วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สมุทรปราการ


ตื่นเช้าอีกแล้ววันนี้ เพราะต้องเดินทางไปทำกิจกรรมในโครงการ CSR Campus ที่เมืองอุตสาหกรรม คือ จ.สมุทรปราการ ง่วงสุดๆ เพราะนอนดึกติดๆ กัน และต้องตื่นเช้ากว่าปกติหลายคืนแล้ว แต่ก็สู้ๆๆ มาถึงที่ทำงานประมาณ 6.10 น. ทว่ายังไม่มีใครมาเลยเพราะไฟก็ยังไม่เปิดซักดวง แถมประตูก็ยังล๊อคอีก เลยนั่งกินไส้กรอกกับชาเขียวรอประมาณ 15 นาที พี่น้องก็มาถึง เราจึงเข้าไปจัดแต่งทรงผมในห้องน้ำ เตรียมตัวขนของขึ้นรถตู้ ไม่นานนักทุกคนก็มารวมตัวกันจนครบ และออกเดินทางกันในเวลา 6.45 น.

มาถึงโรงแรม เดอะคัลเลอร์รีฟวิ่ง ณ ห้องบอลรูม 1 ในเวลา 7.30 น. ทุกคนต่างจัดของที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ยังทำไม่เรียบร้อย เราได้เริ่มฉายวีดีทัศน์สารคดีชุด Home ในเวอร์ชั่นที่ตัดต่อแล้ว พร้อมการกล่าวทักทายโดยพี่บอย และแล้วทุกอย่างเริ่มที่จะยุ่ง เพราะระหว่างที่ทุกคนกำลังชมสารคดีอย่างให้ความสนใจนั้น คนที่เริ่มทยอยมาเข้าอบรมเกินกว่าโต๊ะและเก้าอี้ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ จึงรีบแจ้งทางเจ้าหน้าที่โรงแรมและได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการเอาโต๊ะและเก้าอี้มาเติมจากอีกห้องที่ติดกันทางด้านหลัง ทุกอย่างจึงผ่านไปได้ด้วยดี

การกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการอย่างเป็นมืออาชีพโดยพี่สาวพิธีกรของวันนี้ ที่สำคัญ คือ เราต้องจดจำคำพูดในการเปิดงาน เนื่องจากเราจำเป็นจะต้องเป็นพิธีกรในโอกาสต่อไป เริ่มการบรรยายโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ อาจารย์ได้เริ่มต้นกับคำถามง่ายๆว่า “คุณทำงานเพื่ออะไร?” อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะทุกคนไม่ค่อยจะคิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจาก “เงิน” ไม่มีใครคิดถึงการยอมรับของสังคมและความยั่งยืนซักเท่าไรจนอาจารย์ได้อธิบาย สีหน้าของทุกคนจึงได้เข้าใจและเริ่มคล้อยตามการบรรยายมากขึ้น บรรยากาศของการบรรยายเป็นไปอย่างราบรื่น สังเกตได้ว่ามีทั้งคนสนใจมาก และคนที่ง่วงในทุกๆ ที่ไป หลังจากการพักเบรคในตอนเช้าก็มีคนเข้าทักทายอาจารย์และแสดงความชื่นชม ได้มีการสนทนาตามภาษานักวิชาการ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องได้แต่ต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากที่ผู้ฟังรับประทานของว่าง ชา กาแฟ และรวมตัวกันที่ห้องสัมมนาจนหมดแล้ว พี่บอยได้เริ่มกล่าวทักทายและได้ชวนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องหน้าที่พลเมือง ได้มีผู้เสนอความคิด ในหัวข้อการเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาที่เป็นหลักจรรยาของประเทศบ้านเมืองที่ตนเป็นพลเมืองอยู่นั้นโดยเคร่งครัด โดยกล่าวว่า “ผมเคยไปเป็นพิธีกรให้กับวัดเชิญชวนคนในชุมชนมารักษาศีล และได้เอาดอกไม้ไปช่วยงานวัดเป็นประจำ ปลูกต้นไม้และปล่อยปลาคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อก่อนเคยอยู่ชัยนาทเป็นแหล่งธรรมชาติ แต่ได้ย้ายมาอยู่สมุทรปราการกว่า 20 ปี พอกลับไปทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป ธรรมชาติสูญหาย เพราะสารเคมีในการประกอบอาชีพ ทำให้สัตว์น้ำตายหมด คนทำสวนทำไร่ก็ใช้สารเคมีกันเยอะ ผมได้มีโอกาสปฏิบัติตามปรัชญาของในหลวง ได้ขุดแหล่งน้ำ และปล่อยปลาออกสู่ธรรมชาติ ได้เอาแนวคิดไปปรึกษาอาจารย์หลายๆ ท่าน พยายามให้ลดการใช้ปุ๋ยใช้ยา ทุกอย่างจึงได้ดีขึ้น ตามลำดับ ประโยชน์ที่ได้คือ ความสุขใจ สบายใจ”

ผู้เข้าร่วมอบรมท่านที่มาแลกเปลี่ยนความคิดท่านต่อมา ชื่อคุณ บัญชา บัวบุตร งงเลยเพราะนามสกุลเหมือนพี่พงศ์ ฮ่าๆๆ คุณบัญชา ได้เลือกในข้อการเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ อยากให้ปลูกฝังในเรื่องของความซื่อสัตย์ของตนเองก่อน ซึ่งโรงงานแถวนี้มีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมและน้ำที่ปล่อยลงทะเลก็ไม่ดี อันนี้ถือว่าความซื่อสัตย์ไม่มี แต่พูดไม่ได้ อยากให้เอาคุณธรรมและจริยธรรมเข้ามาปลูกฝังกับคนรุ่นใหม่ในทุกองค์กร สังคมจะได้รากฐานที่แข็งแรงต่อองค์กรและขยายไปสู่ระดับประเทศ จะได้ทำให้องค์กรพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้อง The Place เสร็จแล้วได้มีการออกกำลังแก้หนาวกันในห้องสัมนา โดยได้ใช้เพลง Nobody ของ Wonder Girl จากเกาหลี ผู้เข้าร่วมได้ให้ความร่วมมือและได้รับความผ่อนคลายสนุกสนานเป็นกันเองในการยืดเส้นยืดสายในครั้งนี้ ไอ้เราคนนี้กับพี่หนึ่งก็อายจริงๆ เกิดมาไม่เคยคิดจะนำเต้นเลย ฮ่าๆๆ แต่ก็เอาแค่ท่าออกกำลังกายง่ายๆ ดร.พิพัฒน์ ได้เริ่มการบรรยายในช่วงบ่ายประมาณ 1ชั่วโมง 30นาที และได้พักรับประทานอาหารว่างยามบ่ายอีกครั้ง ก่อนเข้ามานั่งเป็นกลุ่มเพื่อจะได้เริ่มทำเวิร์คช็อปในช่วงต่อไป

มาถึงกิจกรรมการบริหารกิจกรรม CSR เชิงระบบในระดับองค์กร โดยพี่บอยได้เป็นผู้อธิบายเกี่ยวกับเวิร์คช็อปนี้ และให้เวลาระดมความคิดราว 10 นาที ผู้ที่นำเสนอคนแรกได้เสนอแนวคิดการดำเนินกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการลดมลภาวะทางน้ำ ซึ่งจัดอยู่ในหัวข้อการเพิ่มความน่าเชื่อถือในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีรายละเอียดเริ่มจาก (1) กำหนดนโยบายประกาศให้ทุกคนรับทราบ (2) จัดการอบรมเรื่องการป้องกันและความรู้เกี่ยวกับมลภาวะทางน้ำ (3) จัดทำแผนติดตามและประมินผลคุณภาพน้ำ (4) จัดทำกลุ่มติดตามและเฝ้าระวัง และ (5) จัดทำเอกสารความรู้แก่ชุมชนใกล้เคียง โดยสิ่งที่จะได้รับ คือ สภาวะแวดล้อมที่ดี และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางน้ำอย่างต่อเนื่อง

ท่านต่อมาได้พูดถึงการสื่อสารต่อสังคมเกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย โดยเสนอให้มีการตรวจสอบน้ำก่อนจะปล่อยสู่แม่น้ำ มีการวัดค่าของน้ำ และมีทำประชาพิจารณ์ในกรณีที่จะมีการสร้างโรงงานขึ้นใหม่ ผลที่จะได้รับ คือ แม่น้ำจะได้สะอาดและองค์กรก็จะได้รับการยอมรับจากชุมชน

ท่านสุดท้าย ได้เสนอความเห็นในหัวข้อการริเริ่มปฏิบัติในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมโดยสมัครใจนอกเหนือจากที่มีอยู่ โดยเสนอกิจกรรมที่มีชื่อว่า "บุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจแก่เด็กๆ" เนื่องจากเด็กสมัยนี้ขาดแรงบันดาลใจในทางบวก มีแต่ถูกชักจูงไปในทางลบ เช่น เล่นเกมส์รุนแรง แล้วก็ยกพวกตีกัน ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สิ่งที่อยากเสนอก็คือ การเฟ้นหาบุคคลที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขาอาชีพ จากคนที่ไม่มีอะไรจนประสบความสำเร็จได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและตัวอย่างที่ดี พ่อแม่จะได้ใช้ตัวอย่างเหล่านี้ในการสอนลูก

ในช่วงกรณีศึกษากิจกรรม CSR เชิงสร้างสรรค์ (Creative CSR) กิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากสุดมาจากกลุ่มชื่อ “คนรักลูก” โดยมีกิจกรรมที่นำเสนอ คือ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งมีแนวคิดว่าจะจัดเนอสเซอรี่ และศูนย์ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาครอบครัว โดยจะเชิญชวนโรงงานข้างเคียงให้มาร่วมด้วย กิจกรรมนี้มีผู้ที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเพิ่งจะมีลูกเช่นกัน และได้พูดถึงงบประมาณและบุคคลที่จะมาดูแลเด็กๆ ว่าจะเป็นพยาบาลหรืออาสาสมัคร แต่ต้องมีจำกัดว่าจะรับเลี้ยงได้กี่คน ไม่งั้นจะมีลูกกันเยอะแยะไปหมด ส่วนอีกท่านหนึ่งได้ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า การที่ให้คนอื่นดูแลจะไว้ใจได้ยาก หากจะรับอาสาสมัคร ต้องมีการคัดเลือกและต้องดูว่าจะรับมาเลี้ยงเด็กแนวไหน พร้อมเสนอว่าให้เลี้ยงในวิถีพุทธ และได้แซวทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าคุณพ่อที่ไม่ดูบอลวันเสาร์ ก็คงพอที่จะช่วยดูแลลูกได้ ส่วนอีกท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า แค่ชื่อกิจกรรมก็โดนใจแล้ว กิจกรรมนี้น่าจะต้องมีผู้สนับสนุนงบประมาณหรือช่วยบริจาคอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องมีกระบวนการบริหารจัดการที่ดี พร้อมกล่าวชื่นชมผู้นำเสนอว่า พูดนำเสนอได้ดีมาก

สำหรับตัวกระผมเองก็คิดว่าใครๆ ก็คงรักลูก และอยากให้สิ่งที่ดีๆ กับลูกทั้งนั้น ใจผมจึงรู้สึกสนับสนุนเต็มที่ ทั้งๆ ที่ผมเองก็ยังไม่เคยมีลูกนะ ฮ่าๆๆ

อาจารย์ชาญ ไม้ยอด ผู้อำนวยการศูนย์จัดทำวิชาชีพอัญสัมชัญ ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ได้กล่าวว่า “ได้ทราบข่าวสารจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยในเรื่อง CSR จึงมาร่วมอบรม และดีใจที่ได้เห็นหลายๆ บริษัทมาเข้าอบรมเพื่อนำความรู้ไปเผยแพร่และใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้แนวคิดใหม่ๆ จาก ดร.พิพัฒน์ ที่สามารถนำไปถ่ายทอดต่อและเป็นอะไรที่คนไทยควรทราบ โดยเฉพาะเรื่อง CSR ต้องเริ่มต้นจากตัวเองให้ได้ก่อน ในสถาบันเองได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้มานานแล้ว เรามีการฝึกอบรมให้เยาวชนโดยเน้นว่า “to b a person of characters” คือ การเป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การสอนในห้องเรียน นอกจากการฟังบรรยายแล้ว ยังมี case study และต้องทำ quiz ด้วย สิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นต่อไป คือ การสร้างกลไกเพื่อให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมเพื่อสร้างให้เกิดจิตสำนึก โดยเข้าร่วมกับองค์กรธุรกิจในการเข้าไปดูแลสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการศึกษา และให้ความรู้แก่เด็กๆ ในชุมชน เป็นต้น”


ในช่วงสุดท้าย อาจารย์พิพัฒน์ได้กล่าวปิดงานและขอบคุณที่ทุกท่านได้อยู่ด้วยกันจนถึงช่วงท้ายของการอบรม และอวยพรให้ทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ เจ้าหน้าที่ทุกคนได้ทำการเก็บของอย่างรวดเร็วและมีการประชุมเพิ่มเติม เพื่อหาปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานในวันนี้ว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง

เจ้าหน้าที่ทุกท่านได้เดินทางออกจากโรงแรมเวลา 6.00 น. และมาถึงที่ทำงาน 3 ทุ่ม เพราะรถติดมากๆ เนื่องจากฝนตกทำให้วิสัยทัศน์ไม่สู้ดีนัก หลังจากที่เอาของลงจากรถแล้วได้แยกย้ายกันกับบ้านพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวจัดกิจกรรมในวันต่อไปที่ จ.ปทุมธานี


วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นนทบุรี


วันนี้ เริ่มตื่นเวลาตี 4 กว่าๆ เป็นวันที่เราเริ่มงาน CSR Campus ครั้งแรก (ช่างตื่นเต้นจัง) ในวันนี้ เราจะมุ่งไปสู่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ถูกกำหนดในตารางไว้เป็นจังหวัดแรกใน CSR Campus ปี 2 ซึ่งต้องเท้าความก่อนว่า เมื่อคืนเราได้นอนประมาณตอนตี 2 กว่าๆ เองแล้วก็ตื่นตอนตี 4 กว่าๆ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางจากหอพักไปสู่สถาบันฯ ซึ่งรถตู้ที่นั่นจะออกประมาณ 6.45 น.

แต่ก็ต้องถือว่ายังกระปรี้กระเปร่าอยู่ อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะสัมผัส CSR Campus ครั้งแรก หรือจะได้ร่วมทีมงานใหม่กับกลุ่มพวกพี่สาวกันแน่ (พี่ที่ทำงานชื่อสาว) เราก้าวออกจากหอพักประมาณ 5.45 น. มาถึงที่สถาบันฯ ราว 6.05 น. พอดีครับ ฟ้ากำลังสวยเลยครับ (ปกติไม่ค่อยตื่นเวลานี้) ผมว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้คนอารมณ์ดีได้เหมือนกันนะครับ ซึ่งเหตุผลนี้อาจจะหนักแน่นกว่าเหตุผลข้างต้นที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าอยู่ก็ได้ครับ

เมื่อมาถึง สถาบันฯ ทุกคนต่างกำลังขะมักเขม้นในการเตรียมของและอุปกรณ์ในการบรรยายของแต่ละกิจกรรม ซึ่งทางเราจะมีกิจกรรมอยู่ 2 กิจกรรม คือ CSR Day และ CSR Campus ซึ่งในวันนี้ ทีม CSR Day ได้ล่วงหน้าไปก่อน เพื่อนสนิทของผม (และผมก็อาจขาดเค้าไม่ได้) ก็ได้ออกเดินทางไปกับทีม CSR Day ด้วย พอเวลาเลยมาถึง 6.50 น. ล้อรถตู้ของทีม CSR Campus ก็เริ่มหมุนมุ่งหน้าสู่จังหวัดนนทบุรี ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ขณะนั่งรถตู้ผ่านไปเรื่อยๆ เราก็ได้นึกถึงสภาพรถทั้ง 2 ข้างทางในย่านแจ้งวัฒนะแห่งนี้ ซึ่งพี่แอนเคยเล่าว่าสมัยก่อน 2 ข้างทาง ยังเป็นป่าอยู่ (แหม พี่เค้าอายุเท่าไรกันเชียว) แต่ปัจจุบันกลับมีตึกอาคารและรถยนต์เต็มไปหมด ก็คงเป็นปัญหาของชุมชนย่านแจ้งวัฒนะอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ และจัดว่าเป็นปัญหา CSR ด้วยเช่นกัน

เรามาถึงห้องกัลปพฤกษ์ โรงแรมทีเค พาเลซ ห้องสวยงามกว้างขวางโอ่โถง เราเริ่มจัดเตรียมของ รอผู้คนเริ่มทยอยเข้ามายังโต๊ะต้อนรับ ซึ่งวันนี้กลุ่มผู้เข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พนักงานจาก แคท เทเลคอม ฯลฯ หน้าที่แรกของกระผม คือ แจกเอกสาร เคยจำได้ตอนสมัยเป็นนักศึกษามาสัมมนาพร้อมกับเพื่อนๆ ด้วยความสนุกสนาน (ยิ่งทำให้นึกถึงสมัยหนุ่มๆ) ทำให้นึกใจว่า วันนี้ เราต้องพยายามทำหน้าที่ผู้ช่วยวิทยากรให้ดีที่สุดด้วย พยายามทำให้งานออกมาสนุกที่สุด และน่าสนใจที่สุดด้วย


สักพักก่อนเริ่มงานประมาณ 8.50 น. พี่บอยก็เริ่มเปิดสารคดี HOME ซึ่งฉายภาพให้เราได้มีความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์เราก่อขึ้น บางทีคนทั่วไปอาจคิดว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ยังเป็นสิ่งที่ไกลตัวและไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ แต่เมื่อได้มีโอกาสชมวีดีทัศน์ชุดนี้แล้ว ทำให้ทราบว่าไม่ใช่ปัญหาไกลตัวเลย กลับกลายเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวซะมากกว่า ซึ่งเราทุกคนควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมบรรยายและกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วันนี้ เรามีหน้าที่กำกับดูแลผู้เข้าร่วมอบรมด้วย บรรยากาศในห้องช่วยเราได้เยอะ เพราะทุกคนมีความสนใจร่วมทำกิจกรรมกันเป็นอย่างดี ทำให้การดำเนินกิจกรรมเป็นไปด้วยความราบรื่นสะดวกโยธิน

ในช่วงกิจกรรมหน้าที่ของพลเมืองในจังหวัดนนทบุรี มีหัวข้อนำเสนอที่น่าสนใจ เช่น หน้าของพลเมืองที่ต้องมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขของชาติ ด้วยการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติและเผยแพร่แก่ชุมชน ซึ่งจะทำให้ชุมชนจังหวัดนนทบุรีสามารถนำหลักมีเหตุผล มีความพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกันเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และ อีกหัวข้อคือการเป็นผู้แสวงเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ซึ่งเสนอให้มีการจัดกิจกรรมสำหรับวัยรุ่นในจังหวัดนนทบุรีได้มาปลูกผักสวนครัวในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ และสร้างรายได้จากอาชีพที่สุจริต

พอมาถึงช่วงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ CSR เชิงระบบ มีหัวข้อที่น่าสนใจ อย่างเช่น การบูรณการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กร โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจชื่อ “มหาวิทยาลัยชุมชน” ที่เสนอให้นำองค์ความรู้ทางธุรกิจที่เป็นจุดแข็งของนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มาฝึกอบรมให้แก่พ่อค้าแม่ค้าชุมชนจังหวัดนนทบุรี เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตนได้ อีกทั้งนักศึกษายังได้มีโอกาสนำความรู้ไปทดลองในธุรกิจจริงด้วย ส่วนอีกหัวข้อคือ การริเริ่มกิจกรรม CSR โดยสมัครใจ โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า “ครอบครัวอยู่ดีมีสุข” ที่เน้นการแก้ไขปัญหาครอบครัว เพื่อลดปัญหาเด็กกำพร้าและปัญหาสังคม โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานเอกชนและมูลนิธินำผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาให้การอบรมเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ ให้แก่ครอบครัวชุมชนชาวจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง

ในช่วงกิจกรรม Creative CSR ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มได้คิดค้นรูปแบบการทำ CSR ที่เกิดจากความสร้างสรรค์จากคนในกลุ่ม มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม คือ "โครงการแพห้องสมุด" ซึ่งมีแนวคิดมาจากว่า จังหวัดนนทบุรีมีแม่น้ำที่ไหลผ่านจังหวัดหลายสาย และปริมาณขยะของโครงการธนาคารขยะก็มีมาก จึงมีความพยายามที่จะนำขยะมา Recycle โดยให้วิศวกรและสถาปนิกมาช่วยกันสร้างและออกแบบให้เป็นแพลอยน้ำประยุกต์เป็นห้องสมุด เพื่อให้เยาวชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ สามารถใช้ขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ (อยากให้แถวบ้านเรามีบ้างจริงๆ)

กิจกรรมที่น่าสนใจต่อมา คือ “โครงการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย Hybrid Green Transportation” ที่เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยราชการและภาคเอกชน โดยมีบริษัทโตโยต้าเป็นแกนนำในการสนับสนุนรถยนต์ระบบ Hybrid จัดรถให้บริการสาธารณะ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์แบบ Win-Win ชุมชนจังหวัดนนทบุรีจะได้อากาศที่สะอาดขึ้น และโตโยต้าเอง ก็จะได้ประชาสัมพันธ์รถยนต์ที่เป็น Hybrid ในชุมชนชาวนนทบุรีด้วย

อีกกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ “โครงการปลูกจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม” ซึ่งจะทำการนำเยาวชนที่เป็นน้อง ๆ ในระดับประถมศึกษามาทำหน้าที่แยกขยะเพื่อสร้างจิตสำนึกในการจัดการขยะตั้งแต่เล็กๆ และให้พี่ๆ ในระดับมัธยมศึกษา นำขยะที่น้องประถมได้คัดแยกแล้วไปขายนำเงินมาเป็นทุนในการปลูกพืชผักให้เป็นแนวรั้วในโรงเรียน โดยผลผลิตผักส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นอาหารมื๊อกลางวันในโรงเรียน และส่วนที่เหลือจะนำไปขายแลกเป็นเงินได้อีกทอดหนึ่ง”

จากนั้น ผมได้มีโอกาสสนทนากับผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรางคนางค์ ณ นคร ภาควิชาการสื่อสารการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยอาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นต่อกิจกรรมฝึกอบรมในโครงการ CSR Campus ปี 2 ว่าจากการเข้าอบรมวันนี้ ทำให้ได้ขยายความรู้ความเข้าใจและได้เห็นตัวอย่าง CSR เชิงระบบชัดเจนขึ้น และเห็นว่า เนื้อหาสาระในเรื่องหน้าที่พลเมืองสำหรับผู้ประกอบการ เป็นสิ่งที่สำคัญที่องค์กรหรือมหาวิทยาลัยควรปลูกฝังให้แก่ พนักงานและนักศึกษา เพื่อให้พนักงานและนักศึกษาสามารถนำหลักการหน้าที่พลเมืองมาประยุกต์ใช้ทั้งในองค์กรและในชีวิตประจำวัน

จวบจนเวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆ ทุกคนต่างเริ่มอ่อนเพลียและยอมแพ้ต่อสภาวะรถติดอีกรอบ เราจึงร่วมกันหลับหมดสติอยู่บนรถตู้ที่ติดท่ามกลางสายฝนยามเย็น ซึ่งยอมรับว่าหลับค่อนข้างสบายมาก พอมาถึงที่สถาบันฯ พวกเราต่างต้องมาประชุมร่วมกันอีกรอบถึงข้อดีข้อเสียที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การจัดกิจกรรม CSR Campus ครั้งต่อๆ ไปสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น หลังจากประชุมเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 20.52 น. ตัวกระผมจึงได้กลับห้องพักอันแสนสบาย เป้าหมายต่อไปในวันพรุ่งนี้ คือ จ.สมุทรปราการ และแล้ว เราก็ได้เวลานอนเสียที เมื่อเวลา 00.15 น.