วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สมุทรปราการ


ตื่นเช้าอีกแล้ววันนี้ เพราะต้องเดินทางไปทำกิจกรรมในโครงการ CSR Campus ที่เมืองอุตสาหกรรม คือ จ.สมุทรปราการ ง่วงสุดๆ เพราะนอนดึกติดๆ กัน และต้องตื่นเช้ากว่าปกติหลายคืนแล้ว แต่ก็สู้ๆๆ มาถึงที่ทำงานประมาณ 6.10 น. ทว่ายังไม่มีใครมาเลยเพราะไฟก็ยังไม่เปิดซักดวง แถมประตูก็ยังล๊อคอีก เลยนั่งกินไส้กรอกกับชาเขียวรอประมาณ 15 นาที พี่น้องก็มาถึง เราจึงเข้าไปจัดแต่งทรงผมในห้องน้ำ เตรียมตัวขนของขึ้นรถตู้ ไม่นานนักทุกคนก็มารวมตัวกันจนครบ และออกเดินทางกันในเวลา 6.45 น.

มาถึงโรงแรม เดอะคัลเลอร์รีฟวิ่ง ณ ห้องบอลรูม 1 ในเวลา 7.30 น. ทุกคนต่างจัดของที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ยังทำไม่เรียบร้อย เราได้เริ่มฉายวีดีทัศน์สารคดีชุด Home ในเวอร์ชั่นที่ตัดต่อแล้ว พร้อมการกล่าวทักทายโดยพี่บอย และแล้วทุกอย่างเริ่มที่จะยุ่ง เพราะระหว่างที่ทุกคนกำลังชมสารคดีอย่างให้ความสนใจนั้น คนที่เริ่มทยอยมาเข้าอบรมเกินกว่าโต๊ะและเก้าอี้ที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้ จึงรีบแจ้งทางเจ้าหน้าที่โรงแรมและได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการเอาโต๊ะและเก้าอี้มาเติมจากอีกห้องที่ติดกันทางด้านหลัง ทุกอย่างจึงผ่านไปได้ด้วยดี

การกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการอย่างเป็นมืออาชีพโดยพี่สาวพิธีกรของวันนี้ ที่สำคัญ คือ เราต้องจดจำคำพูดในการเปิดงาน เนื่องจากเราจำเป็นจะต้องเป็นพิธีกรในโอกาสต่อไป เริ่มการบรรยายโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ อาจารย์ได้เริ่มต้นกับคำถามง่ายๆว่า “คุณทำงานเพื่ออะไร?” อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะทุกคนไม่ค่อยจะคิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจาก “เงิน” ไม่มีใครคิดถึงการยอมรับของสังคมและความยั่งยืนซักเท่าไรจนอาจารย์ได้อธิบาย สีหน้าของทุกคนจึงได้เข้าใจและเริ่มคล้อยตามการบรรยายมากขึ้น บรรยากาศของการบรรยายเป็นไปอย่างราบรื่น สังเกตได้ว่ามีทั้งคนสนใจมาก และคนที่ง่วงในทุกๆ ที่ไป หลังจากการพักเบรคในตอนเช้าก็มีคนเข้าทักทายอาจารย์และแสดงความชื่นชม ได้มีการสนทนาตามภาษานักวิชาการ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องได้แต่ต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากที่ผู้ฟังรับประทานของว่าง ชา กาแฟ และรวมตัวกันที่ห้องสัมมนาจนหมดแล้ว พี่บอยได้เริ่มกล่าวทักทายและได้ชวนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องหน้าที่พลเมือง ได้มีผู้เสนอความคิด ในหัวข้อการเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาที่เป็นหลักจรรยาของประเทศบ้านเมืองที่ตนเป็นพลเมืองอยู่นั้นโดยเคร่งครัด โดยกล่าวว่า “ผมเคยไปเป็นพิธีกรให้กับวัดเชิญชวนคนในชุมชนมารักษาศีล และได้เอาดอกไม้ไปช่วยงานวัดเป็นประจำ ปลูกต้นไม้และปล่อยปลาคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อก่อนเคยอยู่ชัยนาทเป็นแหล่งธรรมชาติ แต่ได้ย้ายมาอยู่สมุทรปราการกว่า 20 ปี พอกลับไปทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป ธรรมชาติสูญหาย เพราะสารเคมีในการประกอบอาชีพ ทำให้สัตว์น้ำตายหมด คนทำสวนทำไร่ก็ใช้สารเคมีกันเยอะ ผมได้มีโอกาสปฏิบัติตามปรัชญาของในหลวง ได้ขุดแหล่งน้ำ และปล่อยปลาออกสู่ธรรมชาติ ได้เอาแนวคิดไปปรึกษาอาจารย์หลายๆ ท่าน พยายามให้ลดการใช้ปุ๋ยใช้ยา ทุกอย่างจึงได้ดีขึ้น ตามลำดับ ประโยชน์ที่ได้คือ ความสุขใจ สบายใจ”

ผู้เข้าร่วมอบรมท่านที่มาแลกเปลี่ยนความคิดท่านต่อมา ชื่อคุณ บัญชา บัวบุตร งงเลยเพราะนามสกุลเหมือนพี่พงศ์ ฮ่าๆๆ คุณบัญชา ได้เลือกในข้อการเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ อยากให้ปลูกฝังในเรื่องของความซื่อสัตย์ของตนเองก่อน ซึ่งโรงงานแถวนี้มีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมและน้ำที่ปล่อยลงทะเลก็ไม่ดี อันนี้ถือว่าความซื่อสัตย์ไม่มี แต่พูดไม่ได้ อยากให้เอาคุณธรรมและจริยธรรมเข้ามาปลูกฝังกับคนรุ่นใหม่ในทุกองค์กร สังคมจะได้รากฐานที่แข็งแรงต่อองค์กรและขยายไปสู่ระดับประเทศ จะได้ทำให้องค์กรพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้อง The Place เสร็จแล้วได้มีการออกกำลังแก้หนาวกันในห้องสัมนา โดยได้ใช้เพลง Nobody ของ Wonder Girl จากเกาหลี ผู้เข้าร่วมได้ให้ความร่วมมือและได้รับความผ่อนคลายสนุกสนานเป็นกันเองในการยืดเส้นยืดสายในครั้งนี้ ไอ้เราคนนี้กับพี่หนึ่งก็อายจริงๆ เกิดมาไม่เคยคิดจะนำเต้นเลย ฮ่าๆๆ แต่ก็เอาแค่ท่าออกกำลังกายง่ายๆ ดร.พิพัฒน์ ได้เริ่มการบรรยายในช่วงบ่ายประมาณ 1ชั่วโมง 30นาที และได้พักรับประทานอาหารว่างยามบ่ายอีกครั้ง ก่อนเข้ามานั่งเป็นกลุ่มเพื่อจะได้เริ่มทำเวิร์คช็อปในช่วงต่อไป

มาถึงกิจกรรมการบริหารกิจกรรม CSR เชิงระบบในระดับองค์กร โดยพี่บอยได้เป็นผู้อธิบายเกี่ยวกับเวิร์คช็อปนี้ และให้เวลาระดมความคิดราว 10 นาที ผู้ที่นำเสนอคนแรกได้เสนอแนวคิดการดำเนินกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการลดมลภาวะทางน้ำ ซึ่งจัดอยู่ในหัวข้อการเพิ่มความน่าเชื่อถือในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีรายละเอียดเริ่มจาก (1) กำหนดนโยบายประกาศให้ทุกคนรับทราบ (2) จัดการอบรมเรื่องการป้องกันและความรู้เกี่ยวกับมลภาวะทางน้ำ (3) จัดทำแผนติดตามและประมินผลคุณภาพน้ำ (4) จัดทำกลุ่มติดตามและเฝ้าระวัง และ (5) จัดทำเอกสารความรู้แก่ชุมชนใกล้เคียง โดยสิ่งที่จะได้รับ คือ สภาวะแวดล้อมที่ดี และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางน้ำอย่างต่อเนื่อง

ท่านต่อมาได้พูดถึงการสื่อสารต่อสังคมเกี่ยวกับการจัดการน้ำเสีย โดยเสนอให้มีการตรวจสอบน้ำก่อนจะปล่อยสู่แม่น้ำ มีการวัดค่าของน้ำ และมีทำประชาพิจารณ์ในกรณีที่จะมีการสร้างโรงงานขึ้นใหม่ ผลที่จะได้รับ คือ แม่น้ำจะได้สะอาดและองค์กรก็จะได้รับการยอมรับจากชุมชน

ท่านสุดท้าย ได้เสนอความเห็นในหัวข้อการริเริ่มปฏิบัติในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมโดยสมัครใจนอกเหนือจากที่มีอยู่ โดยเสนอกิจกรรมที่มีชื่อว่า "บุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจแก่เด็กๆ" เนื่องจากเด็กสมัยนี้ขาดแรงบันดาลใจในทางบวก มีแต่ถูกชักจูงไปในทางลบ เช่น เล่นเกมส์รุนแรง แล้วก็ยกพวกตีกัน ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สิ่งที่อยากเสนอก็คือ การเฟ้นหาบุคคลที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขาอาชีพ จากคนที่ไม่มีอะไรจนประสบความสำเร็จได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและตัวอย่างที่ดี พ่อแม่จะได้ใช้ตัวอย่างเหล่านี้ในการสอนลูก

ในช่วงกรณีศึกษากิจกรรม CSR เชิงสร้างสรรค์ (Creative CSR) กิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากสุดมาจากกลุ่มชื่อ “คนรักลูก” โดยมีกิจกรรมที่นำเสนอ คือ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งมีแนวคิดว่าจะจัดเนอสเซอรี่ และศูนย์ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาครอบครัว โดยจะเชิญชวนโรงงานข้างเคียงให้มาร่วมด้วย กิจกรรมนี้มีผู้ที่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเพิ่งจะมีลูกเช่นกัน และได้พูดถึงงบประมาณและบุคคลที่จะมาดูแลเด็กๆ ว่าจะเป็นพยาบาลหรืออาสาสมัคร แต่ต้องมีจำกัดว่าจะรับเลี้ยงได้กี่คน ไม่งั้นจะมีลูกกันเยอะแยะไปหมด ส่วนอีกท่านหนึ่งได้ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า การที่ให้คนอื่นดูแลจะไว้ใจได้ยาก หากจะรับอาสาสมัคร ต้องมีการคัดเลือกและต้องดูว่าจะรับมาเลี้ยงเด็กแนวไหน พร้อมเสนอว่าให้เลี้ยงในวิถีพุทธ และได้แซวทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าคุณพ่อที่ไม่ดูบอลวันเสาร์ ก็คงพอที่จะช่วยดูแลลูกได้ ส่วนอีกท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า แค่ชื่อกิจกรรมก็โดนใจแล้ว กิจกรรมนี้น่าจะต้องมีผู้สนับสนุนงบประมาณหรือช่วยบริจาคอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องมีกระบวนการบริหารจัดการที่ดี พร้อมกล่าวชื่นชมผู้นำเสนอว่า พูดนำเสนอได้ดีมาก

สำหรับตัวกระผมเองก็คิดว่าใครๆ ก็คงรักลูก และอยากให้สิ่งที่ดีๆ กับลูกทั้งนั้น ใจผมจึงรู้สึกสนับสนุนเต็มที่ ทั้งๆ ที่ผมเองก็ยังไม่เคยมีลูกนะ ฮ่าๆๆ

อาจารย์ชาญ ไม้ยอด ผู้อำนวยการศูนย์จัดทำวิชาชีพอัญสัมชัญ ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ได้กล่าวว่า “ได้ทราบข่าวสารจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยในเรื่อง CSR จึงมาร่วมอบรม และดีใจที่ได้เห็นหลายๆ บริษัทมาเข้าอบรมเพื่อนำความรู้ไปเผยแพร่และใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้แนวคิดใหม่ๆ จาก ดร.พิพัฒน์ ที่สามารถนำไปถ่ายทอดต่อและเป็นอะไรที่คนไทยควรทราบ โดยเฉพาะเรื่อง CSR ต้องเริ่มต้นจากตัวเองให้ได้ก่อน ในสถาบันเองได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้มานานแล้ว เรามีการฝึกอบรมให้เยาวชนโดยเน้นว่า “to b a person of characters” คือ การเป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะนิสัยที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การสอนในห้องเรียน นอกจากการฟังบรรยายแล้ว ยังมี case study และต้องทำ quiz ด้วย สิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นต่อไป คือ การสร้างกลไกเพื่อให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมเพื่อสร้างให้เกิดจิตสำนึก โดยเข้าร่วมกับองค์กรธุรกิจในการเข้าไปดูแลสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการศึกษา และให้ความรู้แก่เด็กๆ ในชุมชน เป็นต้น”


ในช่วงสุดท้าย อาจารย์พิพัฒน์ได้กล่าวปิดงานและขอบคุณที่ทุกท่านได้อยู่ด้วยกันจนถึงช่วงท้ายของการอบรม และอวยพรให้ทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ เจ้าหน้าที่ทุกคนได้ทำการเก็บของอย่างรวดเร็วและมีการประชุมเพิ่มเติม เพื่อหาปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานในวันนี้ว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง

เจ้าหน้าที่ทุกท่านได้เดินทางออกจากโรงแรมเวลา 6.00 น. และมาถึงที่ทำงาน 3 ทุ่ม เพราะรถติดมากๆ เนื่องจากฝนตกทำให้วิสัยทัศน์ไม่สู้ดีนัก หลังจากที่เอาของลงจากรถแล้วได้แยกย้ายกันกับบ้านพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวจัดกิจกรรมในวันต่อไปที่ จ.ปทุมธานี


2 ความคิดเห็น:

  1. อยากเห็นบรรยากาศตอนเต้นเพลง Nobody จังจ้า.... ดีใจจังที่อาจารย์ชาญ ไม้ยอด ผู้อำนวยการศูนย์จัดทำวิชาชีพอัญสัมชัญ มาเข้าร่วมอบรมด้วย เพราะเรามีหลานเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ ตั้ง 3 คน ทำให้แน่ใจได้ว่าอาจารย์ที่นี่มีคุณภาพแน่นอน!!!

    ตอบลบ
  2. เสียดายจังบ้านอยู่สมุทรปราการ แต่ไม่ได้ไปเข้าร่วม

    ตอบลบ