบทวนและปรับปรุงการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR โดยเริ่มจากโครงการ 5 ส.มานำเสนอให้ทุกฝ่ายทราบและเห็นความสำคัญ เมื่อทุกฝ่ายเข้าใจและเห็นความสำคัญก็จะเริ่มดำเนินโครงการ 5ส.โดยเริ่มจากตนเอง เพื่อนร่วมงาน และบุคลากรภายในองค์กรทุกคน ซึ่งจะทำให้ประโยชน์จากการทำ 5ส.ของทั้งองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น หัวข้อต่อมาคือการบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กรโดยเริ่มจากกิจกรรมการเก็บขยะในวิทยาลัยการอาชีพธาตุพนม ซึ่งจะเก็บทั้งตอนเช้าและตอนเย็น โดยนำขยะดังกล่าวไปขายให้ร้านรับซื้อของเก่า หรือนำไปประดิษฐ์เป็นสินค้าต่อไปซึ่งจะสามารถทำให้วิทยาลัยสะอาดขึ้นรวมถึงสร้างรายได้เสริมได้อีกด้วย

ตอนนี้ก็ถึงช่วงพักเที่ยงแล้วครับในระหว่างที่กำลังเดินรอไปทานข้าวผมก็ชวนพนักงานโรงแรมพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยจนได้รู้ว่า ประเพณีไหลเรือไฟที่แท้จริงต้นฉบับมาจากจังหวัดนครพนมนี่เองไม่ใช่สกลนครอย่างที่ผมคิดและการที่ติดกับลาวถ้าเทียบเศรษฐกิจระหว่างนครพนมเทียบกับมุกดาหารดูจังหวัดมุกดาหารจะเศรษฐกิจดีกว่าอีกด้วยเพราะมีสะพานแล้ว ส่วนพื้นที่นครพนมที่ติดกับฝั่งลาวจะเน้นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากกว่า (พื้นที่ติดลาวเหมือนกันแต่ละจังหวัดก็เด่นไปจังหวัดละแบบจริง ๆ) สักพักผมก็มาที่โต๊ะอาหารแล้วครับซึ่งวันนี้ทางทีมงานได้มาทานข้าวกลางวันที่โรงแรมในบรรยากาศ Open Air เรียกตามภาษาชาวบ้านก็คือนั่งข้างนอกโรงแรมแหละครับ (ก็ดีนะครับเปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบ แต่ก็แอบอากาศร้อนนิดนึง) หลังจากทานข้าวเสร็จทางทีมงานก็รีบเตรียมตัวไปดำเนินกิจกรรมต่อไปทันที

มาถึงกิจกรรมของ Creative CSR ที่เป็นที่น่าสนใจของชาวจังหวัดนครพนมโดยมีดังนี้เช่น “โครงการมัคคุเทศก์อาสาพัฒนาการท่องเที่ยว” โดยเริ่มจากการสำรวจแหล่งท่องเที่ยว และการกำหนดโปรแกรมการท่องเที่ยวโดยการประสานงานประชาสัมพันธ์ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงมีการอบรมมัคคุเทศก์ตามโปรแกรมการท่องเที่ยวที่กำหนดด้วย ซึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์แก่ประชาชนในจังหวัดนครพนมได้รับรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น

โครงการต่อมา คือ “โครงการส่งเสริมอาชีพชุมชน” โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์ให้แก่คนชุมชนให้ทราบโครงการ และมีการ สำรวจความต้องการอาชีพของคนในชุมน รวมถึงจัดหาหน่วยงานที่มีความชำนาญในอาชีพนั้นมาอบรมผู้เข้าร่วมและสุดท้ายประชาชนจะผ่านการอบรมและมีความสามารถทักษะมากขึ้น เช่น การทำขนมครกส่งออกต่างประเทศโดยการคิดสูตรขนมครกรสชาติต่าง ๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายและแพ็คใส่กล่องโดยผู้บริโภคสามารถรับประทานได้โดยง่ายด้วยการอุ่นผ่านไมโครเวฟ เป็นต้น

ในส่วนโครงการสุดท้าย คือ “โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์น้ำตกตาดขาม” โดยแนวคิดมาจากการที่น้ำตกตาดขามสามารถเดินทางได้สะดวก แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในหลายแห่งในหลายอำเภอ โดยเริ่มการประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวและบุคคลภายนอกได้รับทราบ จัดให้มีไกด์นำเที่ยวโดยใช้นักเรียน นักศึกษาในท้องถิ่นรวมถึงมีการนำสินค้า OTOP มาจำหน่ายด้วย ณ สถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวด้วยเพื่อเป็นเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้สินค้า OTOP อีกหนึ่งช่องทางด้วย

วันนี้กระผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์ชนินทร์ ทัศศร จากโรงเรียนธาตุพนมโดยท่านกล่าวว่า “ ผมว่าโครงการ CSR Campus เป็นโครงการที่ดีนะครับ ทำให้ผมทราบว่าการบริหารองค์กรในอนาคตจะต้องให้ความสำคัญทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยความร่วมมือของคนทั้งในองค์กรและสังคมเป็นส่วนร่วมด้วย และในส่วนของพลเมืองบรรษัทต้องมีการนำเรื่องนี้ไปจัดทำเป็นแผนนโยบายซึ่งต้องนำไปเผยแพร่สู่นักศึกษาด้วย และหากมองดูแผนหลักสูตรในปี 51 ก็จะมีเรื่องการให้นักศึกษามิจิตสาธารณะทำงานด้วยจิตใจซึ่งตรงกับเรื่อง CSR อีกด้วย”

ตอนนี้กิจกรรมเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เราทำกิจกรรม CSR Campus ในระดับจังหวัดในภาคอีสานเสร็จแล้วครับ เหลือแต่กิจกรรม CSR Campus ในระดับภาคอีสานที่จังหวัดนครราชสีมาเท่านั้นครับในวันที่ 15 กันยายน 2552 (ในใจคาดหวังว่าในงาน CSR Campus ระดับภาคอีสานคราวนี้น่าจะสนุกไม่แพ้ CSR Campus ระดับภาคกลางแน่นอน) ตอนนี้ทีมงานเราก็พร้อมออกเดินทางไปเที่ยวพระธาตุพนมแล้วครับ เดินทางสักพักก็มาถึงซึ่งภาพทีแรกที่ผมมองเห็นยอมรับสุดซึ้งครับว่าสวยงามกว่าพระธาตุเชิงชุมจริง ๆ อาจจะด้วยเพราะพระธาตุพนมมีขนาดใหญ่กว่า รวมถึงลวดลายที่สวยงามมาก ๆ นั่นเอง หลังจากเราไหว้พระธาตุพนมเรียบร้อยเราก็ตระเวนหาร้านอาหารแล้วครับ ซึ่งร้านที่เราไปทานวันนี้อยู่บนแพในแม่น้ำโขงครับ บรรยากาศบนแพก็ช่างเขย่าให้พวกเราพร้อมมึนหัวทันที แต่หลังจากเราชิมอาหารต้องบอกครับว่าความเผ็ดของอาหารได้สลัดคาบความมึนหัวของพวกเราได้อย่างดีทีเดียว (หากอาหารรสชาติไม่เผ็ดกระชากลิ้นขนาดนี้คงต้องมีอาเจียนกันบ้างอย่างแน่ ๆ 555) หลังจากเราทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยรถตู้เราก็มุ่งกลับกันแล้วครับ สุดท้ายกระผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีพี่น้องชาวอีสานจะมาร่วมงาน CSR Campus ระดับภาคอีสานกันมาก ๆ นะครับ (ยังไม่เลิกประชาสัมพันธ์) แล้ววันอังคารเรามาเจอกันใหม่นะครับ