ตอนนี้เราเริ่มออกเดินทางมาเรื่อย ๆ เพื่อจะมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านเกิดของทีมงานสาวท่านหนึ่ง ซึ่งทีมงานท่านนี้เล่าว่าจังหวัดพิษณุโลกเป็นเมืองบ้านเกิดของสมเด็จพระนเรศวร รวมถึงยังมีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คือ พระพุทธชินราชนั่นเอง ต้องยอมรับว่าผมเคยเห็นพระพุทธชินราชแค่ในรูปเท่านั้นเอง ในใจก็อยากเห็นองค์จริงเหมือนกันว่าจะสวยกว่าในรูปแค่ไหน ..ในช่วงระหว่างเดินทางเราก็หยิบหนังเรื่อง Roommate มาดู แหม ต้องยอมรับเลยครับว่าหนังเรื่องนี้วาง Plot เรื่องได้เยี่ยมมากเป็นรัก 3 เส้า ซึ่งปกติต้องเป็นชาย 2 หญิง 1 แต่หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็น ชาย 1 ดี้ 1 และทอม 1 (เน้นแบบ two in one) ต้องนับถือผู้เขียนบทจริง ๆ ครับว่าวางบทได้ซับซ้อนมาก ถ้าหากเทียบกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง
ซักพักพวกเราก็มาเหยียบพื้นดินจังหวัดพิษณุโลกแล้วครับ ทางทีมงานสาวได้แนะนำให้เราไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรด้วยครับ ซึ่งผมก็ขอไว้หลายเรื่อง ๆ เหมือนกันแต่เรื่องหนึ่งที่ผมขอพรอย่างชัดเจนมากที่สุด คือ อยากให้ประเทศไทยกลับมาสงบสุขอีกครั้ง (ขอแบบพระเอกครับ..แหะๆ) อยากให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยหรือคอรัปชั่นประเทศไทยให้มลายสูญสิ้นไป เหตุที่ผมขอพรอย่างนี้เพราะว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก สมเด็จพระนเรศวรก็เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองให้กลับเป็นเอกราชอีกครั้ง และในวันนี้บ้านเมืองของเราแม้ไม่ได้เสียเอกราชให้ประเทศใด ๆ ตามรูปธรรมแต่ในความคิดของกระผมกลับมองว่าตอนนี้บ้านเมืองได้เสียเอกภาพผ่านความแตกแยกของคนในชาติไทยเอง ซึ่งผมคิดว่ามันร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียเอกราชเสียอีก ผมก็ได้แต่หวังว่าพรที่ผมขอต่อสมเด็จพระนเรศวรในวันนี้จะสัมฤทธิ์ผลทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีและกลมเกลียวเช่นดังเดิมอีกครั้ง
หลังเราไหว้ขอพรที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรมทันที ซึ่งตอนช่วงรอจะ Check In เข้าที่พัก ผมก็มองเห็นน้ำใจของโรงแรมโดยผ่านการเชื้อเชิญจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เราทานน้ำส้มกันตามสบาย ทีแรกผมยังคิดว่าน้ำส้มตรงนี้อาจจะมีไว้สำหรับแขกงานเลี้ยงให้ห้องประชุมใกล้ ๆ แหม แค่น้ำส้มแก้วเดียวตอนนี้ก็ทำให้กระผมพึงพอใจกับโรงแรมนี้พอสมควรแล้วครับ แล้วหลังจากที่พวกเรานำสัมภาระไปเก็บในห้องเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งสู่ร้านอาหารครับ ซึ่งวันนี้ร้านอาหารเราอยู่ติดแม่น้ำน่านเลยครับ (สังเกตว่าชื่อแม่น้ำอยู่ไกลมากไปไกลกว่า โน่น..อีกครับ ) อาหารก็อร่อยมากเลยครับ กระผมรู้สึก Enjoy Eating กับลาบทอดมากครับ เพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวสะใจวัยโจ๋จริง ๆ (ลำแต้ๆ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมทันที กระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา 23.00 น.เลยเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อผ่อนคลายซะหน่อย ซึ่งรายการโทรทัศน์ที่กระผมดูวันนี้ คือ รายการตีสิบครับ โดยทางรายการได้นำเสนอชีวิตของคนขายของเก่าคนหนึ่งที่มีความกตัญญูและประหยัดอดออมเป็นเลิศมานำเสนอ นั่นคือ คุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ นั่นเอง หากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องคงจะยาวจึงได้นำคลิปวีดิโอมานำเสนอให้ชมกันครับ
ซักพักพวกเราก็มาเหยียบพื้นดินจังหวัดพิษณุโลกแล้วครับ ทางทีมงานสาวได้แนะนำให้เราไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรด้วยครับ ซึ่งผมก็ขอไว้หลายเรื่อง ๆ เหมือนกันแต่เรื่องหนึ่งที่ผมขอพรอย่างชัดเจนมากที่สุด คือ อยากให้ประเทศไทยกลับมาสงบสุขอีกครั้ง (ขอแบบพระเอกครับ..แหะๆ) อยากให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยหรือคอรัปชั่นประเทศไทยให้มลายสูญสิ้นไป เหตุที่ผมขอพรอย่างนี้เพราะว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก สมเด็จพระนเรศวรก็เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองให้กลับเป็นเอกราชอีกครั้ง และในวันนี้บ้านเมืองของเราแม้ไม่ได้เสียเอกราชให้ประเทศใด ๆ ตามรูปธรรมแต่ในความคิดของกระผมกลับมองว่าตอนนี้บ้านเมืองได้เสียเอกภาพผ่านความแตกแยกของคนในชาติไทยเอง ซึ่งผมคิดว่ามันร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียเอกราชเสียอีก ผมก็ได้แต่หวังว่าพรที่ผมขอต่อสมเด็จพระนเรศวรในวันนี้จะสัมฤทธิ์ผลทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีและกลมเกลียวเช่นดังเดิมอีกครั้ง
หลังเราไหว้ขอพรที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรมทันที ซึ่งตอนช่วงรอจะ Check In เข้าที่พัก ผมก็มองเห็นน้ำใจของโรงแรมโดยผ่านการเชื้อเชิญจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เราทานน้ำส้มกันตามสบาย ทีแรกผมยังคิดว่าน้ำส้มตรงนี้อาจจะมีไว้สำหรับแขกงานเลี้ยงให้ห้องประชุมใกล้ ๆ แหม แค่น้ำส้มแก้วเดียวตอนนี้ก็ทำให้กระผมพึงพอใจกับโรงแรมนี้พอสมควรแล้วครับ แล้วหลังจากที่พวกเรานำสัมภาระไปเก็บในห้องเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งสู่ร้านอาหารครับ ซึ่งวันนี้ร้านอาหารเราอยู่ติดแม่น้ำน่านเลยครับ (สังเกตว่าชื่อแม่น้ำอยู่ไกลมากไปไกลกว่า โน่น..อีกครับ ) อาหารก็อร่อยมากเลยครับ กระผมรู้สึก Enjoy Eating กับลาบทอดมากครับ เพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวสะใจวัยโจ๋จริง ๆ (ลำแต้ๆ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมทันที กระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา 23.00 น.เลยเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อผ่อนคลายซะหน่อย ซึ่งรายการโทรทัศน์ที่กระผมดูวันนี้ คือ รายการตีสิบครับ โดยทางรายการได้นำเสนอชีวิตของคนขายของเก่าคนหนึ่งที่มีความกตัญญูและประหยัดอดออมเป็นเลิศมานำเสนอ นั่นคือ คุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ นั่นเอง หากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องคงจะยาวจึงได้นำคลิปวีดิโอมานำเสนอให้ชมกันครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น