วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยโสธร





Yeah Yeah ! วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปอีสานในรอบอาทิตย์นี้แล้วครับ โดยวันนี้กระผมก็ปักหลักอยู่ที่จังหวัดยโสธรนั่นเอง (คิดถึงกรุงเทพฯเหลือเกิน) หลังจากกระผมตื่นนอนขึ้นมาก็ออกมานอกระเบียงซะหน่อย (ต้องยอมรับครับว่าเป็นโรงแรมที่มีระเบียงอยู่โรงแรมเดียวตั้งแต่มาทริปอีสาน) มองวิวข้างนอกค่อนข้างสวยมากครับ เห็นสีเขียวของผืนหญ้าตัดกับสีฟ้ากับท้องฟ้าด้วย และที่ใกล้ ๆ ก็จะเป็นเทศบาลเมืองยโสธรครับ ยืนคิดสักพักว่าขนาดที่นี้เป็นอำเภอเมืองนะเนี่ย ยังมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติขนาดนี้ เมื่อเทียบกับจังหวัดอุบลราชธานีที่ผมไปมาต้องยอมรับครับว่าความเป็นเมืองใหญ่ครอบงำอำเภอเมืองไปหมดแล้ว แม้กระทั่งอำเภอข้างเคียงด้วยอย่างอำเภอวารินชำราบที่สามารถสะท้อนความเป็นเมืองใหญ่จนบดบังความเป็นธรรมชาติเหลือเพียงนิดเดียว ซึ่งความคิดสะท้อนผ่านความรู้สึกส่วนตัวนะครับ เพราะว่าผมเป็นคนชอบธรรมชาติ และหากความเป็นธรรมชาติสามารถผสมผสานสอดคล้องกับความเป็นเมืองอย่างลงตัวแบบจังหวัดยโสธร กระผมก็ยิ่งชอบขึ้นไปอีก

หลังจากผมปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็มาดูข่าวต่อแต่วันนี้ลองมาดูข่าวบันเทิงบ้างรู้สึกจะเป็นช่องอะไรไม่รู้ แต่เป็นรายการแฉแต่เช้า On TV ซึงวันนี้ไม่ค่อยมีเรื่องดาราซะเท่าไหร่แต่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับควันหลงในเรื่องของน้องนักเรียนที่ไปใช้บริการจัดฟันเถื่อนซะมากกว่า ต้องยอมรับนะครับว่าคุณมดดำด่าได้รุนแรงมาก ซึ่งบางท่านอาจจะให้ระดับของคำพูดอยู่ในช่วงหยาบคายได้ทีเดียวแต่กระผมกลับมองว่าคำพูดที่หยาบคายออกมาเพื่อสะท้อนถึงผลลัพธ์ของการกระทำอันโง่เขลาที่รับจัดฟันโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตกสู่น้องนักเรียนคนนั้นถือเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งครับ (อยู่แค่นี้ดีกว่า ก่อนที่กระผมจะเริ่มหยาบคายเหมือนคุณมดดำบ้าง) และตอนนี้พวกกระผมก็พร้อมจะลงไปทานอาหารเช้าข้างล่างแล้วครับ

วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่วงการอาหารโรงแรมสั่นสะเทือนเหมือนกันอีกวันหนึ่ง (คล้าย ๆ ที่จังหวัดตราดนั่นแหละ) เมื่ออาหารตามสั่งมีรายการอาหารมากกว่าข้าวต้มและ American Breakfast โดยมีรายการเสริมเพิ่มขึ้นมาเช่น ข้าวผัด และ ข้าวผัดกระเพราด้วยครับโดยส่วนตัวเข้าใจว่าข้าวหอมมะลิของยโสธรเป็นของดีของที่นี้ กระผมจึงเลือกข้าวผัดกระเพราทะเล (แหม ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารทะเลที่ยโสธรเป็นอย่างไรบ้าง) หลังจากนั่งรออาหารสักพักอาหารแต่ละรายการก็เริ่มมาเสิร์ฟพร้อมหน้าครับ ซึ่งกระเพราทะเลของผมมีลูกชิ้นปลา (อย่างน้อยก็ปลาน่ะ) กุ้ง (สภาพสดคล้ายแป้งเลยครับ) และหมึก (ค่อนข้างดีหน่อย) แต่เมื่อลองทานดูก็รู้สึกว่าอร่อยนะครับ รสชาติค่อนข้างจัดจ้านฉีกกฎรสชาติอาหารโรงแรมไปทันที

หลังจากเรารับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เริ่มเข้าห้องประชุมโดยปกติเพื่อเตรียมงานต่อไป แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดอีกแล้วเมื่อเครื่องเสียงไม่ทำงาน ไม่มีเสียงออกมาจากลำโพงครับและช่วงเวลาดังกล่าวก็ไม่ค่อยมีพนักงานโรงแรมมาสนใจเท่าไร (เฮ้อ ปัญหาหน้างานมาอีกแล้ว) อาจจะเป็นเพราะช่วง 7.45 น.ยังไม่มีพนักงานมาเข้างานหรือเปล่าก็ไม่รู้จึงต้องรอต่อไปยัน 8.00 น. ก็แล้ว 8.15น. ก็ยังไม่มีผู้ใดมาสนใจเลย สักพักคราวนี้มาเป็นรังเลยครับพนักงานโรงแรมประมาณ 7 -8 คนครับก็เริ่มมาล้อมตัวตู้แอมป์เพื่อแก้ไขปัญหาเครื่องเสียงซะที กระผมก็รู้สึกเบาใจเล็กน้อยคิดว่าสักพักก็น่าจะใช้ได้นะ แต่การใช้กำลังของพนักงานโรงแรมในการเข้าล้อมกดดันให้เครื่องแอมป์ทำงานคงไม่เป็นผลมั้งครับ เพราะขณะนั้นก็ไม่เกิดเสียงผ่านลำโพงซักแอะเลย เราจึงต้องใช้ไมค์จ่อไปที่ Notebook แทนเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ซึ่งโดยรวมก็ถือว่ายัง OK กว่าเดิมน่า พอเวลาประมาณ 9.00 น.ก็เริ่มเข้างานแล้วครับโดยวันนี้ก็ยังมีกลุ่มนักศึกษาเป็นส่วนมากเช่นเดิมและภาคธุรกิจบางส่วนครับ

วันนี้กิจกรรมแรกเรื่องหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทที่น่าสนใจของชาวจังหวัดยโสธรมีดังนี้เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำมาหากินโดยสุจริต และไม่สร้างปัญหาให้แก่สังคม ตัวเอง และสิ่งแวดล้อม ส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจแสวงหากำไรด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะหลักธรรมาภิบาลเป็นหลักที่ทำให้ธุรกิจสามารถทำกำไรบนพื้นฐานของจริยธรรมได้ หัวข้อต่อมาคือการเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมด้วยการไตร่ตรองอยู่เสมอว่าสิ่งไหนควรทำและสิ่งไหนไม่ควรทำเพราะบางทีการเลี้ยงชีพด้วยการคำนึงถึงระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงกระทบในระยะยาวอาจสร้างปัญหาต่อสังคมได้ ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริง ซึ่งจะสร้างความไว้วางใจของลูกค้าต่อองค์กรได้เช่นกัน

ต่อมาเป็นกิจกรรม CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้เช่น การบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กรด้วยการต้องสังเกตุก่อนว่าลักษณะขององค์กรเป็นอย่างไร แล้วจึงใช้ความเข้าใจของ CSR ทำการบูรณาการเข้าไปในสถานศึกษานั้น ส่วนหัวข้อต่อมาคือการเพิ่มความน่าเชื่อถือในการดำเนิน CSR ขององค์กรด้วยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องหรือมีประโยชน์กับลูกค้าในหลาย ๆ ช่องทางเช่น SMS เป็นต้น รวมถึงมีการทำกิจกรรมนอกสถานที่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงตามความต้องการของลูกค้า

ในวันนี้ช่วงอาหารเที่ยงผมได้ร่วมโต๊ะกับอาจารย์จากวิทยาลัยเกษตรยโสธรด้วยบรรยากาศโต๊ะอาหารเป็นกันเองมากครับ อาจารย์ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมของชาวจังหวัดยโสธรว่าจังหวัดนี้ถือเป็นต้นกำเนิดประเพณีบั้งไฟเลยนะครับ โดยสมัยก่อนวัตถุประสงค์ประเพณีบั้งไฟมีไว้เพื่อขอฝนให้ตกตามฤดูกาลเฉย ๆ แต่ปัจจุบันกลายเป็นเพื่อความสนุกสนานไปแล้ว เพราะบางช่วงที่มีการจัดเทศกาลจะมีเม็ดเงินเข้ามาสะพัดเป็นหลักล้านเลยนะครับ (ย้ำว่าหลักล้าน) แม้ว่าจะเป็นประเพณีที่ดีแต่ก็สร้างผลกระทบทางเชิงลบมากเช่นกันเพราะเศษบั้งไฟที่ตกลงมาแถมยังมีมลพิษทางอากาศเกิดขึ้นด้วย แถมตอนช่วงมีเทศกาลบั้งไฟทีไรก็ต้องมีของมึนเมาเข้ามาประกอบในงานด้วยรวมถึงการพนันว่าบั้งไฟไหนจะสูงที่สุดหรือตกก่อนอีกต่างหาก (ไม่น่าเชื่อว่าประเพณีที่ดีกลับกลายเป็นเรื่องร้ายไปซะได้) และอาจารย์ยังกล่าวต่อว่าของดีที่จังหวัดยโสธรก็คือข้าวหอมมะลินั่นเองโดยข้าวที่นี้จะหอมมากและมีความนุ่มที่เป็นเอกลักษณ์ บางทีเวลาจะซื้อไปฝากพี่น้องต่างจังหวัดต้องซื้อไปเป็น 100 กิโลกรัมเลยก็มี ทำให้ตอนนี้ Enjoy กับการรับประทานข้าวหอมมะลิของโรงแรมที่นี้เหลือเกิน (จะผอมมั้ยเรา)

สุดท้ายเป็นกิจกรรม Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดยโสธรดังนี้ “โครงการพัฒนาและเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิ” เนื่องจากการเพาะข้าวหอมมะลิในปัจจุบันของจังหวัดยโสธรยังถูกจำกัดเป็นบางอำเภออยู่ทำให้ผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาดยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นโครงการดังกล่าวจะเน้นการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกไปยังอำเภออื่น ๆ รวมถึงการเพิ่มแหล่งน้ำผ่านคลองชลประทานไปยังพื้นที่ดังกล่าวด้วย ซึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์แก่เกษตรกร รวมถึงผู้บริโภคจะมีข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพไว้บริโภคด้วย

โครงการต่อมาคือ “โครงการเครื่องสานไม่ธรรมดานำพารายได้” โดยการโครงการจะเน้นการให้ความรู้วิชาชีพด้านการจักสานให้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสานท้องถิ่นรวมถึงยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วย โดยโครงการจะเริ่มการอบรมและให้ความรู้แก่ผู้สนใจรวมถึงการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายแก่ผลิตภัณฑ์จักสานต่าง ๆ ของสมาชิกด้วย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถระบายทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งโครงการนี้จะสามารถสร้างประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังตกงานให้มีงานทำอีกด้วย

โครงการสุดท้ายคือ “โครงการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน” เนื่องจากชุมชนในปัจจุบันยังมีปัญหาในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ยาเสพติด วัฒนธรรม การออม และวิถีการดำเนินชีวิต เป็นต้น จึงมีการริเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวขึ้นด้วยการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการจัดกิจกรรมกีฬา การอบรมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การดำรงรักษาวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และการให้ความรู้เรื่องออมทรัพย์ด้วย ซึ่งจะเป็นการสร้างประโยชน์ทั้งตัวเราเองและชุมชนดังกล่าวด้วย

วันนี้ผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์บุษกร พืชเพ็ญ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีเกษตรยโสธร โดยท่านได้กล่าวว่า “วันนี้มีโอกาสเรียนรู้เรื่อง CSR ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์มากเนื่องจากทางวิทยาลัยมีนโยบายที่จะคิดหลักสูตรในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงโดยหนึ่งในหัวข้อของเศรษฐกิจพอเพียงข้อหนึ่งได้แก่เรื่องคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่ง CSR สามารถเติมเต็มเรื่องจริยธรรมได้อย่างดีมาก และในส่วนของเรื่องพลเมืองบรรษัทสามารถเผยแพร่ได้อยู่แล้วผ่านการสอนที่เน้น Case Study ขึ้นมาอธิบายเพิ่ม รวมถึงจะให้นักศึกษาร่วมอภิปรายว่าวิทยาลัยยังขาดพลเมืองบรรษัทในข้อไหนบ้าง และต้องเพิ่มเติมข้อไหนบ้างอีกด้วย”

และในที่สุดงาน CSR Campus ในจังหวัดภาคอีสานของอาทิตย์นี้ก็จบลงด้วยดี หลังจากเราเก็บของเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปดูร้านสินค้า OTOP ของจังหวัดยโสธรทันทีโดยภายในร้านจะประกอบไปด้วยสินค้าที่นำข้าวมาประยุกต์เป็นโมบายบ้างก็มี และก็มีหมอนขิดด้วยครับ (หมอนขิดคล้ายกับหมอนขวานที่แถวบ้านผมเรียกแหละครับ) หลังจากเราซื้อของกันเสร็จเรียบร้อยกระผมก็ไปเห็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่หนึ่งนั่นก็คือ พระธาตุก่องข้าวน้อย ครับซึ่งสมัยกระผมหนุ่ม ๆ ก็เคยได้รู้เรื่องราวมาบ้างเกี่ยวกับที่ลูกฆ่าแม่เนื่องจากความโมโหหิวข้าว หลังจากแม่ตายก็สำนึกผิดจึงสร้างเจดีย์ไว้เพื่อแสดงถึงความสำนึกผิดที่ฆ่าแม่ด้วยความโมโห ระหว่างที่กำลังนั่งรถตู้เพื่อจะไปพระธาตุก่องข้าวน้อย กระผมก็นั่งคิดถึงตำนานดังกล่าวว่าการสร้างเจดีย์ขึ้นมาเพื่อสำนึกในความผิดที่ตนฆ่าแม่ไปนั้นถือว่าเป็นการทำ CSR แล้วเช่นกัน (สังคมไทยมี CSR มีมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย)

หลังจากถึงที่หมายแล้วทีมงานก็เข้ากราบที่พระเจดีย์ก่องข้าวน้อย แล้วก็เดินทางไปทานอาหารที่ตลาดในเมืองยโสธรครับ (วันนี้ต้องรีบทานไว ๆ หน่อยเพราะการเดินทางจากยโสธรถึงกรุงเทพฯต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมงทีเดียว) และเมื่อเราทานอาหารกันเสร็จแล้วก็เริ่มออกเดินทางไปกรุงเทพฯ ในเวลา 18.00 น.ครับ ช่วงเวลาดังกล่าวส่วนใหญ่ก็จะเห็นทีมงานหลับกันเกือบหมดยกเว้นพี่รถตู้นะครับ โดยทีมงานทุกคนมีผ้าห่มและเสื้อกันหนาวกันเรียบร้อย ส่วนตัวกระผมไม่มีอาภรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นยกเว้นเสื้อ CSR สีขาวสุดหล่อไว้บรรเทาความหนาวเพียงอย่างเดียว ในใจนึกแต่ว่าก่อนออกเดินทางไม่น่าไปแซวคนอื่นไว้เยอะเลยในเรื่องผ้าห่ม ในที่สุดเราก็ถึงกรุงเทพฯแล้วครับในเวลา 1.00 น.ตอนนี้มองหน้าทีมงานแต่ละคนมีสภาพอ่อนเปี้ยเพลียแรงอย่างเห็นได้ชัดหน้าตาทีมงานแต่ละคนเหมือนเพลี้ยญี่ปุ่นเลยครับ (เพลี้ยญี่ปุ่นหน้าเป็นยังไงหว่า) หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อยกระผมก็มุ่งหน้าสู่วิมานผืนน้อยที่อบอุ่นแถวแยกเกษตรแล้วครับ สุดท้ายหวังว่าทุกท่านคงจะสนุกกับเรื่องราวที่ผ่านมาของกระผมนะครับ อย่าลืมติดตาม Blog ของพวกเราต่อไปนะครับว่าอาทิตย์หน้าเราจะไปเจอประสบการณ์อะไรบ้างในทริปจังหวัดภาคอีสานครั้งต่อไป

ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย

หนองคาย

เย้...ที่ๆเราจะไปกันในคราวนี้ เป็นที่ๆผมมาก็อาจจะมาบ่อยกว่าจังหวัดอื่นๆซักหน่อยครับ เพราะเวลาที่ผมมารวมญาติในวันตรุษจีนที่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เราก็จะมาที่จังหวัดนี้อยู่เป็นประจำ ช่วงงานเทศกาลสงกรานต์เค้าก็มีการแห่หลวงพ่อพระใส จังหวัดหนองคายครับ ผมก็เคยมีโอกาสได้แห่ครั้งหนึ่ง คนเยอะมากๆครับ น้ำนองเต็มพื้นเลย แห่กันไม่ได้กลัวองค์พระหล่นเลย ฮ่าๆ แต่ก็สนุกครับ เพราะทุกคนส่งเสียงโห่ร้องสร้างความคึกคักเป็นอย่างมาก เรามาถึงกันก็เย็นแล้ว จึงได้แวะเที่ยวที่ “ตลาดท่าเสด็จ” ที่นี่ก็มีสินค้ามากมายเช่นผ้าไหม เครื่องเงิน ผ้าถุง และอีกหลายๆอย่าง จะว่าไปแล้วกลุ่มเราไม่ได้เน้นช๊อปปิ้งครับ อย่าลืมว่า Concept เราคืออาหาร ฮ่าๆๆ ไม่รอช้าเราก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเวียดนามที่ขึ้นชื่อที่สุดในระแวกนี้ “ร้านแดงแหนมเนือง” สั่งตามใจปากกันอีกแล้วครับ ก็จะมาลำบากที่ผมทุกที เสื้อก็ชักจะฟิตไปทุกทีแล้ว อืม...การเดินทางมาในคราวนี้ ผมรู้สึกว่าผมกินอะไรไม่ค่อยจะลงเลย เพราะเริ่มจะเบื่ออาหารแนวนี้ซะแล้ว เวลากลับไปที่บ้านก็ซื้อแต่ข้าวกล่องกัน อาจเป็นเพราะว่าพระมารดาผมก็ไม่ค่อยอยากจะทำครับเพราะลูกๆไม่ค่อยอยู่ ฮ่าๆ ลูก 3 คน ไม่อยู่ซักคน เพราะยังเรียนอยู่บ้างทำงานไกลบ้างครับ พูดถึงที่บ้านแล้วก็คิดถึงหมาน้อยของผมที่เพิงจะคลอดลูกซะด้วย จะว่าไปแล้วผมพล่ามอะไรอยู่เนี่ย.....ครับกับมาที่ร้านแหนมเนืองอีกครับ เวลาจะกินอาหารชนิดนี้สาวๆก็อาจจะดูไม่งามซักหน่อยเพราะต้องอ้าปากกว้างมากๆ พี่สาวสองคนของเราหมดสวยไปเลย


หลังจากสวาปามกันไปเรียบร้อยเราก็เข้าพักที่ “โรงแรมหนองคายแกรนด์” ผมสังเกตุเห็นว่าทำไมมีกลอง ระนาด ฉิ่งตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าเลย ก็แปลกใจครับ ไม่นานนักก็มีทีมใหญ่ชุดสีม่วงมานั่งเล่นเครื่องดนตรีเหล่านั้นอย่างสนุกสนาน สอบถามได้ความว่าจะมีคณะสัมมนามาจึงมีการละเล่นต้อนรับ ดูดีเลยทีเดียวครับอยากจะเข้าไปแจมด้วยแต่ไม่กล้า ถึงห้องพักซักทีครับเบาะนอนช่างสบายจริงๆ อย่างกับสวรรค์เลย อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางครับ ผมกับอาจารย์ก็กะจะลงไปว่ายน้ำกันที่สระของโรงแรมอีกแต่ว่าสระเค้าปิดตั้งแต่ 6โมงแล้วจึงชวดไป เราก็นั่งดูทีวี สรุปงาน อ่านหนังสือกันไป ซักพักก็มีเสียงเคาะประตู ผมก็สงสัยว่าใครมาเคาะเนี่ยะดึกขนาดนี้แล้ว คิดในใจ (อาจารย์เรียกเด็ก) จ๊ากก ล้อเล่นครับ ผมจึงเดินไปเปิด เจอป้าคนหนึ่งครับ แกก็ตกใจที่เห็นผม ดูจากสภาพแล้วเมาชัวร์ครับ เธอเลยบอกผมว่า “อุ้ย! โทษทีค่ะเปลี่ยนห้องไปเปลี่ยนห้องมาเลยงง” ผมก็ไม่ได้สนใจนักจึงปิดประตูไป และก็นั่งทำงานต่อจนเข้านอน ส่วนอาจารย์ก็นอนอ่านหนังสือไปครับ


รุ่งอรุณของวันต่อมาผมตื่นตั้งแต่ 6 โมงและก็นอนไม่หลับอีก เพราะนอนคิดอะไรมั่วๆไปหมดเหมือนมีอะไรมาเหยียบยังไงไม่รู้ครับ เหอๆ อาบน้ำ แต่งตัว โกนหนวด เรียบร้อยก็ลงไปทานอาหารเช้าพร้อมๆกับอาจารย์วุฒิพงศ์ ผมได้ลองไข่กระทะของที่นี่และได้เรื่องจนได้ พ่อครัวก็วางไว้บนจานลองดีๆ ผมก็ดันไปหยิบที่กระทะนิ้วพองไป 3นิ้วเลย ฮ่าๆ ถึงกับเซ็งเป็ดเลยครับผม เมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างได้จัดเตรียมเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการตามด้วยการบรรยายจากอาจารย์วุฒิพงศ์กับใบหน้าที่หล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเพราะท่านเพิ่งลองที่โกนหนวดใหม่ ฮิๆๆ


เราก็มาสู่กิจกรรมหน้าที่พลเมืองวันนี้รู้สึกว่าแต่ละท่านที่มานำเสนอเป็นคนที่มีศีลธรรมมากครับ ท่านแรกเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาอย่างเคร่งครัด จะได้ไม่มีปัญหาและมีแต่ความเจริญต่อๆไป อยากให้องค์กรเปิดเผยข้อมูลและดำเนินงานอย่างถูกต้องโปร่งใส จะได้รับรู้ว่าองค์กรทุจริตอะไรหรือทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง ท่านต่อมาเลือกในข้อเป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีการครองตนโดยธรรม ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความสามัคคี อยากให้พลเมืองบรรษัทส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรม มีศีลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างค่านิยมในความซื่อสัตย์สุจริต และยึดหลักธรรมในการทำงาน ท่านที่สามนั้นเป็นผู้มีความพากเพียรหาเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม เรียนจบมาทำงานสุจริต มีความตั้งใจทำงาน รับผิดชอบหน้าที่ตนเอง ทำประโยชน์ให้ได้สูงสุดต่อบริษัท เพื่อนร่วมงานและตนเอง อยากให้องค์กรในจังหวัดนั้นส่งเสริมให้พนักงานให้มีศีลธรรมอีกเช่นกัน เมื่อพนักงานมีจิตใจที่ดี มีความยืดหยุ่น ผ่อนหนักเป็นเบา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ องค์กรก็จะเจริญก้าวหน้า เมื่อมีความสุขในการทำงานก็มีสุขภาพใจดี แหม่...ผมฟังแล้วรู้สึกอยากจะไปถือศีลซักอาทิตย์เลยครับ ฮ่าๆๆ


ช่วงพักทานอาหารกลางวัน รู้สึกผู้มาอบรมจะเอาใจอาจารย์เป็นพิเศษเลย มีการแซวว่า โห...อาจารย์ถอดเสื้อสูทแล้วดูยังหนุ่มมากเลย ผมแอบขำในใจ ฮ่าๆๆ แต่ก็นั่งทานไปด้วยครับ และมาถึงของหวานเป็นกล้วยบวชชี เมื่อวานที่ร้านแดงแหนมเนืองผมก็สั่งกล้วยบวชชีแต่ดันหมด วันนี้เลยได้กินสมใจ แต่พอทานไปแล้วรู้สึกมันไม่เหมือนแถวบ้านเราครับ ยังไงก็เกลี้ยงไม่เหลือเหมือนเดิม (แล้วจะบ่นทำไมว่าไม่อร่อย) ผมปลีกตัวมาที่ห้องอบรมก่อนเนื่องจากร้อนมาก ได้มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาคุยกับผมและสนใจในโครงการ CSR Day อยากให้เราไปปลูกจิตสำนึกและส่งเสริมความรู้ให้แก่พนักงานเพราะอยากให้พนักงานจำนวน 100กว่าคนได้รับรู้ถึง Concept ของ CSR


CSR เชิงระบบ เราได้ผู้นำเสนอการเข้าร่วมในความริเริ่มทางซีเอสอาร์โดยสมัครใจ โดยจะจัดส่งเสริมการท่องเที่ยวริมฝั่งน้ำโขง นำเด็กที่เรียนการโรงแรมมาเป็นไกด์นำเที่ยว จะเป็นการอาสาสมัครไปในตัว ต้องการคนในชุมชนทุกคนให้ความร่วมมือ อีกท่านอยากจะให้เพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร อยากให้จัดอบรมให้พนักงานเข้าใจ CSR และนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับแผนกลยุทธ์และผสมผสานเข้ากับ Action Plan ชุมชนองค์กรภาครัฐ NGO เข้าใจองค์กรและให้ความร่วมมือกับองค์กรมากขึ้นในอนาคต อีกท่านอยากให้มีความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร เพื่อให้พนักงานในองค์กรมีควมรู้มากขึ้น นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและบอกต่อกับผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง


ในส่วนของกิจกรรม Creative CSR เราได้ “โครงการน้ำหมักปุ๋ยชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร” นำเศษฟาง ข้าวเปลือกและอาหารมาหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ โดยมีการจัดอบรมวิธีการทำและให้วิทยาลัยเป็นตัวกลางในการให้ความรู้ชุมชน แนะนำชุมชนและเกษตรกรในการนำปุ๋ยไปใช้ เพราะจะช่วยประหยัดงบในการซื้อสารเคมี ผลผลิตทางการเกษตรจะปลอดสารมากขึ้น เมื่อสำเร็จก็จะมีการขยายผลและเผยแพร่ให้กับชุมชนอื่นๆต่อไป
โครงการเจ้าบ้านพาเลาะ” เป็นจุดเชื่อมต่อการให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆของจังหวัดหนองคาย รวมถึงการพาเที่ยวจังหวัดหนองคาย ถ้าใครมาที่นี่เจ้าบ้านก็จะพาลัดเลาะไปทุกที่ให้ทุกท่านถูกใจมากที่สุด มีการย่อทุกพื้นที่ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่พักของหนองคายมาไว้ในบ้านหลังเดียว เน้นความสะดวกของนักท่องเที่ยว โดยเราไม่เน้นผลกำไร ผู้ที่มาติดต่อมีการได้ประโยชน์สูงสุดและมีการพึงพอใจมากที่สุด GDP สูงขึ้นทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้น ความเป็นอยู่ดี การว่างงานลดลงและเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมกันทำงาน
โครงการเทศกาลออกพรรษาบุญบั้งไฟพญานาค” จัดให้มีกิจกรรมการทำบุญตักบาตรช่วงเช้า โดยประชาสัมพันธ์ให้นักศึกษา ผู้ปกครองและประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว จัดอบรมกลุ่มแม่ค้าให้มีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นไม่ขายของแพง ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค จัดหน่วยบริการนักท่องเที่ยว ขอความร่วมมือกับหมู่บ้านทำเป็นบ้าน Home Stay เมื่อนักท่องเที่ยวได้รับความพอใจ สะดวกสบาย ก็จะมีการกระจายข่าวและแห่กันมาที่จังหวัดเรา ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ในวันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์อารีรัตน์ จันทร์วิเศษ วิทยาลัยอาชีวศึกษาหนองคาย ซึ่งท่านกล่าวว่า “ได้หนังสือเชิญจากสถาบันไทยพัฒน์ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ให้ความรู้โดยไม่แสวงหาผลกำไร ทำให้สังคมรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับ CSR ทั้งๆที่มีมานานแล้วแต่ยังไม่ค่อยเข้าใจกัน ได้ความรู้ในเรื่องการจัดเข้าสู่ระบบของ KPI ตัวชี้วัด เพราะตัวเองยังไม่เข้าใจระบบ CSR มากเท่าไรแต่พอวันนี้ก็ได้รับความรู้แล้ว ผลที่ได้ก็คือเกิดกระบวนการเรียนรู้เป็นขั้นตอน ทำให้ทุกๆหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ความรู้และนำไปปลูกจิตสำนึกในองค์กรให้คำนึงถึงสังคมมากขึ้น ในส่วนของหน้าที่พลเมืองถ้าหากคนเราไม่มีจิตสำนึกสอนไปเท่าไรก็ไม่สามารถจะไปถ่ายทอดหรือขยายผลได้”
นอกจากนี้อาจารย์วรรณภา ทุมมะดี จากโรงเรียนเจมส์บริหารธุรกิจหนองคาย ยังกล่าวไว้ว่า “ได้ความรู้เยอะมาก แต่ก่อนที่ผ่านมาไม่รู้เรื่อง CSR เลยแต่ถ้าเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมก็พอจะรู้บ้าง แต่พอเข้ามาอบรมก็ได้รู้ว่าเป็นการบูรณาการในองค์กรด้วย ดีที่มาจัดให้ ที่หนองคายมีอะไรหลายๆอย่างที่ยังต้องการความรู้มาช่วยปรับปรุงให้มันดีขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องขององค์กร สามารถทำหน้าที่พลเมืองมาประยุกต์ใช้ได้อย่างแรงค่ะ เพราะสถาบันการศึกษาเราผลิตเยาวชนให้มีคุณภาพสูงสุด ถ้าเราปลูกฝังได้ โดยเฉพาะการทำตนให้มีประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ คิดว่าอนาคตเด็กๆเหล่านี้จะสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นๆได้เยอะค่ะ”
ผู้มาอบรมในวันนี้ก็ดูเฮฮากันมากครับ ไม่รู้จะฮากันไปไหน ขำกันได้ขำกันดีครับ ฮ่าๆ ผู้ใหญ่ที่มาในวันนี้ก็ดูค่อนข้างจะใจดี แต่ดูแล้วแต่ละคนอยากจะได้เสื้อจริงๆครับ จะเอาที่ผมใส่แล้วก็ยอม ผมก็อยากจะให้นะครับ (เพราะจะได้เปลี่ยน Size ฟิตเหลือเกินแล้ว พี่หมูคงจะใจดีให้ผมเปลี่ยนนะ) เหอๆ วันนี้ผมหมดแรงมากครับหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับแล้ว พี่ๆได้ทำการ Copy แผ่นให้กับผู้ที่มาร่วมอบรมและรอโหลดข้อมูลของวันต่อไป ส่วนผมไม่ไหวแล้วหลับคาเก้าอี้เลย อาจารย์แอบมาถ่ายรูปไว้อีก หมดกันภาพลักษณ์ที่สร้างมา ฮ่าๆๆ
ผมตื่นมากับเสียงที่ได้ยินผู้อบรมที่รอแผ่นซีดีกล่าวลากลับ และพวกเราก็ได้ขนของกันเพื่อจะได้เดินทางกันต่อ ก่อนที่จะไปจากจังหวัดหนองคายนี้เราก็ต้องทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์คู่จังหวัดนี้กันก่อนที่วัดโพธิ์ชัย หลวงพ่อพระใส และได้แวะทานอาหารชื่อดังของที่นี่ลองท้องกันครับ อืม...ก๋วยเตี๋ยวญวนกับหอยทอดครับ แต่ดูเด็กเสิร์ฟจะไม่เข้าใจท่าทางจะเป็นคนเวียดนามครับ เพราะผมสั่งน้ำส้มเธอก็ยืนยิ้มอยู่นั้นละครับ ฮ่าๆๆ ซักพักพี่เจ้าของร้านจึงเดินมาบอกว่าเค้าไม่เข้าใจหรอก ทานกันเรียบร้อยเราก็เดินทางกันต่อสู่จุดหมายปลายทางข้างหน้าทันที ระยะการเดินทางไปยังจังหวัดต่อไปก็ไม่ไกลนักครับ ท่านผู้อ่านลองเดาซิว่าเราจะไปที่ไหนกัน....







อุดรธานี

การเดินทางในทริปนี้รู้สึกว่าทีมเราไม่ค่อยจะได้ทานข้าวเย็นกันซักเท่าไรครับ เพราะอบรมเสร็จในแต่ละวันก็หาอะไรทานรองท้องกันตลอดพอ 18.00น.-19.00น. ก็ไม่หิวซะแล้ว เราได้มาถึง “โรงแรมเจริญศรีแกรนด์รอยัล” จังหวัดอุดรธานี ผมได้เหลือบไปเห็นร้าน Pizza & Steak ทางด้านข้างของโรงแรม พยาธิในท้องก็เหมือนจะเรียกร้อง แต่คิดว่าถ้าสั่งมาผมคงต้องมานั่งกินคนเดียวชัวร์เลยจึงต้องหักห้ามใจเอาไว้

ทุกๆคนได้แยกย้ายกันเข้าห้อง ไม่นานนักพี่ๆทีมงานสาวสองท่านก็โทรมาชวนไปเดินซื้อของในห้างใกล้เคียงแต่ผมกับอาจารย์อยากจะพักเหลือเกินจึงได้ปฏิเสธไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก พี่ๆโทรมาอีกละ ถามยังพูดว่าเสียดายที่ไม่ยอมออกไปด้วยกัน คนที่นี่สวยๆทั้งนั้นเลยไม่แพ้เด็กในกรุงเทพฯ เลยจะบอกให้ แต่ผลลัพธ์กับเป็นว่าผมสองคนไม่ได้ให้ความสนใจเลยซักนิด เพราะอยากนอนอยากพักอยู่ในห้องเฉยๆ (ประมาณว่าหมดแรง หมดอารมณ์ ผิดคาดครับ เหอๆ) แต่พลังงานของพี่สาวเราช่างเหลือเฟือจริงๆทุกวันพฤหัสบดีทีไรก็ต้องนอนดึกอีกแล้ว เพราะรายการ “ล้วงลับตับแตกกับเป็นต่อ” ไม่รู้จะเลือกดูรายการไหนดีครับ เพราะคลายเครียดได้ทั้งคู่ แต่ดูไปได้ไม่เท่าไรผมก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ตอนไหนก็ไม่รู้

จะว่าไปแล้วหลายๆวันที่ผ่านมาผมลุกขึ้นก่อนนาฬิกาปลุกเสมอประมาณ 1ชั่วโมง ก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงรอเปิดประตูให้กับพี่คนขับรถขึ้นมาอาบน้ำ ผมก็ได้เปิดดูข่าวช่อง 3 รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เรื่องไข้หวัด 2009 ดูท่าก็ยังไม่ลดลงเลย มีข่าวเสียชีวิตอีกแล้วและเป็นคนที่สามารถเขียน Font ภาษาไทยในการใช้โทรศัพท์ IPhone ได้เป็นคนแรก น่าเสียดายจริงๆ ครับ อายุยังน้อยด้วย เรื่องน้ำมันในส่วนของ Nymex กับ Brent ก็ดูจะสูงขึ้นตลอด ยังดีที่บ้านเราอิงกับ Dubai ที่ยังมีทั้งขึ้นทั้งลงบ้าง ไม่งั้นคนใช้รถในบ้านเราได้อ้วกแน่ วันนี้เราลงมาห้องอบรมก็ประมาณ 8.00 น. พี่ผึ้งกับพี่แอนจะหน้าเขียวใส่ไหมเนี่ย (ผมคิดในใจ) แต่ก็ยิ้มแย้มดีสงสัยวันนี้ท่าทางพี่ๆจะลืมทานยา ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันที่คนมาเยอะที่สุดของการเดินทางมาในครั้งนี้ครับ ห้องอบรมก็ดูหรูหราใหญ่โตทีเดียว “ห้องแกรนด์รอยัลบอลลูม” ส่วนห้องข้างๆก็มีการจัดอบรมของธนาคารกรุงเทพครับ วันนี้มีผู้ใหญ่ที่โชกโชนกับมุขพอดูทีเดียวเพราะผมได้ถามไปว่ามีนกกี่ตัวในสารคดี ท่านได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจว่า 2ตัว ตัวผู้กับตัวเมีย ผมหน้าหงายเลยเจอมุขสวนกลับ ฮ่าๆๆ ก็เป็นผลดีครับเพราะท่านให้บรรยากาศเป็นกันเองดี

Exercise หน้าที่พลเมืองได้ผู้นำเสนอว่าเป็นผู้มีความเพียรหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา และมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทำงานสุจริต ถือศีล 5 ทำบุญและทำกรรมดี มีความรัก เทิดทูนตลอดเวลาและมีพระบรมฉายาลักษณ์ติดไว้ที่บ้านเพื่อเคารพบูชา ความเป็นพลเมืองบรรษัทก็อยากจะให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสพร้อมทั้งสนับสนุนการดำเนินกิจการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามบทบาทที่เอื้ออำนวย ท่านต่อมาก็เลือกในทุกหัวข้อเว้นแต่การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัด ท่านให้เหตุผลว่าคำว่าเคร่งครัดอาจจะทำให้ทำไม่ได้ทุกครั้ง จึงไม่เลือกในข้อนี้ มีความเชื่อมั่นในการสร้างคนดี ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น พยายามรักษาคำพูด นำคำสอนของพ่อมาประยุกต์ใช้ สำหรับในความเป็นพลเมืองบรรษัทท่านได้เลือกทุกๆหัวข้อเพราะอยากจะให้เกิดความสุขส่วนรวมในท้องถิ่น

ในวันนี้ ผศ.ดร.ธวัช สุทธิกุลสมบัติ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้พูดกล่าวกับผมว่า “ได้รับหนังสือเชิญจากไทยพัฒน์และก็ได้เห็นข้อความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ CSR จึงสนใจ วันนี้ได้ความรู้ 2 อย่าง อย่างแรกเป็นความรู้ด้านจิตใจที่ต้องทำเพื่อสังคม อย่างที่สอง คือ ความรู้ในเชิงปฏิบัติการจากความรู้ในช่วงบ่าย ไม่อยากให้มาปีละครั้ง อยากให้มีความถี่นิดหนึ่ง ผมอยากให้จัดในส่วนของภาคเอกชนเยอะๆ หน่อย หน้าที่เป็นพลเมืองจะนำไปสอนได้ก็เป็นงานหลักอยู่แล้วด้วยเพราะผมเองก็สอนในวิชาพัฒนาสังคม นักศึกษาที่เข้ามาอบรมนี้น่าจะเอาความรู้ไปกระจายได้ครับ”

การรับประทานอาหารกลางวัน ผมก็ได้ความรู้และความเคลื่อนไหวซ้ำยังสถานการณ์ต่างๆของคนแถบนี้อีกด้วย ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็ได้แชร์ความรู้และประสบการณ์กับเราว่าอีกไม่กี่ปี ลาวจะเจริญมากและเงินที่จะเข้าไปประเทศเค้าก็จะมากขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการค้าขายระหว่างไทยลาว ลาวไม่เคยได้ดุลจากประเทศเราเลยแม้แต่ปีเดียว แต่อีกไม่นานเราจะแย่แน่ ตอนนี้แถบจังหวัดเลยเริ่มที่จะปลูกยางพารากันมาก และแรงงานลาวที่มาทำงานในบ้านเราก็เยอะ แต่ลาวเองก็เริ่มปลูกยางพาราขึ้นเยอะเช่นกันเห็นว่าประมาณเป็นล้านไร่ แรงงานที่มาฝั่งบ้านเราก็จะถูกดึงตัวกลับไป แล้วบ้านเราก็จะไม่มีคนกรีดยางทำให้ธุรกิจดำเนินการไปอย่างยากลำบาก อีกหน่อยพืชเศรษฐกิจต่างๆของเราก็จะสู้ลาว เวียดนามไม่ได้แล้ว นักลงทุนจากจีนมีการเช่าพื้นที่ในประเทศลาว เขมร เวียดนามในการปลูกพืชต่างๆ และนำกลับประเทศตัวเองในราคาที่ถูกและแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกมาในราคาที่แพงขึ้นทวีคูณ ตามองค์กรต่างๆในประเทศไทยนั้นคนที่ทำงานจริงๆจังๆ มีอยู่แค่ 10% นอกนั้นก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง บ้านเมืองเราถึงไม่เจริญไม่สามัคคีและไม่เป็นปึกแผ่นซักที และยังมีอีกหลายๆ อย่างในการสนทนาที่ไม่อาจนำมาพิมพ์ลงไปได้ แต่ผมก็ได้รับรู้อะไรเยอะแยะจริงๆครับ

การเต้นออกกำลังกายวันนี้ก็สนุกอีกแล้วครับ เพราะมีพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งตอบว่าเต้นแอโรบิคหน้าโลตัส ผมจะให้เธอออกมานำแต่เธอดันท้องอยู่ จึงไม่สะดวก “ถ้าพี่ไม่ท้องพี่ไม่ถอยแน่” เธอกล่าว ผมจึงบอกให้เธอมาอีกทีปีหน้าจะได้มานำได้ เธอก็ตอบกลับมาว่าปีหน้าก็ท้องอีกค่ะ ทำให้ท่านอื่นๆ หัวเราะกันอย่างสะใจ (สงสัยเธอจะว่างมากครับไม่รู้จะขยันผลิตสินค้ามารับใช้ชาติไปไหน) วันนี้ผู้ใหญ่ที่มาอบรมส่วนมากก็ส่ายกันได้มันจริงๆ เพลงจบก็ยังอารมณ์ค้างอยู่เลย บางท่านยังบ่นว่าอะไรยังไม่หายมันเลย

CSR เชิงระบบ ผู้นำเสนอท่านแรกอยากให้องค์กรทำกิจกรรมเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่อง CSR ต้องให้ความรู้ ความเข้าใจ ความหมาย การนำมาใช้และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ เพื่อเป้าหมายสูงสุดขององค์กรด้วย สอนถึงทฤษฎี ผู้ถ่ายทอดนำไปปฏิบัติประสานกับงานที่รับผิดชอบอยู่ให้เกิดเป็นรูปธรรม มีการติดตามประเมินผล คิดผลงานเป็นเปอร์เซ็นต์ การที่ทำกิจกรรมเหล่านี้สำเร็จได้ก็จะมีความซื่อสัตย์ สามัคคีและมีวินัย ท่านต่อมาเลือกในหัวข้อเดียวกัน ต้องสร้างวินัยทาง CSR ทำให้พนักงานรับรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ จัดทำแผนงานให้กับผู้บริหาร กำหนดผลลัพธ์ในการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ประเมินผลและขยายความรู้สู่องค์กรอื่นๆ นำองค์ความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ผมยังได้มีโอกาสสนทนากับ อาจารย์ศิริวรรณ สอนคุณแก้ว จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี ซึ่งท่านกล่าวว่า “เนื่องจากเราเป็นสถานศึกษาและเน้นทางสายอาชีพ เค้าก็เรียนในวิชาธุรกิจและผู้ประกอบการ จึงคิดว่าความรู้นี้ดีมาก คิดว่ามาจัดให้ดี เพราะอุดรธานีเป็นเมืองธุรกิจ ถ้าให้ข้อมูลในเรื่องนี้จะเป็นการปลูกฝัง อยากให้นักธุรกิจเข้ามาร่วมมากกว่านี้ ในฐานะที่เราเป็นสถานศึกษาก็จะปลูกฝังเด็กได้และสร้างทัศนคติที่ดี นำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปประยุกต์ใช้ได้ เค้าจะได้รับข้อมูล ในอนาคตถ้าเค้าไปเป็นผู้ประกอบการก็จะนำไปใช้ได้และรู้จักรับผิดชอบ การทำธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”

สำหรับกิจกรรม Creative CSR เราได้ “โครงการนำมูลสัตว์มาทำปุ๋ย” รวบรวมเพื่อนๆที่มีใจรักสิ่งแวดล้อม ประสานงานกับวิทยาลัยเพื่อหาข้อมูลการทำมูลสัตว์มาหมักทำปุ๋ย นำมูลสัตว์จากฟาร์มมาหมักโดยราดด้วยน้ำ EM ประมาณ 1 เดือน นำมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ คือ EM น้ำปลาหมัก ไข่บด หอยบดและไคโตซาน เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของมูลสัตว์ นำเข้าเครื่องอัดเม็ด บรรจุกระสอบรอจำหน่าย นักศึกษาจะมีรายได้ เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพและรักษาสิ่งแวดล้อม”

โครงการต่อมา คือ “โครงการเปลี่ยนหลังคาเป็น Solar Cell เพื่อพลังงานทดแทน” แนะนำวิธีในการดำเนินการ อธิบายประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ จัดหาอุปกรณ์และทดลองในหมู่บ้าน จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม กระแสไฟเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ มีการเก็บแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานจากตอนเช้าเนื่องจากประเทศเรามีแดดทั้งปียิ่งเป็นผลดีอย่างมากในการลงทุน ทั้งยังเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้และสามารถนำมาใช้ในเวลากลางคืนอีกด้วย ลดการใช้พลังงานจากโรงงานผลิตไฟฟ้า ช่วยลดโลกร้อน

และ “โครงการประสานวัฒนธรรมอาสานำพาท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” จัดหาอาสาสมัครจากสถานศึกษาเยาวชนและชาวต่างชาติ ทดลองปฏิบัติงานจริง มีการของบประมาณจากภาครัฐ เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในแหล่งกำเนิดและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว ได้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆจากชาวต่างชาติที่มาเที่ยว แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน มีส่วนในการดึงเงินเข้าประเทศและเพิ่มรายได้ให้ชุมชน น้องๆนักศึกษาก็จะได้มีการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ก่อนจบกิจกรรมในวันนี้ อาจารย์วิมล ศิริพิริด์ จากวิทยาลัยเกษตรกุมภวาปี ได้กล่าวว่า “ถือว่าได้ความรู้ในหน้าที่ตนเอง นำความรู้ที่ได้ไปใช้และไปรับใช้สังคม คิดว่าดีที่มาที่นี่ เป็นการกระจายให้ทุกคนได้เข้าถึงและมีส่วนร่วม ถ้าในอนาคตลงลึกเข้าสถานศึกษาได้ก็ยิ่งดี เพราะการมาวันนี้อาจจะไปขยายได้ไม่ชัดเจน ในเรื่องหน้าที่พลเมืองต่างๆก็จะนำไปสอนให้กับนักศึกษาและปรับปรุงการปฏิบัติตัว มีการทำกิจกรรมต่างๆ ทางศาสนา สวดมนต์ ไหว้พระทุกวันศุกร์เพื่อเป็นการเพิ่มคุณธรรม จริยธรรมให้ดี”

การอบรมวันนี้ก็เสร็จสิ้นลงพร้อมกับเสียงปรบมือให้กับท่านวิทยากรอาจารย์วุฒิพงศ์ บัวบุตร์ ครับ หลายๆ คนก็อยากที่จะได้เสื้อกับทางเรามากครับ เราก็ได้เชิญหลายๆท่านให้ไปร่วมงาน CSR ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย ก็มีการขอดึงภาพที่เราได้ถ่ายไว้และสารคดีวีดีทัศน์ของเรา น้องๆ นักศึกษาก็ลากลับกันไปอย่างเรียบร้อย ไม่รอช้าหลังจากที่ทุกๆ คนได้แยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เราก็รีบเก็บของกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะว่าวันนี้เราจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ระยะเวลาในการเดินทางคงต้องใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมงเห็นจะได้

หลังจาก Check Out เรียบร้อยเราก็เคลื่อนทัพออกทันทีมุ่งหมายสู่กรุงเทพมหานครอย่างไม่รีรอต่อสิ่งใดทั้งนั้น พวกพี่ๆ ก็คงจะคิดถึงคนที่บ้านมากเลย เหอๆ ไม่มีการแวะซื้อลูกชิ้นรองท้องอย่างใดทั้งสิ้น ฮ่าๆ แต่แล้วก็ทนกันไม่ไหวจนได้ ต้องแวะทานแหนมเนืองปิดท้ายและก็ซื้อของฝากกลับบ้านกัน ดูจากการซื้อของฝากแล้วคิดว่าพี่แอนคงไม่เคยได้ออกไปไหนรึเปล่าเพราะว่าซื้อเยอะมาก สงสัยเอาไปฝากทั้งหมู่บ้าน การเดินทางของทีมเราในคราวนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การเดินทางของเราในคราวหน้าก็มีระยะห่างจากทริปนี้ไปประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ขอให้ทุกๆ ท่านติดตามการเคลื่อนไหวของเราชาว CSR Campus ด้วยนะครับ แล้วเจอกันครับ!

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มุกดาหาร

สวัสดีครับท่านผู้ชม Blog ตอนนี้ผมอยู่ที่จังหวัดมุกดาหารแล้วครับ วันนี้เป็นวันแรกที่กระผมตื่นได้ใกล้ชิดกับต่างประเทศมากที่สุดแล้วครับ (ยังไม่เลิกเห่อ) แล้วกิจกรรมก็เริ่มดำเนินตามระเบียบด้วยการที่ผมอาบน้ำก่อน แล้วพี่บอยก็ตามมาอาบทีหลัง (เกิดเป็นคนอาบน้ำเร็วนี่นา) วันนี้อาศัยการ Check ข่าวจาก Internet แทนดูโทรทัศน์ครับ เพราะโรงแรมมี Wi-Fi Internet ฟรีพร้อมกับความขี้เกียจเปิดทีวีของผมนะครับ (ความเป็นจริงทีวีน่าจะเปิดได้เร็วกว่า Computer นะเนี่ย) และวันนี้กระผมก็เปลี่ยนมาเสพข่าวกีฬาบ้าง หลังจากที่ทุกวันจะดูแต่ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ และข่าวอื่น ๆ เป็นต้น แล้วเมื่ออ่านข่าวดูผมก็ถึงกับอึ้งไปทันที เมื่อปีเตอร์ รีด ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาติไทยจะย้ายไปเป็นผู้ช่วยทีม Stoke City แล้วครับ ส่วนตัวกระผมก็รู้สึกเสียดายนะครับ ฟุตบอลทีมชาติไทยก็กำลังไปได้สวยทีเดียว (เมื่อเทียบกับแต่ก่อน) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ หากนักเตะฟุตบอลไทยตั้งใจฝึกซ้อมนะครับ ผมหวังว่าการที่ฟุตบอลไทยจะไปบอลโลก ก็คงไม่สายหรอกครับ (ถ้าวันนั้นมาถึงและผมยังมีชีวิตอยู่จะถือเป็นบุญมาก)

หลังจากจัดการภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวลงมาทานอาหารทันที วันนี้อาหารเป็นแบบ Buffet ครับแต่กระผมก็เริ่มเบื่ออาหารโรงแรมแล้ว จึงเริ่มทานน้อยกว่าปกติ (ถึงคราวได้ฤกษ์ผอมซะที) หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็เริ่มมุ่งหน้าไปจัดของเตรียมงานสัมมนา ณ ห้องประชุม เลยครับ ซึ่งวันนี้สภาพห้องประชุมถือว่า Amazing มากเพราะห้องประชุมของเราติดกับสระว่ายน้ำด้วยครับ แต่ก็ไม่ค่อยน่าเดินไปใกล้เพราะแดดร้อนมาก (คนผิวดีอย่างกระผมต้องระวังครับ) แต่ก็ได้แต่นึกนะครับว่าน่าจะมีการเดินแบบข้างสระว่ายน้ำด้วยนะเนี่ยจะได้ส่งทีมงานสาวสวยของเราไปประกวด (หรือประจาน) ด้วยพอเวลาผ่านไปสักพักตอนนี้เก้าอี้ทุกตัวก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้เข้าฟังแล้วครับ

วันนี้กิจกรรมเรื่องของหน้าที่พลเมืองที่น่าสนใจของชาวจังหวัดมุกดาหารมีดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความสัตย์ด้วยการรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ และ ด้านพลเมืองบรรษัทอยากเห็นการส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อให้พนักงานดำเนินงานด้วยความดี มั่นคง และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การทำงาน ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจถัดมาคือ การเป็นผู้มีความพากเพียรเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานด้วยความขยันเอาใจใส่ในงานที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงเรียนรู้ในสิ่งที่ทำด้วยซึ่งจะเกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถด้วย ส่วนของพลเมืองบรรษัทได้เลือกการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาลด้วยการกำหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับคุณภาพสินค้าและต้นทุนสินค้าด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ด้วย

ส่วนของ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจของชาวมุกดาหารมีดังนี้ เช่น การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรด้วยการจัดโครงการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง CSR ด้วยการประชุมตัวแทนต่าง ๆ เช่น อาจารย์ นักเรียน และนักการ เพื่อสร้างความเข้าใจ CSR แก่บุคลากรดังกล่าว และหัวข้อที่น่าสนใจต่อมาคือ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR เช่นกัน แต่จะต่างกันตรงที่จะเป็นสถานประกอบธุรกิจซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นทำให้องค์กรธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจ และสามาถไปสร้างนโยบายทาง CSR เพื่อขับเคลื่อนให้สังคมเกิดความสุข

และช่วงพักเที่ยงทานอาหารผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะกับผู้เข้าฟังท่านหนึ่ง ซึ่งท่านได้บอกว่าแม้ว่าจังหวัดมุกดาหารจะติดกับลาว แต่จะเป็นชาวลาวซะส่วนใหญ่มากกว่าที่เข้ามาเที่ยวฝั่งไทย (ความเชื่อของผมทลายล้มทั้งยืนเพราะเชื่อมาตลอดว่าชาวไทยน่าจะเข้าฝั่งลาวมากกว่า) แหม ตัวเราก็ดันเห่อประเทศลาวซะเยอะเลย กระผมจึงย้อนกลับมามองตัวเองว่าประเทศไทยก็มีที่เที่ยวเยอะเหมือนกัน เที่ยวเมืองไทยให้ทั่วก่อนไหมก่อนที่จะออกไปเที่ยวลาว ? และผมยังรู้มาอีกอย่างว่าวัฒนธรรมและต้นกำเนิดของชาวมุกดาหารยังมีที่มาจากชนเผ่า 8 เผ่าด้วยกันแบ่งเป็น ไทยอีสาน ภูไท ข่า ไทยกะโซ่ ไทยกะเลิง ไทยแสก ไทยย้อ และไทยกุลา (ท่านใดอยากทราบรายละเอียดสามารถเข้าไปที่ http://www.hellomukdahan.com/thailand-mukdahan-racegroup.php ได้นะครับ) ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีเทศกาลในการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชนเผ่าทั้ง 8 เผ่าอยู่ด้วยการแต่งกายตามประจำเผ่า รวมถึงการตั้งเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง หลังจากผมฟังแล้วผมคิดว่าน่าจะกระบวนการหรือวิธีในการสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งซึ่งสามารถรักษาวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้ดำรงคงอยู่ได้บ้างมาปรับใช้แก่ท้องถิ่นอื่น ๆ ด้วย

ต่อมาก็มาถึงกิจกรรม Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดมุกดาหารมีดังนี้เช่น “โครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นมุกดาหารให้ยั่งยืน” โดยเริ่มจากการศึกษาความเป็นอยู่และวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเสนอแนวทางความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ดีเช่น การแต่งกาย วัฒนธรรมการใช้ภาษา สู่เยาวชนให้เกิดการสร้างเอกลักษณ์ประจำจังหวัดมุกดาหารโดยผ่านการประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุชุมชนท้องถิ่นด้วย กิจกรรมดังกล่าวจะทำให้วัฒนธรรมของชาวมุกดาหารไม่สูญหายไป

กิจกรรมต่อมาคือ “โครงการธรรมชาติน่าอยู่ คืนสู่ประตูอินโดจีน” มีการจัดกิจกรรมร่วมรณรงค์รักษาธรรมชาติ เนื่องจากมุกดาหารมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น แก่งกะเบา ภูผาเทิบ ตลาดอินโดจีน น้ำตกตาดโตน ภูผาซาน ฯลฯ โดยรูปแบบกิจกรรมจะเน้นการปลูกจิตสำนึกให้กับผู้คนในจังหวัดรวมทั้งต่างจังหวัดให้มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย

กิจกรรมสุดท้ายก็คือ “โครงการชุมชน 5ส” โดยเริ่มจากการรณรงค์ให้ชุมชนมีความรู้เรื่อง 5ส เช่น การแยกขยะและทิ้งขยะให้ถูกประเภท เป็นต้น โดยประชาสัมพันธ์ผ่านป้ายผ้าหรือสื่อวิทยุชุมชนและยังมีการจัดประกวดหมู่บ้านดีเด่นในการทำ 5 ส ด้วยโดยจะมีการแจกรางวัลให้หมู่บ้านตัวอย่างในการทำ 5 ส ยอดเยี่ยมด้วย

และวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ 2 ท่านด้วยกัน ท่านแรกคือ อาจารย์ศศิธร สุวรรณกุล จากโรงเรียนเทคโนโลยีมุกดาหารได้กล่าวว่า “ก่อนจะมาฟังบรรยายวันนี้ก็มีความรู้พื้นฐานว่า CSR คือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร แต่หลังจากฟังการบรรยายวันนี้ทำให้รู้ CSR ลึกขึ้นในเรื่อง CSR เชิงระบบ และเรื่อง Creative CSR อีกด้วย ในส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการย้ำและพูดบ่อย ๆ แก่นักศึกษาเพื่อที่จะให้นักศึกษาเกิดจิตสำนึกแล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง”

ท่านต่อมา คือ อาจารย์ศิริวรรณ รุ่งรักทิพย์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนเทคโนบริหารธุรกิจรักไทย ท่านได้กล่าวว่า “วันนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเรื่องการระดมสมอง Creative CSR เนื่องจากได้เห็นความคิดของแต่ละคนในกลุ่มในการสร้างสรรค์กิจกรรม CSR และทำให้รู้ว่ากิจกรรม Creative CSR เป็นการตอบโจทย์ปัญหาสังคมด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทคิดว่าสำคัญมาก หากทุกคนภายในองค์กรตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมก็จะทำให้สังคมเกิดความน่าอยู่มากขึ้น”

หลังจากเราจบงานสัมมนา CSR Campus ในจังหวัดมุกดาหารแล้ว เราก็เริ่มเก็บของต่าง ๆ แล้วเตรียมตัวมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดยโสธรต่อเนื่องเลยครับ ในช่วงเวลาที่กระผมอยู่บนรถตู้ก็รู้สึกถึงความเหนื่อยเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้วสักพักก็หมดสติคารถตู้เลยครับ (แถมฝันอีกต่างหาก) รู้สึกจะงีบไปประมาณ 30 นาทีแล้วผมก็ตื่นขึ้นมาเห็นควายตามทุ่งหญ้าเลยครับ ซึ่งปกติจะไม่เคยใกล้ควายขนาดนี้เลยครับ (ลักษณะรูปพรรณควายลำตัวจะใหญ่มากแล้วก็มีขาที่เล็ก ซึ่งกระผมลำตัวใหญ่และขาก็ใหญ่ด้วยหากจะมีใครมาว่าผมว่าควายผมก็จะไม่ยอมรับนะครับ) หลังจากเห็นควายอย่างละลานตาแล้ว ผมจึงเริ่มเปิดซีดีแก๊งค์ 3 ช่า ซึ่งทำให้ผมคิดถึงบุคคลผู้เป็นไอดอลของชาวยโสธรเลยครับ นั่นคือ คุณหม่ำ จ๊กม๊ก นั่นเอง จากที่ผมเคยอ่านประวัติของตลกผู้นี้ต้องยอมรับครับว่าจะมาวันนี้ได้ลำบากอย่างแรง เพราะฉะนั้นการที่เราจะประสบความสำเร็จได้เราต้องลำบากมาก่อนครับ (จำเป็น Concept ชีวิตเลยครับ)

แล้วตอนนี้กระผมก็มาถึงหน้าโรงแรมแล้วครับ แล้วเราก็ได้รับคำแนะนำจากทีมงานสาว ๆ ถึงร้านอาหารที่เราจะไปวันนี้ก็คือ ร้านหม่องแซ่บนั่นเอง โดยมื้อเย็นครั้งนี้เราทานปลากันเยอะมากครับ อาจพูดได้ว่าหลังจากทานเสร็จ เรียกได้ว่าแต่ละคนเป็นมนุษย์มัจฉาได้เลยครับ (บางคนอาจเรียกว่าเป็นมัจฉาเกยตื้นเลยก็ได้นะครับ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ตลาดนัด โดยเราก็จะไปเจอร้านผลไม้ซึ่งตอนนี้ทีมงานสาวร้อนรนอยากได้มากครับ เพราะมีทุเรียนขายอยู่ด้วยหลังจากสอบถามพ่อค้า ทำให้ความตั้งใจของทีมงานสาวเราล้มครืนไปต่อหน้าต่อตาเพราะทุเรียนดังกล่าวยังไม่สุกครับ (คิดในใจถ้าทานทุเรียนแล้วรอให้ไปสุกในท้องได้ทีมงานสาวเราคงกว้านซื้อไปแล้ว) หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าโรงแรมเพื่อเตรียมงานในวันพรุ่งนี้ต่อไป ท่านผู้อ่าน Blog อย่าลืมมา Comment ให้ด้วยนะครับ

ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อำนาจเจริญ



สวัสดีตอนเช้าครับท่านผู้ชมวันนี้ก็เป็นอีกวันแห่งชัยชนะของผมนะครับ (ตื่นชนะนาฬิกาปลุกช่างภูมิใจหนักหนา) ช่วงนี้ต้องบอกก่อนว่าที่ Blog ค่อนข้าง Update ช้ากว่าปกติเป็นเพราะว่าตอนนี้ทั้ง Notebook และ Aircard กำลังก่อกบฎผมครับเหมือน Notebook ไม่ยอมรับนายของมันเหมือนแต่ก่อนด้วยการให้ Boot เข้าทั้ง Window หรือเข้า Safe Mode ก็ไม่ได้ และ Air Card ที่ผมภาคภูมิใจ ณ จังหวัดนครนายก (สามารถย้อนกลับไปอ่าน Blog จังหวัดนครนายกได้นะครับ) ก็เป็นอะไรไม่รู้ Connect Internet ทีไรหลุดทุกที (เฮ้อ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ) แต่ถึงแม้จะมีปัญหาอย่างไรก็ตามผมก็ยังจะตั้งใจเขียน Blog มาให้เร็วที่สุดนะครับ (แอบมี CSR ด้วยนะเรา)

หลังจากพล่ามเสร็จผมก็ขอตัวไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวแล้วมานั่งดูข่าวเช่นเดิม วันนี้เนื้อหาข่าวค่อนข้างตรงกับเรื่อง CSR มาก ทำให้สะท้อนภาพความสำคัญของการไม่มี CSR ได้อย่างดีโดยผลดังกล่าวส่งผลต่อลูกค้าจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว (แค่ลูกค้าไม่พอใจก็ใช้ไม่ได้แล้ว นี่ถึงกับเอาชีวิตลูกค้าเลย) นั่นคือข่าวเรื่องน้องผู้หญิงมัธยมปลายคนหนึ่งที่ไปรับบริการจัดฟันจากร้านจัดฟันเถื่อน หลังจากนั้นไม่กี่วันน้องคนนี้ก็ได้ลาโลกนี้ไปเลยครับ (Rest In Peace นะน้องนะ)

หลังจากชันสูตรก็พบว่าวัสดุที่ร้านเถื่อนนำมาใช้จัดฟันคือ ขดลวดธรรมดา ซึ่งเส้นหนึ่งราคาไม่ถึง 5 บาทและใช้กาวตราช้างในการยึดลวดกับฟัน ทุกท่านลองคิดดูนะครับลวดกับกาวตราช้างเวลาอยู่ในช่องปากจะเป็นอย่างไร ซึ่งจุดนี้เองที่ทางร้านที่เค้าไม่มี CSR ซะเลย เพราะสิทธิ์ในการจัดฟันต้องเป็นของทันตแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการจัดฟันด้วย แต่ร้านเถื่อนดังกล่าวที่ตำรวจบุกเข้าจับได้ ไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะมาจัดฟันได้เลย เพราะฉะนั้นการที่ท่านไม่มีสิทธิ์นี้แต่ร้านดังกล่าวก็ยังทะลึ่งใช้สิทธิ์และหน้าที่เกินตัวส่งผลให้ผู้บริโภคถึงกับเสียชีวิตถือว่าขาด CSR อย่างชัดเจนเลยครับ (อยากเอาผู้ต้องหามาจับหยอดกาวใส่ปากจริง ๆ) อย่างน้อยกระผมก็ขอร้องให้ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทนี้หยุดเถอะครับ การได้รับเงินทองมาบนฐานความเสียหายของผู้บริโภคไม่เจริญหรอกครับรับรองได้

ตอนนี้กระผมกับทีมงานก็จัดการอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วก็เตรียมมุ่งหน้าสู่ห้องประชุมทันที บรรยากาศวันนี้มีนักศึกษาเกือบทั้งนั้นเลยครับทั้งสาขาไฟฟ้า บัญชี และคอมพิวเตอร์ ส่วนภาคธุรกิจก็มาด้วยส่วนหนึ่ง โดยหัวข้อหน้าที่พลเมืองที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีดังนี้ เช่น การเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม 5 ข้อ นอกจากนั้นยังเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญและทำทานอีกด้วยและในเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนต่อส่วนรวม เพราะการที่ธุรกิจยังดำเนินการทำร้ายสังคมต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้ทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อมเดือดร้อน และนำไปสู่ความขัดแย้งเกิดขึ้น หัวข้อที่น่าสนใจต่อมาคือ การเป็นผู้มีความสัตย์ เพราะปกติจะเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์อยู่แล้วส่งผลให้เกิดความภาคภูมิใจและส่งผลดีต่อคนส่วนรวมด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจมีการเปิดเผยข้อมูลอย่งชัดเจน โดยการเปิดเผยกระบวนการปฏิบัติธุรกิจทุกกระบวนการ และเมื่อเกิดความโปร่งใสก็จะนำมาซึ่งการกระทำดี ๆ อย่างอื่นตามมา

และส่วนของหัวข้อ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีดังนี้ เช่น การบูรณาการเรื่อง CSR ด้วยการนำความรู้ CSR ที่ได้รับในวันนี้ไปบูรณาการให้ทั่วถึงทั้งวิทยาลัย เช่น การแต่งกายตามฟอร์มนักศึกษาอย่างถูกต้องและถูกระเบียบ หรือ ดำเนินกิจกรรมทาง CSR ให้มากยิ่งขึ้น หัวข้อต่อมาที่น่าสนใจ คือ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรด้วยการเสนอให้มีการจัดการอบรมกิจกรรม CSR ภายในองค์กรเพื่อให้พนักงานทุกคนมีความรู้และสามารถนำมาปฏิบัติเองได้ โดยผู้ที่จะมาผลักดันกิจกรรมดังกล่าวคือ องค์กรและพนักงาน ซึ่งหากสำเร็จก็จะเป็นฐานนำไปสู่การทำ CSR อย่างถูกต้อง

และช่วงพักเที่ยงผมมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะอาหารกับท่านรองผู้อำนวยการเทคนิคอำนาจเจริญ ท่านได้บอกว่าช่วงที่จังหวัดอำนาจเจริญยังเป็นจังหวัดอุบลราชธานีก็ยังเงียบอยู่ แต่พอแยกออกมาเป็นจังหวัดอำนาจเจริญแล้วความเจริญก็เริ่มเข้ามาด้วย ซึ่งทีแรกผมคิดว่าจังหวัดที่แยกตัวออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานีมีจังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดหนองบัวลำภู แต่กระผมกลับจำผิดครับ (จำผิดมาประมาณ 10 กว่าปีแล้ว) พึ่งมาเข้าใจหลังจากรองผู้อำนวยการอธิบายว่ามีเพียงจังหวัดอำนาจเจริญกับจังหวัดยโสธรเท่านั้นแยกตัวออกมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู แยกตัวออกมาจากจังหวัดอุดรธานีต่างหาก ส่วนของดีจังหวัดอำนาจเจริญที่ผมรับทราบมาคือ แหนมใบมะยม ครับ (พูดแล้วน้ำลายจะไหล)

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เริ่มกิจกรรม Creative CSR เลยครับ โดยกิจกรรม Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอำนาจเจริญมีดังนี้ เช่น “โครงการพลังงานทางเลือกใหม่ ใส่ใจคุณภาพชีวิต” ด้วยการนำพลังงานไฮโดรเจนมาใช้ทดแทนพลังงานหลัก เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน NGV และLPG เป็นต้น ซึ่งก่อนจะนำไปใช้ทดแทนจะมีการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นถ้าพลังงานดังกล่าวสามารถประหยัดมากกว่าพลังงานหลักก็จะมีการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนและรักษาสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมต่อมาคือ “โครงการเพิ่มผลิตภาพการผลิตโดยใช้น้ำหมักมูลสุกร” โดยการตั้งเป้าผลิตสินค้าเกษตรด้วยการใช้น้ำหมักมูลสุกรซึ่งใช้อัตรามูลสุกร 1 ส่วนต่อน้ำ 100 ส่วน และนำน้ำหมักมูลสุกรไปฉีดพืชผลการเกษตรเช่น ข้าว มันสำปะหลัง เป็นต้น เพื่อการกำจัดวัชพืชต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพสินค้าการเกษตรดังกล่าวเพิ่มขึ้น แล้วนำวิธีการดังกล่าวมาประชาสัมพันธ์ต่อเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถนำเอาความรู้ส่วนนี้ไปใช้เพิ่มผลิตผลแก่สินค้าเกษตรได้

และกิจกรรมสุดท้ายที่น่าสนใจคือ “โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอำนาจเจริญ” โดยเริ่มจากการสำรวจแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในจังหวัดอำนาจเจริญ และร่วมกับชาวบ้านท้องถิ่นฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวให้สะอาดและสวยงามมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมต่อการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่จังหวัดอำนาจเจริญอีกด้วย

วันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์เพ็ญนภา วรรณแก้ว จากเทคนิคอำนาจเจริญซึ่งอาจารย์กล่าวว่า “วันนี้ได้รู้ประโยชน์เพิ่มขึ้นเยอะเกี่ยวกับเรื่อง CSR ซึ่งในสมัยที่เรียนอยู่จะเข้าใจ CSR ในแง่ของบัญชีนั่นก็คือเรื่องมาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับการไม่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งวันนี้ได้รู้แล้วว่า CSR วันนี้องค์กรนำไปใช้เพื่อตอบแทนชุมชนอีกด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่ได้อย่างแน่นอน โดยอยากเน้นด้านความซื่อสัตย์ เพราะหากมีความซื่อสัตย์ก็จะไม่เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน และประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง”

หลังจากการจบสัมมนาวันนี้เราก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดมุกดาหารทันทีครับ ซึ่งมีการกล่าวแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าสถานที่เราจะไปทานอาหารเย็นติดแม่น้ำโขง และหากมองไปอีกฟากหนึ่งก็จะเป็นเขตประเทศลาว (ชาตินี้ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยครับ แค่เห็นต่างประเทศจากสายตาก็เป็นบุญแล้วครับ) วันนี้อาหารเย็นเมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้วถือว่าเป็นนรกกับสวรรค์เลยทีเดียวครับ หลังทานข้าวเสร็จก็มา Check In เข้าโรงแรมเพื่อเตรียมงาน CSR Campus ในวันพรุ่งนี้ต่อ จะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างในวันพรุ่งนี้ก็โปรดติดตามได้นะครับ สุดท้ายผมมีน้องคนหนึ่งอยากจะมานำเสนอท่าเต้น B-boy ให้ได้ชมกัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดตอนช่วงบ่ายหลังจากออกกำลังกายเสร็จครับ







ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย

หนองบัวลำภู

การประชุมที่จบลงจากจังหวัดเลยและเราได้เดินทางกันต่อนั้น ในวันนี้เราไม่ได้ซื้อลูกชิ้นทานรองท้องกันครับ เพราะคิดว่าน่าจะเปลี่ยนรสชาติไปหาอะไรทานที่จังหวัดข้างหน้าดีกว่า พี่ผึ้งก็ดูเหมือนจะงอนๆครับเพราะผมไม่อยากแวะที่เดิมเนื่องจากยังค่อนข้างที่จะอิ่มอยู่ เหอๆๆ (จงใจแกล้งพี่เค้า) แต่ไม่ทันไรเราก็ต้องแวะ SEVEN ELEVEN จนได้ เพราะไอ้ผมก็ทนไม่ไหวแล้ว ก๊ากกก!! ลงไปแวะ SEVEN คราวนี้ดูเหมือนทุกคนจะหิวมากครับซื้อของในนั้นหมดไป 400 เห็นจะได้ถ้าผมจำไม่ผิด ตัวผมเองได้ซื้อขนมปัง Farmhouse หนึ่งแถวพร้อมกับแฮมพริกหมูหนึ่งห่อ น้ำชามะนาวหนึ่งขวด ขึ้นมาซัดบนรถ เลยโดนแซวเลย ไปๆมาๆผมชักคิดว่าแขนผมเริ่มเหมือนกุนเชียงเข้าไปทุกทีแล้ว เพราะเวลาถ่ายรูปออกมามันเป็นบ้องๆเลย ชักไม่ดีละควรจะลดได้แล้วมั้ง

ในระหว่างเดินทางพี่ๆก็นั่งดูหนังกันไปครับ ส่วนผมก็หลับตามเดิมแต่ไม่ถึงกับหลับสนิท เพราะได้ยินเสียงบ่นว่าหนังอะไรเนี่ยะ โคตะระมันเลย ถ้าจบกลางเรื่องแล้วไม่ได้ดูก็ไม่เสียดายเงินเลย ไม่ได้ดูต่อยังสบายใจกว่า ฮ่าๆ (มันหมายความว่าไงเนี่ยะ) อืม...ผมคงเอ่ยชื่อหนังไม่ได้นะครับ เราได้เดินทางมาถึง “โรงแรมณัฐพงศ์แกรนด์” จังหวัดหนองบัวลำภูจนได้ สรุปวันนี้ทีมเราก็ไม่ได้ทานข้าวเย็น เพราะผมก็ยังอิ่มจากแฮมกับขนมปังทั้งแถวที่อัดกันอยู่ในท้องครับ เราได้แยกย้ายกันเข้าห้องและผมก็ได้สรุปของจังหวัดที่ผ่านมาลงให้ทุกท่านได้ติดตามกัน คิดเห็นยังไงโปรดติชมด้วยครับ

ไม่นานนักครับอาจารย์วุฒิพงศ์ก็นึกอยากจะว่ายน้ำขึ้นมา จึงควักกางเกงว่ายน้ำพร้อมถามผมกับพี่คนขับรถว่าจะไปว่ายด้วยกันไหม ไอ้ผมก็เลือดนักกีฬาอยู่แล้วแต่ดันไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมา ก็ถามไปว่าแล้วผมจะลงไปยังไงละอาจารย์ “กางเกงในเนี่ยะละไม่มีใครเห็นหรอกดึกแล้ว” อาจารย์ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ เอาวะไหนๆอาจารย์ก็มั่นใจเราจะให้ท่านผิดหวังไม่ได้ เหอๆๆ ลุยครับ แต่พี่คนขับรถไม่ไปเพราะอาบน้ำแล้ว ตูม....กระโดดลงเล่นอย่างสะใจ สบายอารมณ์ ผมก็สังเกตว่าทำไมมันขุ่นจังแต่ก็ไม่ได้สนใจมาก อาจารย์ก็บอกเพราะฝนตก ว่ายกันไปได้ซัก 10 นาทีครับ พี่พนักงานก็ตะโกนมาบอกว่า “ยังว่ายไม่ได้นะค่ะ สระปิดปรับปรุงค่ะ เพิ่งจะใส่สารเคมีลงไป” (-_-‘) เจี๊ยกกก~~!! ไม่รอช้าอาจารย์ขึ้นจากสระอย่างเร็วทิ้งผมเลย ผมจะขึ้นต่อหน้าพนักงานก็กลัวจะโดนว่าเพราะใส่กางเกงในธรรมดา ฮ่าๆๆ จึงว่ายกลับไปอีกฝั่งแล้วจึงขึ้นอย่างไวเช่นกัน ขึ้นมาก็ทำการชำระร่างกายในทันที พี่คนขับรถก็ขำใหญ่ครับ เจ็บใจจริง..ไม่น่าทะลึ่งเลย ไม่มีกางเกงว่ายน้ำก็ดี
อยู่แล้ว

จ๊าก...ตื่นมาเกือบ 7.30 น. เมื่อคืนดูชิงร้อยชิงล้านหนักไปหน่อย เลยไปฝันว่าตัวเองเป็นไกรทองซะงั้น แต่เราก็ยังรักษาเวลาได้ดี อาบน้ำแต่งตัวอย่างเร็วครับ ไม่สกปรกนะแค่ไม่แปลงฟัน (ล้อเล่นๆครับ) ผู้มาอบรมก็ทยอยกันมาเรื่อยๆครับ แต่ท่านแรกที่มา มาตั้งแต่ 8.00น.เห็นจะได้ แต่ไม่ขึ้นมาลงทะเบียนจึงอดได้รางวัลสำหรับผู้ที่มาเป็นท่านแรกไป น่าเสียดายแทนครับ

เรื่องหน้าที่พลเมืองเราได้ตัวแทนเลือกในข้อที่จะไม่เบียดเบียนและมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องไม่พูดจาว่าร้ายผู้อื่นหรือแม้คิดด้วยใจ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือแม้ทุกๆคนที่อยู่ร่วมโลกกับเรา ที่สำคัญต้องไม่ทำเรื่องเดือดร้อนต่อสังคม ต้องการให้องค์กรไม่สร้างความเดือดร้อนต่อส่วนรวม ถึงองค์กรจะไม่มีผลกำไรมหาศาล แต่ก็ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม ท่านต่อมาก็ไม่คิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ควรพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่และก็จะเกิดความสงบสุข อยากเห็นพลเมืองบรรษัทส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อีกท่านนั้นเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ต้องทำหน้าที่อย่างสุจริตและต้องเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ในส่วนขององค์กรนั้นก็อยากให้มีความรับผิดชอบ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนที่ตั้งอยู่

กิจกรรรม CSR เชิงระบบ ผู้นำเสนออยากให้องค์กรเพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร อยากให้ประชาชนได้มีความรู้เรื่องความรับผิดชอบให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง การที่เข้าใจแล้วประโยชน์ก็จะตามมา ทุกส่วนในองค์กรก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน อีกท่านอยากให้เน้นด้านการสื่อสารเรื่อง CSR คืออยากให้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ CSR เน้นในแนวทางคุณธรรม จริยธรรมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการขยายแนวทางการปฏิบัติและนำเรื่อง CSR ไปใช้ในชีวิตหรือองค์กรต่อไป ท่านที่สามอยากให้มีการบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กร เสนอให้ผู้บัญชาให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดทำ CSR ขออนุมัติขยายผลไปสู่สถานศึกษาในสังกัดและทุกกลุ่มงานในสำนักงาน สอดแทรกเรื่อง CSR เข้าในที่ประชุมประจำเดือน และสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็กๆ รวมทั้งทำป้ายประชาสัมพันธ์เชิญชวน

ในวันนี้อาจารย์ชนากานต์ วงษ์นอก จากวิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง ได้พูดคุยกับทางเราที่มาในวันนี้ไว้ว่า “ได้ข้อมูลใหม่ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องใกล้ตัวสามารถนำมาใช้ได้ ไม่ต้องมองกว้างมากมองแค่ระดับตัวเราก็เป็น CSR ได้แล้ว คิดว่าดีที่มาจัดที่นี่ ก็เป็นการเปิดโลกทัศน์ และก็ได้องค์ความรู้ใหม่ๆซึ่งอาจมองข้ามไป สามารถนำความรู้ไปใช้กับเยาวชนได้ จริงๆหน้าที่พลเมืองสามารถนำมาเกี่ยวโยงกับการศึกษาได้ เป็นประโยชน์หลายด้านทั้งตัวเด็กเอง หน่วยงานและสังคม ทั้งยังสามารถขยายผลไปถึงระดับประเทศได้”

สำหรับกิจกรรม Creative CSR ในวันนี้ อาทิ “โครงการเครื่องตัดหญ้าพลังงานแสงอาทิตย์” ในปัจจุบันมีเครื่องตัดหญ้ามากมายล้วนแต่เป็นเครื่องตัดหญ้าที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและยังปล่อยสารคาร์บอน ออกสู่อากาศทำให้เกิดภาวะโลกร้อนซ้ำยังทำให้อากาศเป็นพิษ เราจึงคิดหาพลังงานทดแทนที่ได้จากธรรมชาติและมีอยู่ไม่มีวันหมด จึงคิดสิ่งประดิษฐ์โดยใช้แผง Solar Cell เป็นตัวแปลงแสงอาทิตย์แล้วเก็บไว้ในแบตเตอรี่ สามารถนำไปใช้ได้ทุกๆวันไม่ส่งเสียงดัง ไม่รบกวนสิ่งแวดล้อมและยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการจะไปซื้อน้ำมันด้วย

โครงการผ้าไหมไฮโซ” ซึ่งเป็นแนวโครงการที่สืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยโดยการแต่งกายด้วยผ้าไหมไทย ปัจจุบันนี้เด็กรุ่นใหม่จะรับความนิยมแฟชั่นจากต่างประเทศทำให้คนไทยสมัยนี้ลืมการอนุรักษ์วัฒนธรรม จะปลูกฝังให้เกิดความรักและความผูกพัน ให้ใส่ผ้าไทยในสถานศึกษาและถิ่นกำเนิด โครงการนี้ยังช่วยประชาชนชาวไทยที่มีฝีมือในการเย็บและได้มีอาชีพเสริม เพื่อประกอบกิจการเวลาว่าง ในการหารายได้เข้าเลี้ยงครอบครัว ใครๆที่ได้ใส่ผ้าไหมไทยก็จะดูดี มีสง่าราศรี ต่างชาติจะได้รับรู้ว่าประเทศเรารักกันขนาดไหน และเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย

โครงการ ก.กก ลดโลกร้อน” ต้นกก เป็นพืชที่มีอยู่มากในท้องถิ่นและหาได้ง่ายเพราะปลูกกันอยู่ทุกบ้าน แต่ประชาชนในท้องถิ่นจะนำมาใช้ประโยชน์ค่อนข้างน้อยมาก กกมีประโยชน์มากในการนำมาทำสิ่งประดิษฐ์เช่นกล่องกระดาษทิชชู เพราะปัจจุบันกล่องทิชชูมักจะทำมาจากพลาสติกและก็จะย่อยสลายยากมากๆ ทำให้เกิดขยะที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ถ้านำกกมาทำก็จะย่อยสลายง่ายและยังเสริมรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นแถมยังสอดคล้องตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

การบรรยายวันนี้ก็เสร็จสิ้นลงครับ พร้อมกันกับเสียงหัวเราะ น้องๆที่นี่ก็เป็นเด็กที่ดีมากเลย ขอชมจากใจครับ ตลอดการอบรมก็ดูยิ้มแย้ม หัวเราะ และยกมือตอบกันดี หรือเพราะอยากได้เสื้อก็ไม่รู้ ขณะที่เดินออกจากห้องน้องๆทุกคน (ขอเน้นว่าทุกคน) ยกมือไหว้ทีมงานเราทุกคนเลยครับพร้อมบอกว่าเดินทางโดยสวัสดิภาพนะค่ะ/ครับอาจารย์ โห...มารยาทดีจริงๆ ก็ทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเยอะเลย

ไม่รอช้าครับทีมงานเราทำอะไรกันอย่างรวดเร็ว เสร็จที่นี่ปุ๊บก็มุงหน้าสู้จังหวัดต่อไปปั๊บ ขึ้นรถปิดประตูออกรถทันที วันนี้สภาพอากาศดีครับ แต่รู้สึกจะอบอ้าวไปหน่อย เพราะขณะที่เราแวะซื้อน้ำกันนั้น ผมลงไปครู่เดียวเหงื่อยังแตกเยอะเลย โลกมันร้อนขึ้นเยอะจริงๆ เหมือนอย่างที่ในวีดีทัศน์สารคดี Home ว่านะครับ เพราะช่วง 15 ปีหลังนี้เป็นอุณหภูมิที่สูงที่สุดเลยนะครับ ผมว่า“มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะเขียนอนาคตของโลกร่วมกันอย่างไร” แล้วเจอกันในจังหวัดต่อไปครับ

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เลย

เราได้มุ่งสู่จุดหมายข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นครับ เหมือนกับว่าผ่านวันแรกไปแล้วเริ่มจะเข้าที่ ประมาณว่ายังอารมณ์ค้างกับการอบรมอยู่ ระหว่างทางนั้นสองข้างทางสวยมากครับ เพราะแสงยามเย็นที่ส่องไปยังทุ่งนาทำให้สีเขียวของต้นข้าว ใบหญ้า ใบไม้ ต้นไม้ ช่างเกินคำบรรยายครับ ผมก็กะว่าจะลงไปเก็บภาพซักหน่อยแต่ก็กลัวว่ารถที่ตามมาจะซัดตูดกองทัพเราเข้า จึงพลาดไปครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะเก็บภาพมาให้ทุกๆท่านได้ชมอย่างแน่นอน แต่การดูจากภาพก็อาจจะไม่สวยเท่าการที่ได้มาสัมผัสเองครับ ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่าการที่ใครๆก็อยากจะไปต่างประเทศท่องเที่ยว ผมว่าบ้านเรายังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่อีกเยอะมากๆ ยังไงก็ไปกันไม่หมด ถ้าพูดถึงจะไปเมืองนอก Shopping มันก็อีกเรื่องครับ แต่จะเอาบรรยากาศ ธรรมชาติต้องเมืองไทยอย่างไม่ต้องลังเลเลย

บังเอิญว่าการเดินทางในครั้งนี้ต้องผ่านอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่คุณยายและญาติๆอีกหลายคนของผมทำมาหากินกันอยู่ ผมจึงขออนุญาตทีมงานแวะไปหาท่านซักหน่อย เนื่องจากคุณยายก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก ใครๆเห็นผมก็ถามว่าไปทำอะไรมา ทำไมตัวมันกลมแบบนี้... T_T ทักแบบนี้เศร้าเลย แถบจะกระโดดอัดน้าชายครับ บ้านผมค่อนข้างที่จะสนิทกันมากครับจึงเล่นหัวเล่นหางกันได้สบายไม่ถือไม่โกรธกันครับ แต่ก็แวะได้ไม่นานเพราะกลัวว่าจะถึงที่หมายดึกจึงขอตัวลาและเดินทางกันต่อ

ไม่นานนักพลังงานจากลูกชิ้นก็เริ่มหมดลง ผมชักจะหิวซะแล้วซิ แต่ก็มาถึงที่หมายก่อนครับที่จังหวัดเลย สภาพอากาศก็ดี ไม่ถึงกับร้อนมาก ประมาณเวลา 21.00น. เห็นจะได้เมื่อพี่ๆ Check in และเก็บของกันเรียบร้อย เราก็ออกไปหาอะไรลองท้องกันที่ร้าน “มุมอร่อย” จะว่าลองท้องก็ยังไงอยู่ เพราะสั่งกันมาแบบอืม...บ้าไปแล้ว แต่อย่างที่คาดครับไม่เหลือซาก เป็นร้านข้าวต้มริมทางครับ อร่อยอย่าบอกใครอาจเป็นเพราะว่าผมเบื่ออาหารโรงแรมซะเหลือเกินแล้ว ทานแล้วคิดถึงข้าวต้มหน้าบ้านเลย และก่อนที่เราจะกลับเข้าโรงแรมเราได้เห็นว่าคนที่นี่ก็มีความเป็น CSR อยู่ในตัวมากทีเดียวครับ เพราะอาจารย์วุฒิพงศ์เหลือบไปเห็นป้ายๆหนึ่งเป็นของร้านขนมหวานครับ ผมจึงได้เป็น Presenter อีกครั้งเอาภาพมาให้ชมกันครับ (พี่หนึ่งมีแบบผมไหม ดูๆ) เหอๆ

รุ่งขึ้นผู้มาร่วมอบรมก็ค่อนข้างเยอะใช้ได้เลยครับ มาลงทะเบียนกันเป็นแถวครับ โดยเฉพาะน้องๆจากสถาบันการศึกษาซะส่วนใหญ่ เนื่องจากวันนี้น้องๆมากันเยอะเหลือเกินเราจึงเปิด “สาระแนห้าวเป้ง” ให้ชมกันไปก่อนในขณะที่รอท่านอื่นๆ เพื่อให้รู้ว่าการมาอบรมกับทางเราเนี่ยะสนุกนะ ไม่ได้เครียดอย่างที่คิด น้องๆก็ตั้งใจดูกันใหญ่ครับ โดยผู้ใหญ่บางท่านก็นั่งขำไปด้วย มาถึงเวลาอันสมควรครับ กระผมก็เปิดงานอย่างเป็นทางการ ตามด้วยการบรรยายที่ดูคึกคักของอาจารย์วุฒิพงศ์ บัวบุตร์ วันนี้เรามากันในชุด Men in Black ครับ อาจเพราะว่าเมื่อคืนเราได้ทานอาหารกันดึกไปหน่อย พุงอาจจะยังไม่ยุบจึงต้องใส่สีเข้มๆสร้างภาพไว้ก่อน
ในกิจกรรมหน้าที่พลเมืองวันนี้เราได้ตัวแทนที่ได้เลือกในทุกหัวข้อเลย เป็นผู้มีความพากเพียร ขยัน ประหยัด อดออม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ทำตามกฏหมาย มีความซื่อสัตย์และมีความสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำสิ่งเหล่านี้ก็จะมีความภูมิใจในตนเองและให้คำแนะนำต่อศิษย์ต่อๆไป และอยากเห็นองค์กรในจังหวัดแสดงความเป็นพลเมืองบรรษัทในทุกหัวข้ออีกเช่นกัน ไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหาย รักษาศีล เคารพกฏหมาย เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ในจังหวัดก็มีกิจกรรมประเภทผับ บาร์ ทำให้เยาวชนหลงผิด ขาดความรับผิดชอบ มีการหลีกเลี่ยงเสียภาษีทำให้รัฐขาดรายได้และก็ควรช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ท่านต่อมาเน้นในเรื่องการเป็นผู้มีความสัตย์และมีความสวามิภักดิ์ต่อในหลวง โดยยึดหลักคำสอนของท่านมาใช้ในชีวิตประจำวัน มีความสัตย์ต่อคนรอบข้าง อยากให้องค์กรไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ส่วนรวมและส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรม ท่านสุดท้ายที่มานำเสนอในกิจกรรมนี้ก็เป็นผู้มีความสัตย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากการประกอบอาชีพแบบใดเราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น เหมือนคำกล่าวที่ว่ากินน้อยๆแต่นานๆ (พูดประโยคนี้เสร็จสาวๆกรี๊ด หล่อเลยครับ) ฮ่าๆๆ การนำเสนอก็ดีอย่างนี้แหละครับ แต่ก็ยังเน้นก่อนจบครับว่า การประกอบธุรกิจทุกอย่างย่อมแสวงหากำไร แต่ก็ต้องมีหลักธรรมาภิบาล เป็นการสร้างจิตสำนึกให้แก่บุคลากรในองค์กรนั้น

วันนี้ทั้งในช่วงพักเบรคและรับประทานอาหารกลางวันนั้นเราได้นั่งรับประทานอาหารร่วมกันบนดาดฟ้าของโรงแรมครับ แหม่..ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งครับ ไม่ร้อนมากครับลมพัดโชยเล็กน้อยกับการนั่งสนทนากันอย่างเป็นกันเอง ได้รับรู้ว่าจังหวัดเลยเนี่ยเป็นแหล่งที่ปลูกยางพารา เหมือนทางตอนใต้ของประเทศเรา ซึ่งเป็นอะไรที่เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนเป็นอย่างมากและระยะเวลาของต้นๆหนึ่งประมาณเกือบ 20ปี เท่านี้ก็อยู่ได้อย่างพอเพียงแล้วครับ คนจากภาคใต้ส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจเยอะและได้มีการขึ้นมาตรวจสอบดูงานด้วย ตอนนี้จังหวัดเลยก็สามารถปลูกต้นไม้ได้แทบจะทุกชนิดแล้วเพราะอากาศที่ค่อนข้างดี

กลับมารวมตัวในห้องประชุมกันอีกครั้งพร้อมการพูดคุยแนววัยรุ่น (แนววัยรุ่นนี่ไม่ใช่ทะลึ่งนะครับ) ของกระผมกับน้องๆ ทำให้ดึงความสนใจของน้องๆกลับมาที่หน้าเวทีได้ และวันนี้ผมก็ได้นำเต้นอย่างเคยน้องๆก็ไม่ค่อยจะยอมขยับนักจึงต้องแซวแนววัยรุ่นอีก จึงจะหัวเราะและยอมทำกัน มีน้องท่านหนึ่งอยากออกมานำเนื่องจากอยากได้เสื้อของทางเราพร้อมขอเพลง GEE ของวง Girls Generation ไอ้ผมก็ไม่คิดว่าน้องจะเต้นตามต้นแบบได้ แต่เธอทำได้ครับเต้นได้จริงๆ ไอ้ฮาตรงเต้นนะไม่เท่าไหร่หรอกครับแต่ตรงเพศ (ชาย) เนี่ยซิ ขนาดปิดเพลงยังไม่ยอมหยุดเต้น จนผมต้องออกไปห้ามครับ

ส่วนกิจกรรม CSR เชิงระบบนั้นท่านแรกต้องการให้องค์กรสื่อสารเรื่อง CSR เป็นการจัดอบรมเรื่อง CSR ให้กับองค์กรและสถานศึกษา เพื่อเพิ่มความรู้รอบๆให้เข้าใจถึง CSR มากขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข เมื่อเข้าใจแล้วสามารถนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลอื่นได้ ท่านที่สองต้องการเพิ่มความเชื่อถือได้ในการดำเนิน CSR ขององค์กร มีการบรรยาย CSR ให้แก่ประชาชน เพิ่มความเชื่อถือและแสดงให้คนเห็นทั้งยังนำไปปฏิบัติจริง จะทำให้เกิดความก้าวหน้าของทุกฝ่าย ท่านที่สามย้ำในเรื่องการสื่อสารเช่นกัน โดยจัดอบรมด้าน CSR ให้มากกว่านี้เพื่อให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง คนที่มาจะได้รับรู้ถึงความหมาย การนำไปใช้ประโยชน์และสามารถบอกต่อๆกันไปได้ และมีการให้ความรู้แก่นักโทษในเรือนจำด้วย เผื่อเวลาออกมาแล้วจะได้มีงานทำอย่างสุจริตต่อไป

สำหรับวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์เปรมวดี รำมะลัง จากวิทยาลัยการอาชีพวังสะพุง ซึ่งทานกล่าวว่า “ได้ความรู้เรื่อง CSR การที่ครูและนักเรียนที่มาอบรมในวันนี้สามารถที่จะนำความรู้ไปใช้กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะทำธุรกิจอยู่หรืออยู่ในองค์กรใดก็ตาม ไม่ใช่นึกถึงกำไรอย่างเดียว CSR ที่มาสู่ภูมิภาคทำให้ครู นักเรียนและคนในพื้นที่ได้ทราบประโยชน์ และประยุกต์ใช้ในการเรียนและกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเมื่อเรียนจบแล้วจะได้นำความรู้ไปสร้างสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นในส่วน ปวช ปวส ก็จะมีรายวิชาที่เป็นพื้นฐานเช่นวิชาสังคม หรือสอดแทรกในวิชาพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อที่เค้าจะได้มีส่วนรวมในการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่สวยงาม”
ในส่วนของกิจกรรม Creative CSR ของชาวจังหวัดเลยวันนี้ ได้แก่ “โครงการพิทักษ์และอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเพื่อรักษาชีวิต” โดยส่งเสริมให้ประชาชนสมัยใหม่ได้หันมาอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าทุกชนิดไว้ให้คงทนยาวนานและแพร่หลาย เนื่องจากบ้านเรานั้นได้ทำลายป่าไม้ที่เป็นที่อาศัยของสัตว์มามาก เราจึงจัดอบรมเพื่อให้รู้ถึงประโยชน์ของป่าไม้ ธรรมชาติจะได้กลับมาสมบูรณ์ ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอัตราของสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้น ที่สำคัญเพิ่มผลผลิตให้กับคืนสู่ชุมชน

กลุ่มน้องมืดได้ “โครงการปลูกป่าสู่ภูหลวงเพื่อลดภาวะโลกร้อน” มีการของบประมาณซื้อต้นกล้าที่จะนำมาปลูก รับอาสาสมัครที่จะไปปลูกป่า หาพื้นที่ที่จะไปปลูกหรือแหล่งที่ขาดแคลนทรัพยากรต้นไม้ ร่วมมือกับชุมชนและแนะนำให้ความรู้ ร่วมกันดำเนินงานจริงเพื่อภูหลวงจะได้มีป่าที่สมบูรณ์เหมือนเดิมเพื่อทดแทนทรัพยากรที่สูญเสียไปจากการทำแหล่งแร่ที่เปิดขึ้นใหม่ในภูหลวง ระบบนิเวศน์ก็จะดีกว่าเดิม ช่วยลดภาวะโลกร้อน มีแหล่งทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น ลดปัญหาน้ำท่วม ทำให้สัตว์ป่ามีที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์

โครงการกำจัดฟางข้าวอย่างเหมาะสม” ซึ่งมีการนำฟางข้าวที่ทิ้งหลังจากเก็บเกี่ยวนำมาประยุกต์เป็นสิ่งต่างๆ หลังจากที่นำฟางข้าวมาตากแห้งก็มาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กล่องทิชชู่ กล่องเก็บแฟ้มงาน หรือกล่องเอนกประสงค์ อาจจะทำไปถึงกระดาษจากฟางข้าวได้ เกษตรกรจะได้ไม่ต้องนำฟางข้าวไปเผาทิ้ง เป็นการลดภาวะโลกร้อนหรือลดมลภาวะทางอากาศ ลดการทำลายหน้าดินเนื่องจากการเผาฟางเป็นเวลานาน เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ที่สำคัญลดการใช้พลาสติกเนื่องจากนำถุงที่ทำจากฟางข้าวมาใส่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม

ก่อนปิดงานวันนี้ผมยังได้ความคิดเห็นจากอาจารย์แสงวัน ยศเรือน และอาจารย์อุบลรัตน์ จันทร์เมือง จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย อีกว่า “ได้รับความรู้หลายอย่าง หน้าที่พลเมืองว่าต้องทำยังไง พร้อมที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมในส่วนไหนบ้าง และการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทุกๆคนควรช่วยกันดูแล ดีมากที่มาจัดให้เป็นการเผยแพร่ความรู้ เพราะปัจจุบันมีหน่วยงานอย่างนี้น้อยมากที่เสียสละมา รู้สึกเป็นอะไรที่ปัจจุบันมากๆสำหรับตอนนี้ คิดว่านำสิ่งต่างๆในเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอนได้เพราะอย่างน้อยเด็กจะได้เข้าใจความรับผิดชอบที่พึงปฏิบัติ ปลูกฝังจิตสำนึกว่าควรทำตัวอย่างไร และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นำไปใช้ในการสอนเพราะมีวิชาที่สอดคล้องกันคือวิชาจัดการองค์กร ซึ่งเห็นความสำคัญมาตั้งแต่ต้นแล้วในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ด้วยที่เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสู่ความสำเร็จขององค์กรในอนาคต”

ผู้มาร่วมอบรมในวันนี้ช่างน่ารักจริงๆครับ เพราะหลังจากที่เรากล่าวปิดงานกันแล้ว ไม่มีท่านไหนอยากจะลุกกลับเลยครับ มีอาจารย์จากสถาบันหนึ่งบอกว่าชอบการจัดอบรมแบบนี้ มีอะไรให้ทำ สนุกสนานและไม่เครียด ยังไม่อยากกลับกัน แต่ก็จะ 5โมงแล้วไม่กลับก็คงไม่ได้ครับ ผมจึงแซวไปว่าจะไปต่อกันที่จังหวัดต่อไปก็ได้นะครับ ทุกคนจึงหัวเราะและเริ่มแยกย้ายกันกลับ หลังจากเก็บของกันเรียบร้อย พี่ๆทีมงานก็ไปเบิกเงินเพื่อมา Check Out ผมกับอาจารย์พงศ์ก็นั่งรอที่ม้านั่งกินลองกองอย่างสบายใจ ซักพักฝนก็ตกลงมาปอยๆครับ พี่ๆก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่เคืองเล็กน้อย ฮ่าๆ (สุภาพบุรุษจริงๆ)แต่ก็ปลอบใจโดยการให้เป็น Presenter ถ่ายรูปกับผีตาโขนที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดเลย (ไม่รู้จะดีใจป่าว)

วันนี้คุณป้าเจ้าของโรงแรมก็ลงมาบริการเต็มที่และก็ให้ของที่ระลึกติดกลับมาหนึ่งอย่างด้วย เป็นคนที่หน้าตายิ้มแย้มดีจริงๆ และบอกว่าเจอกันใหม่ปีหน้า อืม..จะว่าไปแล้วพวกพี่ๆได้เคยมากันในปีก่อนแล้วแต่ตัวผมเองเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกก็อาจจะงงๆเล็กน้อยครับ เอาละครับถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางไปต่อจนได้ การเคลื่อนตัวของรถพร้อมกับฝนที่โปรยปรายลงมาเรื่อยๆไม่ยอมหยุด กับอากาศที่ค่อนข้างจะเย็นซักนิด พี่ๆทีมงานทุกท่านก็ดูหนังกันไปครับ ส่วนตัวผมหลับไม่รู้เรื่องเลยครับ ฮ่าๆ การเดินทางในทริปนี้ของเรายังไม่จบนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ

อุบลราชธานี

วันนี้กระผมเริ่มชินจากการตื่นชนะนาฬิกาปลุก digital แล้วครับจากเมื่อก่อนยังต้องพึ่งพาการปลุกของนาฬิกา digital อยู่ (เริ่มภูมิใจตัวเองอาจจะเป็นเพราะการระลึกหน้าที่ตนอยู่เสมอก็เป็นไปได้ เหอ ๆ CSR ชัด ๆ) แต่พอหันไปที่พี่บอยก็ยังแพ้ต่อความงัวเงียอยู่เช่นเดิม อิ อิ จากนั้นผมเริ่มไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยก็ต้องเริ่มมา Update ข่าวสารบ้านเมืองกันสักหน่อย แหม เปิดมาข่าวแรกก็สะเทือนใจแล้วครับที่มีคนนำสุนัขไปลากด้วยรถกะบะ (ช่าง Hardcore จริง ๆ) ผมอยากทราบเหลือเกินว่าสุนัขตัวนั้นไปทำผิดอะไรขนาดนั้นถึงต้องทรมานขนาดนี้ด้วย ทราบอีกทีหลังด้วยว่าหลังจากรถกะบะวิ่งอย่างเมามันแล้ว สุนัขก็ตายทันทีพร้อมกับความสะใจของคนเหยียบคันเร่งกะบะคันนั้ (อยากให้กรรมขี่จรวดไปสนองคนขับจริง ๆ)

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวร้ายอย่างเดียวนะครับ วันนี้ยังมีข่าวดีอีกด้วยที่รัฐบาลประกาศ GDP ติดลบน้อยกว่าที่คาดไว้ (ดีกว่าที่คาดไว้แต่ยังติดลบอยู่) ผมคาดเดาว่าวันนี้ดัชนีหลักทรัพย์คงตอบรับกับข่าวดังกล่าวกระฉูดแน่นอนครับ แต่อย่าพึ่งนิ่งนอนใจครับเพราะจากการที่กระผมมองอัตราแลกเปลี่ยนของเราก็ยังแข็งเกินไปอยู่ดี ซึ่งปัจจัยตรงนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่กระทบต่อธุรกิจภาคส่งออกโดยสัดส่วนของ GDP ส่วนใหญ่บ้านเรามาจากการส่งออกนั่นเอง (เฮ้อ เห็นใจต่อผลประกอบการภาคส่งออกจริง ๆ) แต่ธุรกิจภาคส่งออกอย่าพึ่งท้อใจครับ ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เคยประกอบธุรกิจการส่งออกเช่นกันครับ และก็เคยพบสภาพวิกฤตแบบนี้มาแล้วเช่นกัน แต่ท่านผู้นี้ก็ยังยึดมั่นในหลัก CSR แล้วสามารถผ่านวิกฤตดังกล่าวมาได้ดังนี้

จะว่าไปแล้วในช่วงเกิดเหตุ บริษัทขาดทุนอย่างหนักจนแทบจะรับไม่ไหว มีหลายคนยุให้ผมปิดบริษัทย้ายสำนักงานแล้วไปเปิดบรษัทใหม่ในชื่ออื่น เพราะหนี้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความรับผิดชอบส่วนตัวทุกอย่างทำให้นามบริษัทในอดีตหรือแม้แต่ปัจจุบันก็ตามทีผู้บริหารที่ไม่รับผิดชอบทั้งหลายต่างก็ใช้วิธีในการหนีหนี้ หนีความรับผิดชอบแล้วไปเปิดบริษัทใหม่ ชื่อใหม่ ล้างน้ำใหม่ อะไรทำนองนั้นผมปฏิเสธไปทุกครั้งเพราะเห็นว่าการทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเมื่อมีปัญหาแล้ว คนเราต้องมีความรับผิดชอบกล้ารับผิด มีความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่เราได้กระทำลงไปไม่ว่าจะดีหรือเลว ทุกอย่างมาจากการกระทำของเราทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้จะยืนยงอยู่ตลอดไปแม้กระทั่งเราหมดลมหายใจไปแล้ว ความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ และตัวเองย่อมรู้ตัวดีที่สุดในสิ่งที่เราทำลงไป ไม่มีทางที่จะหนีความจริงและตัวเองพ้น ดังนั้นผมจึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อชดใช้หนี้สิน แสดง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสิ่งที่เราทำ เพราะการจะให้คนอื่นเคารพเราได้ เราจะต้องเคารพตัวเราเองก่อน และเราจะเคารพตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิได้ ก็ต่อเมื่อเราเป็นคนดีอย่างแท้จริง

หลังจากอ่านบทความเสร็จคงรู้สึกทึ่งใช่มั้ยครับว่าเราสามารถนำหลัก CSR มาฝ่าฟันวิกฤตได้ซึ่งบทความนี้ผมได้นำมาจากหนังสือ ผมจะเป็นคนดี ภาค ก่อสร้างธุรกิจ ของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรมอมตะนั่นเอง ผมคิดว่าที่คุณวิกรมสามารถฝ่าฟันวิกฤตจนเป็นมหาเศรษฐีได้จนถึงทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะท่านยึดหลักความรับผิดชอบหรือCSR ในธุรกิจอย่างเต็มความสามารถมาโดยตลอดนั่นเอง (แหม การทำ CSR ช่างมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในธุรกิจอย่างยิ่งจริง ๆ นะครับเนี่ย)

หลังจากผมพล่ามไปซะไกลเราก็เริ่มกลับมาจัดของที่ห้องประชุมและกิจกรรมแรกเรื่องหน้าที่พลเมืองที่น่าสนใจของชาวอุบลราชธานีมีดังนี้ เช่น การไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยการดำเนินชีวิตเน้นการพึ่งตนเองมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน ทำให้ไม่มีการเบียดเบียนต่อผู้อื่นทั้งสิ้น ส่วนด้านพลเมืองบรรษัทต้องการให้ธุรกิจมีการเน้นเรื่องธรรมาภิบาล เพราะหลักธรรมาภิบาลขององค์กรธุรกิจนั้นจะครอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับจริยธรรมธุรกิจ ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจถัดมาคือ การเป็นผู้มีความสัตย์เพราะนิสัยส่วนตัวจะเป็นคนที่ตรงต่อเวลา ไม่ลอกการบ้านเพื่อน มีความรับผิดชอบตอการงานอย่างเคร่งครัด และส่วนของพลเมืองบรรษัทต้องการให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เพราะจะทำให้สังคมอยู่เป็นสุขและธุรกิจนั้นยังได้รับการยอมรับจากสังคมเพิ่มด้วย

หัวข้อกิจกรรม CSR เชิงระบบที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอุบลราชธานีมีดังนี้ เช่น ความเข้าใจในเรื่อง CSR ภายในสถานศึกษาด้วยการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจด้าน CSR ระหว่างคณะเพื่อนำความรู้ CSR ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนไปปรับเปลี่ยน และปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในสถานศึกษาด้วย ส่วนหัวข้อต่อมาคือ การสื่อสารเรื่อง CSR ด้วยการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์การรับถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ ให้ชุมชนภายนอกเข้าใจเพราะลูกค้าภายนอกจะเข้าใจว่าศูนย์ Toyota จะให้บริการแก่รถยนต์ Toyota เท่านั้น แต่กิจกรรมดังกล่าวยังเปิดกว้างแก่รถยนต์ยี่ห้ออื่น ๆด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์มากด้วย

ช่วงพักเที่ยงวันนี้ผมได้ร่วมโต๊ะกับพี่ๆจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งพี่เหล่านี้เค้าได้เล่าเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งบางสถานที่นั้นต้องเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 8.00 โมงเช้าไปถึงเที่ยงวันก็ยังมี (จังหวัดนี้ทำไมช่างใหญ่นัก) ซึ่งความคิดผมหากต้องใช้เวลาการเดินทางขนาดนี้ คงต้องเที่ยวข้ามจังหวัดกันแหละครับ และกระผมก็ยังคิดต่อว่าการที่อำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ขนาดใหญ่ก็อาจจะเป็นข้อดีอย่างหนึ่งก็ได้นะครับ เพราะการที่แต่ละอำเภอมีขนาดใหญ่ ทำให้แต่ละอำเภอสามารถพึ่งตนเองได้จนกระทั่งสามารถแยกออกมาตั้งเป็นจังหวัดได้เช่น อำนาจเจริญ แถมยังมีอำเภอเดชอุดมที่กำลังจะแยกตัวไปเป็นจังหวัดใหม่อีกซะด้วย

สุดท้ายเป็นกิจกรรม Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอุบลราชธานีโดยมีดังนี้เช่น “โครงการวิถี easy ที่จังหวัดอุบลราชธานี” ด้วยการสร้างการรับรู้และปรับปรุงทัศนียภาพของสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี โดยทางธุรกิจเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการปรับปรุงทัศนียภาพร่วมกับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวนั้น และเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการสร้างรายได้กับชาวบ้านและชุมชนจังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย

กิจกรรม Creative CSR ต่อมาคือ “โครงการ Moon River Eco-Tourism” เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยเริ่มจากการล่องเรือในแม่น้ำมูล และพัก Home Stay เพื่อชมวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การปลูกข้าว การเป่าแคน การแกะสลักเทียนพรรษา แล้วหลังจากเที่ยวชมเสร็จก็จะกลับมาที่ Home Stay เพื่อร่วมรับประทานอาหารพื้นบ้านประจำท้องถิ่นเป็นระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ซึ่งจะมีการดำเนินกิจกรรมช่วงกันยายน – ตุลาคม เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง High Season

และในกิจกรรมสุดท้ายที่ได้รับความสนใจก็คือ “กิจกรรมทัวร์ท่องมูล ชมเมืองดอกบัวงาม” โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวจะผสมผสานการบำเพ็ญประโยชน์ร่วมด้วย โดยเริ่มจากการล่องเรือจากท่าน้ำวัดสุปัฎฯ ถึงเขื่อนปากมูลและในช่วงเวลาขณะล่องเรือก็มีการชมธรรมชาติต่าง ๆ รวมถึงมีการบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการปล่อยนกปล่อยปลา และเก็บขยะมูลฝอยตามเส้นทางที่เราท่องเที่ยวด้วย

วันนี้กระผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์นวิทย์ เอมเอก ประธานหลักสูตรสาขาการจัดการทั่วไป คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยท่านกล่าวว่า “วันนี้หลังจากฟังบรรยายทำให้เข้าใจความรู้ CSR มากขึ้น จากทีแรกคิดว่าการทำ CSR เป็นการทำเพื่อประชาสัมพันธ์แต่ตอนนี้กลับรู้แล้วว่าการทำ CSR เป็นการทำเพื่อให้องค์กรมีความยั่งยืนเพิ่มขึ้น และในส่วนของพลเมืองบรรษัทจะนำเอกสารการบรรยายวันนี้ไปสำเนาแจกให้กับนักศึกษาที่ไม่ได้มาวันนี้ และต้องการมีการจัดประชุมนักศึกษาคณะบริหารศาสตร์มาอบรมความรู้ CSR ให้เข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้ก่อนที่นักศึกษาจะเข้าไปทำงานในตลาดแรงงาน”

หลังจากงาน CSR Campus ของจังหวัดอุบลราชธานีจบลง เราก็เริ่มออกหาของที่ระลึกซึ่งจังหวัดอุบลก็จะมีหมูยอและอาหารต่าง ๆ ที่ขึ้นชื่อเยอะมาก โดยเราได้ซื้อตุนไว้เต็มรถเลยครับซึ่งแบ่งเป็นของฝากประมาณ 10 % นอกนั้นอีก 90 % เป็นอาหารทานเล่นบนรถตู้และเมื่อเราทานอาหารทานเล่นไปเรื่อย ๆ จนเป็นอาหารเย็น 1 มื้อได้เลยนะครับ เราก็เริ่มรู้สึกอิ่มมาระดับหนึ่งแล้วครับ โดยวันนี้เราได้ไปแวะถ่ายรูปที่ Amazon Café ด้วยครับ (<---ซื้อกาแฟด้วยนะ มิใช่ถ่ายรูป..สวย...อย่างเดียว) ซึ่งรูปที่ออกมาค่อนข้าง HISO มากเหมือนไปเที่ยวเมืองนอก (หรือนอกเมือง) เลยครับ ตอนนี้รถตู้ของเราก็ใกล้ถึงจังหวัดอำนาจเจริญแล้วครับ มีพี่ทีมงานสุดสวยท่านหนึ่งอยากทานอาหารอีสานเป็นอย่างมาก (สงสัยคงจะอัดอั้นมาก) โดยทีมงานสาวสวยท่านนี้ได้ให้เหตุผลว่าไหน ๆ เราก็มาทำกิจกรรม CSR Campus ที่อีสานทั้งทีหากจะไม่ทานอาหารอีสานก็คงเสียโอกาสน่าดู เมื่อเรามาถึงโรงแรมแล้วพี่รถตู้ก็ไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรมให้แนะนำร้านอาหารอีสานในจังหวัดอำนาจเจริญสักหน่อย และก็เป็นไปตามคาดครับเราได้ร้านเป้าหมายแล้วครับ และในที่สุดเราก็มาถึงร้านอาหารอีสานตามที่เด็กโรงแรมแนะนำมา สภาพร้านมีโต๊ะประมาณ 8 ตัวและยังว่างอยู่ด้วย (ได้แต่นึกสภาพตอนนั้นว่าร้านที่เรามาวันนี้เค้าขายหรือเปล่า) ซึ่งต่อมาเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับอาหารอีสานที่ทีมงานคิดต้องมี ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว คอหมูย่าง (รูปแบบอาหารอีสานที่เราคิด) แต่ร้านที่เรามานั่งกันอยู่ตอนนี้มีแต่อาหารอีสานซึ่งเป็นแบบพื้นบ้านจริง ๆ เมนูแต่ละเมนูที่เราอ่านไม่คุ้นเลยครับ แล้วเราก็เริ่มสั่งแบบไม่คิดอะไรครับ และหลังจากทานอาหารแล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรเช่นกัน เพราะรสชาติอาหารเผ็ดและเค็มได้สุดยอดมาก (เสี่ยงต่อการที่ลิ้นและไตจะพังมาก) หลังจากเราทานข้าวสวยกันอิ่มแล้วก็กลับโรงแรม เพื่อเตรียมพร้อมกับกิจกรรม CSR Campus ของอำนาจเจริญในวันพรุ่งนี้ต่อไป ราตรีสวัสดิ์ พี่น้องชาวไทย

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ศรีสะเกษ


วันนี้เป็นวันแรกที่กระผมเริ่มทัวร์ CSR Campus ณ ภาคอีสานนะครับ ส่วนตัวมีความรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย ซึ่งจังหวัดแรกที่ทีมของเราจะเข้าไปบุกเบิกให้ความรู้ CSR ก็คือ จังหวัดศรีสะเกษ นั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ ทีมงานอีกทีมก็ไปบุกเบิกบางจังหวัดในภาคอีกสานไว้เรียบร้อยแล้ว (ใช่มั้ยครับคุณแม๊ค) เราเริ่มเดินทางในวันอาทิตย์ครับเพราะจากการคาดการณ์ระยะทางไว้คร่าว ๆ จากพี่รถตู้คนเก่งของเราก็ประมาณ 700 กิโลเมตรครับ แล้วเราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดศรีสะเกษตั้งแต่ บ่ายโมง กว่าจะมาถึงศรีสะเกษก็เป็นเวลา สามทุ่มครึ่งแล้วครับ ซึ่งระหว่างทางเราก็นัดแนะกับทีมอีกทีมหนึ่งเพื่อไปทานข้าวเที่ยงจังหวัดนครราชสีมาโดยเวลาที่เราทานข้าวเที่ยงก็เป็นเวลา บ่ายสามโมงกว่าแล้วครับ (สภาพตอนนั้นหิวมากครับ ถ้าเบาะรถตู้ทานได้เราคงทานไปแล้ว) เป็นครั้งแรกที่เราชักภาพแบบ Full team กับวิวสวยๆครับ

หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จรถตู้เราก็มุ่งหน้าไปจังหวัดศรีสะเกษอย่างเร่งรีบเลยครับ ขณะนั้นกระผมก็กำลังนั่งดูหนังเพื่อฆ่าเวลา หมดไปประมาณ 3 – 4 เรื่องด้วยกัน (ดูกันตาแหกไปข้างหนึ่งทีเดียว) และในที่สุดเราก็ถึงจังหวัดศรีสะเกษแล้วครับซึ่งตอนที่เราลงจากรถตู้ก็รู้สึกปวดคอพอสมควร (แหม ก็แหงนหน้ามองจอตั้งเกือบ 6 ชั่วโมง) เราเริ่ม Check In เพื่อเข้าห้องพักต่อจากนั้นเราก็เริ่มมาประชุมกันครับว่าเราจะทานข้าวเย็นหรือเปล่า ซึ่งเป็นไปตามคาดครับมติเอกฉันท์ว่าต้องทานข้าวเย็น แต่เวลานี้ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว เราจึงคิดว่าต้องผนวกความเป็นโรงแรมเข้ากับอาหารเย็นโดยด่วนครับ ซึ่งผมกับพี่บอยสั่งข้าวผัดแหนม และข้าวผัดกุ้ง ส่วนทีมงานสาวสวยท่านหนึ่งมีความรู้สึกหัวหมุนเป็นอย่างมากขณะนั่งรถตู้จึงมีการ request ขอต้มยำเห็ดมา 1 ถ้วยด้วยกัน แต่เนื่องจากโรงแรมไม่มีเห็ดพอเพียงตามคำขอของทีมงานสาวเพราะฉะนั้นจึงต่อรองกันได้เป็นต้มยำไก่ และต้องใส่เห็ดเท่าที่มีด้วย (ยังไงต้องให้มีเห็ดให้ได้)

สักพักประมาณ 30 นาทีเราก็ได้ยลโฉมทั้งข้าวผัดกุ้งและข้าวผัดแหนมแล้วครับ ลักษณะเหมือนทำมาไหว้เจ้าเลยครับเป็นข้าวผัดที่เล็กมาก (กลัวลูกค้าอ้วนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเป็นมื้อดึก) ส่วนทางทีมงานหญิงแทนที่จะได้ต้มยำไก่ 1 ถ้วย กลายเป็นต้มยำไก่ขนาด 1 หม้อไฟเลยครับ (ประชดหรือเปล่าไม่รู้) พี่ทีมงานหญิงจึงต้องมีการปัดภาระต้มยำไก่มาทางฝั่งพวกเราบ้าง แต่ถึงกระนั้นผมก็คิดว่าหากพี่ทีมงานผู้หญิงท่านนี้รับประทานต้มยำไก่จนหมด 1 หม้อไฟคงอิ่มและหมดสติคาหม้อไฟทันทีครับ เหอ ๆ หลังจากที่จัดการกับอาหารเย็นเรียบร้อย (จริง ๆ เรียกอาหารมืดก็ได้) กระผมก็นั่งอ่านหนังสือสักพัก แล้วก็หลับตานอนประมาณ 22.45 น.ครับ

ความรู้สึกเหมือนผมพึ่งนอนแป๊บเดียวเองครับ แต่ตอนนี้เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลา 5.55 น. (สังเกตเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ดีมาก) ผมจึงตัดสินใจอาบน้ำก่อนเลยดีกว่าเพื่อสร้างความสดชื่นในตอนเช้า หลังจากผมอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นพี่บอยลืมตาแล้วครับจึงบอกคุณบอยเชิญอาบต่อได้เลย แล้วก็เป็นไปตามคาดครับ ผมเริ่มดูข่าวในตอนเช้าอีกเช่นเคยซึ่งวันนี้มีข่าวน่าสลดปนอนาถพอสมควรเนื่องจากทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจถึง 2 นายด้วยกันครับ ซึ่งผู้อ่านข่าวได้ให้เหตุผลของการทำร้ายทหารครั้งนี้ว่า อาจจะเป็นเพราะการฉลองในเดือนรอมฎรก็เป็นไปได้ครับ ส่วนตัวผมได้แต่คิดว่าถ้าอยากจะฉลองเดือนรอมฎรก็จัดปาร์ตี้กันไปเลยสิครับ โดยกิจกรรมปาร์ตี้จะเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่น การเก็บขยะ การขุดลอกคลอง เป็นต้น หรืออาจมีการเตะฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างผู้ก่อการร้าย กับทหารไทย เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรี โดยผมคิดว่าหากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง อาจส่งผลให้ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงตามลำดับก็เป็นไปได้นะครับท่านผู้อ่าน Blog

หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าแล้วมุ่งหน้าไปสู่ห้องประชุมทันทีครับ โดยในวันนี้บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเองพอสมควรครับมีทั้งนักศึกษาและภาคธุรกิจรวมกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง และกิจกรรมแรกของเราก็คือหน้าที่พลเมืองซึ่งวันนี้เรามีกิจกรรมหน้าที่พลเมืองของชาวจังหวัดศรีสะเกษที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการประกอบอาชีพในการเป็นนักร้องถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งรายได้ดังกล่าวก็จะนำมาเลี้ยงชีพตนเองและเป็นรายได้ให้ครอบครัวด้วย โดยในส่วนของพลเมืองบรรษัท อยากให้องค์ท้องถิ่นมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อเป็นการลดปัญหาการขัดแย้งภายนอกองค์กร ทำให้การทำงานในองค์กรมีความสุขสงบเกิดขึ้นอีกด้วย เป็นต้น ส่วนอีกหัวข้อก็ยังเป็นการพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมเช่นกัน ซึ่งอาชีพของตนนั้นเป็นข้าราชการและมีการประกอบอาชีพเสริมด้วยการขายประกัน ขายขนม และ การทำคลินิกที่บ้าน เป็นต้น ซึ่งงานเสริมดังกล่าวล้วนแต่เป็นอาชีพที่สุจริตทั้งสิ้น และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจท้องถิ่นมีการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก

กิจกรรมต่อมาคือ CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การสื่อสารเรื่อง CSR ให้เกิดความเข้าใจทั่วถึงทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น ชุมชน เป็นต้น ผ่านทั้งการตั้งเป้าหมาย การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการขยายผลซึ่งจะนำไปสู่การ CSR อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาคือ การบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กรด้วยการจัดกิจกรรมนำอุปกรณ์ Computer ชำรุดไปคัดแยกนำส่วนที่ใช้ไม่ได้ไปขายของเก่า และนำส่วนที่เป็น Platinum ไปแยกขายซึ่งเป็นการ recycle ขยะอิเล็คทรอนิค แถมยังสร้างรายได้กลับเข้ามาสถานศึกษาอีกด้วย

ช่วงพักเที่ยงผมก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาชาวศรีสะเกษท่านหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานครับ กระผมได้คุยเรื่องข่าวเขาพระวิหารที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งผู้ฟังท่านนี้ได้กล่าวสั้น ๆ ว่าสมัยก่อนมีโอกาสได้เที่ยวเขาพระวิหารสมัยที่ทางเข้ายังไม่ถูกกั้นเหมือนสมัยนี้ สภาพปราสาทยังดูสวยงามมากและความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่เดินเข้าไปในตัวปราสาทรู้สึกว่าปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้เป็นสมบัติของชาติไทยอย่างชัดเจน และเมื่อข่าวเขาพระวิหารตกเป็นของเขมรทำให้ความรู้สึกลึก ๆ ของเขาทลายลงทันที เค้าอธิบายว่ามันเหมือนสมบัติชายไทยถูกยึดไปเป็นของชนชาติอื่น หลังจากผมฟังท่านผู้อบรมสัมมนาระบายความในใจผมรู้สึกตามทันทีเลยครับ (แอบเศร้านิด ๆ แฮะ) แต่ผมเชื่อว่าสักวันเหตุการณ์เรื่องเขาพระวิหารคงคลี่คลายลงและปราสาทเขาวิหารก็จะกลับมาเป็นสมบัติของชาติไทยอีกครั้งครับ

กิจกรรมต่อมาเป็น Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดศรีสะเกษมีดังนี้ “โครงการแรลลี่ สุขสันต์ ชวนกันเที่ยว เชิงอนุรักษ์” โดยกิจกรรมจะเจาะกลุ่มครอบครัว และมีกิจกรรมแรลลี่เดินทางผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น สวนสมเด็จศรีนครินทร์ ชุมชนพอเพียงศรีษะอโศก ผามออีแดง ประติมากรรมวัดล้านขวด และสุดท้ายมีการมอบของเหลือใช้ให้เด็กด้อยโอกาสที่ศูนย์พัฒนาเด็กด้อยโอกาสจังหวัดศรีสะเกษรวมถึงการร่วมกันปลูกต้นไม้ที่สวนสมเด็จศรีนครินทร์ด้วย

กิจกรรมต่อมาคือ “โครงการกราฟฟิค ยุติเกมส์” โดยโครงการจะเน้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ติดเกมส์ให้วัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าค่ายในช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งค่ายนี้จะเน้นการสอนทำภาพกราฟฟิคจากเกมส์ที่เหล่าวัยรุ่นพวกนี้เล่น ในเชิงอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมรวมถึงมีการจัดประกวดผลงานดังกล่าวโดยมีผู้ปกครองมาร่วมตัดสินด้วย

ส่วนโครงการสุดท้ายคือ “โครงการเด็กรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” จัดตั้งคณะสภาเด็กและเยาวชนเริ่มดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่เด็กเยาวชน เช่น การสอนทำดินจุลินทรีย์ เป็นต้น โดยดำเนินการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เกิดทักษะการทำจุลินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดิน และมีการมอบรางวัลแก่เด็กและเยาวชนที่เป็นแบบอย่าง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เด็กใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์รวมถึงรักษาธรรมชาติอีกด้วย

โดยในวันนี้กระผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์อาจารย์ทั้งสองท่านจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 ท่านซึ่งเนื้อหาในการแสดงทัศนะของ อ.พรสวรรค์ สัมมนา และ อ.วลัยกรณ์ ผาดผ่อง มีดังนี้ “ตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้ด้าน CSR เท่าที่ควร แต่พอมาอบรมในครั้งนี้ทำให้มีความรู้ในส่วนของ CSR มากยิ่งขึ้นโดยอยากให้นักศึกษาเข้ามาร่วมงานนี้ด้วย ซึ่งนักศึกษาสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทสามารถนำไปเผยแพร่ผ่านรายวิชาได้อย่างแน่นอน เพราะต่อไปนักศึกษาส่วนนี้ก็ต้องออกไปประกอบธุรกิจหรืออาชีพต่าง ๆ ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะมีส่วนในการแสดงกิจกรรม CSR ให้เกิดแก่สังคมไทยอีกด้วย”

และในวันนี้การจัดกิจกรรม CSR Campus ของจังหวัดศรีสะเกษก็ได้จบลงอย่างงดงาม ซึ่งกระผมคิดว่าทุกท่านที่เข้าอบรมคงได้รับความรู้ด้าน CSR อย่างมากนะครับ ตอนนี้กระผมก็เริ่มเก็บของเตรียมตัวมุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งระยะทางรวมประมาณ 60 กิโลเมตร โดยส่วนตัวจังหวัดอุบลราชธานีเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ผมเองครับ ส่วนใหญ่ญาติทางฝั่งแม่ก็จะตั้งถิ่นฐาน ณ จังหวัดนี้ เพราะฉะนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็มีความผูกพันกับตัวกระผมเช่นเดียวกับจังหวัดเพชรบุรีนะครับ สักพักกระผมก็เดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานี เราได้ไปฝากท้องที่ร้านอาหารอินโดจีน สภาพร้านดูหรูมาก มีทั้งอาหารที่อร่อย เสียงเพลงไพเราะ และทีมงานสวย (หรือเปล่า) แหมเกือบจะเกิดกบฏเลยนะครับเนี่ย เมื่อเราทานอาหารเย็นเสร็จสายฝนก็โปรยปรายอีกครั้ง เราจึงเข้าไป Check In ที่โรงแรมลายทองทันทีหลังทานอาหารเสร็จ สภาพโรงแรมหรูมากครับถือว่าใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานีก็เป็นไปได้ แหม ชักคิดถึงงาน CSR Campus ในวันพรุ่งนี้แล้วซิว่าจะสนุกแค่ไหน ท่านผู้ชม Blog อย่าลืมติดตามเหตุการณ์ตอนต่อไปนะครับ ว่ากิจกรรม CSR Campus ครั้งต่อไปจะเป็นเช่นไร

ราตรีสวัสดิ์ ครับพี่น้องชาวไทย

ชัยภูมิ

“อ้าว..!! นายแม็กซ์อยู่ไหนเนี่ย เค้าไม่รอเราแล้วนะรถตู้ออกไปแล้ว” เสียงของท่านพี่หนึ่งดังผ่านโทรศัพท์มือถือของกระผมเข้ามา ผมก็เหยียบเลยครับรู้ตัวว่าสายแล้ว พอมาถึงก็รีบขนของลง (อย่างเยอะ) เปิดประตูเข้าไปเห็นทุกๆคนนั่งคุยกันอย่างสบายอารมณ์อยู่ เครียดเลยผมอุตส่าห์เหยียบมาซะเร็ว พี่ๆก็น่ารักครับเพราะขนของขึ้นรถกันหมดแล้วเหลือแต่ของผม ฮ่าๆ แต่ก็ยังไม่รีบออกเดินทางครับก็สนทนากันอยู่พักหนึ่ง และทุกๆคนก็ได้ไปไหว้เจ้าที่ประจำบริษัทเพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนเดินทาง การเดินทางในครั้งนี้ทีมอาจารย์วุฒิพงศ์และอาจารย์ฌานสิทธ์ต้องเดินทางไปในเส้นทางเดียวกันคือถนนสายมิตรภาพครับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)ของไทยนั่นเอง การจัดอบรมในครั้งนี้เราต้องไปกันทีมละ 5 จังหวัดเลยครับ หนักหนาทีเดียวแต่อย่างไรก็ตามทีมงานของเราแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพกันอยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วงครับ

ระหว่างทางที่ไปนั้นผมได้สังเกตุเห็นบริษัทปูนบริษัทหนึ่งได้ติดป้าย CSR ไว้ด้วยครับ ก็หวังว่าเค้าจะทำจริงๆอย่างที่เค้าติดป้ายครับ คงไม่ใช่ทำตามกระแสนะ เราได้รวมตัวกันอีกครั้งที่ร้านอาหารสวนเมืองพรครับ ทีมของอาจารย์ฌานสิทธ์อยากจะมาชมวิวทิวทัศน์อันงดงามและอาหารอร่อยของที่นี่ เนื่องจากได้ยินทีมของเรานั้นพูดถึงและเก็บภาพไปให้ดู สั่งอาหารกันมาเหมือนอดอยากครับ ทุกๆท่านก็โซ้ยกันเต็มที่ไม่มีการคำนึงถึงภาพลักษณ์ใดๆทั้งนั้น ส่วนกระผมเองไม่ค่อยจะหิวครับเลยทานไม่ค่อยเยอะนัก เพราะผมได้ทานข้าวเหนียวกับก๋วยเตี๋ยวมาก่อนแล้ว เหอๆๆ ว่าไปแล้ววันนี้ที่ร้านอาหารมีนางแบบหน้าตาดีกับแฟนหนุ่มช่างภาพมาถ่ายรูป เธอช่างกล้ามากครับท่าแต่ละท่านี่ยอดจริงๆ แหม่..ไอ้ผมก็ไม่ได้ติดกล้องลงไปว่าจะไปขอถ่ายเป็นที่ระลึก (กลัวโดนต่อยตกเขา) เธอถ่ายรูปตั้งแต่พวกผมเข้ามา จนสั่งอาหาร จนอาหารหมด จนขึ้นรถจะกลับ กะว่าเอาให้คุ้มทีเดียว ที่ร้านอาหารนี้ก็มีการเปิดเป็น Resort ด้วย เพราะอากาศที่ค่อนข้างดี เย็นสบาย และบางท่านที่มาก็ขับรถขึ้นเขาใหญ่ไปถ่ายรูปนกป่า ถ่ายธรรมชาติต่างๆ เป็นการพักผ่อนที่ดีมากครับ ผมก็อยากจะมาแบบนี้บ้างครับ แต่คงต้องเก็บเงินซื้อกล้องดีๆก่อน (เบิกได้ไหมครับ) ไม่ดีกว่าครับเพราะมีหลายๆคนชอบหาว่าผมงก

เราได้มาถึง “โรงแรมสยามริเวอร์รีสอร์ท” จ.ชัยภูมิ จนได้ครับ เป็นโรงแรมที่สวยใช้ได้เลยครับแถมยังมีรูปปั้นสัตว์ต่างๆมากมายทั้งม้า นก นกยูง ปลา วัว เต็มไปหมดครับ ต้นไม้ก็เยอะด้วย หลังจากเอาสัมภาระแยกไว้ตามห้องกันเรียบร้อยก็ออกรถอีกครั้งเพื่อจะไปหาอะไรรองท้อง และแล้วก็ไม่ได้ทานครับแต่ได้หนังสือ Tab Guitar Classic มาแทน (ดีใจๆ) คิดไม่ถึงครับว่าที่ต่างจังหวัดจะมีหนังสือที่ผมต้องการ เพราะที่กรุงเทพฯห้างไหนๆก็ไม่เห็นจะมีเลย หาได้ยากมาก เป็นหนังสือกีต้าร์ครับ ที่เป็นการอ่านแบบ Tab ไม่ใช่ตัวโน๊ตครับ เพราะผมอ่านแบบตัวโน๊ตไม่เป็น อาจารย์วุฒิพงศ์ก็ให้ความสนใจเพราะท่านเองก็เป็นอีกคนที่ชอบเล่นกีต้าร์เช่นเดียวกัน แต่ก็เล่นไปแบบขำๆเวลาว่างครับไม่ได้เก่งอะไร

เสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าดังขึ้นแต่ผมยังไม่อยากจะตื่นเลย เตียงนอนของโรงแรมที่นี่นิ่มมากๆ แต่ก็ต้องถีบตัวเองขึ้นครับเพราะเรามีหน้าที่รออยู่ การทักทาย เปิดวีดีทัศน์ และเล่นเกมแจกรางวัล เป็นไปเหมือนในทุกๆครั้งครับ แต่วันนี้ทุกๆท่านไม่ว่าจะเป็นผู้อบรมหรือทีมงานเราก็ดูเหมือนอยู่ใน Slow Mode ครับ อาจจะเป็นเพราะวันแรกของสัปดาห์รึป่าวก็ไม่แน่ใจครับ แต่การบรรยายของอาจารย์ก็เป็นไปอย่างดีเยี่ยมเช่นเคย สังเกตุได้จากการตั้งใจฟังของผู้มาอบรม ถึงจะไม่ตอบมากแต่ตาก็มองไปในทางเดียวกันดูให้ความสนใจ (คงไม่ได้หลับในมั้ง)

Exercise Session ในช่วงเช้าท่านแรกที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ท่าทางที่มั่นใจมากได้กล่าวว่าตนนั้นเป็นผู้มีความสัตย์ มีความซื่อสัตย์แล้วก็จะได้ความสบายใจ ในการกระทำทุกๆอย่างที่ไม่เสแสร้งโกหกก็จะทำให้เราสบายใจที่สุด และอยากเห็นการไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เนื่องจากปัจจุบันการเห็นแก่ตัวของมนุษย์มีมากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้คนในสังคมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่อยากให้ความเห็นแก่ตัวในแต่ละบุคคลสร้างความลำบากให้ผู้คนรอบข้าง ท่านต่อมามีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือการเป็นคนดี ทำความดีและเชื่อฟังคำสอนของท่าน และได้เลือกการเป็นพลเมืองบรรษัทในด้านไม่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม คือ ถ้ากิจการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ผู้คนมักจะเดือดร้อนและส่งผลให้ประเทศชาติเดือดร้อนไปด้วย ส่วนอีกท่านก่อนแยกย้ายกันไปรับประทานอาหารว่างนั้นได้เลือกในหัวข้อที่ตัวเองได้ทำมากที่สุดคือเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ต้องทำงานสุจริต มีความพยายามอดทนต่อความลำบากต่างๆ เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และประกอบกิจกรรมทางศาสนาด้วย อยากให้องค์กรประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ถ้าทำได้บุคคลรอบข้างจะได้ประโยชน์ร่วม
กัน มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสก็น่าจะยิ่งดี

ในการรับประทานอาหารกลางวันก็มีการสนทนาในประเด็นต่างๆขึ้นครับ ทางผู้อบรมก็ให้ความสนใจว่าเราจะไปที่จังหวัดไหนบ้าง ทั่วประเทศเลยรึป่าว โครงการที่ได้ระดมสมองไปนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงไหม เกิดขึ้นไปถึงระดับไหน มีจังหวัดไหนบ้างที่โครงการประสบความสำเร็จและได้เกิดขึ้นจริง ทางอาจารย์วุฒิพงศ์ก็ได้ถามบ้างในเรื่องอาหารอะไรขึ้นชื่อของที่นี่บ้าง ท่านช่างเป็นห่วงปากท้องของทีมเราเสียจริงๆ เหอๆ แขกท่านหนึ่งก็ได้แนะนำ “หม่ำ” ไปลองเลยนะ แถบนี้อร่อยทุกร้าน มีร้านเป็นร้อยก็อร่อยหมดเลยลองซื้อร้านละชิ้นก็ได้ ฮ่าๆๆ (ผมก็ไม่รู้ว่ามันทำมาจากอะไร) ช่างดีจริงๆครับมีความเป็น CSR มากเลยในด้านการกระจายรายได้ให้ครบทุกร้าน

มาถึงกิจกรรม CSR เชิงระบบท่านแรกอยากจะเห็นองค์กรพัฒนาในเรื่องการเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ ต้องมีการขับเคลื่อนแนวความคิด รวมกลุ่มกันคิดและปฏิบัติด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จัดอบรมและส่งเสริมความรู้ ชุมชนเกิดการเรียนรู้และมีความคิดในการพัฒนาสิ่งต่างๆ สามารถรวมกลุ่มจากชุมชนต่างๆมาช่วยกันในด้านเดียวไม่แตกแยกความคิด ท่านต่อมาอยากให้เพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR โดยการจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่องค์กร มีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ เชิญผู้เกี่ยวข้องมาเข้าร่วมอบรม รอดูผลระยะยาวขององค์กรหลังจากการอบรมและทำการสรุปผลเป็นระยะๆ หวังว่าผู้ร่วมอบรมจะได้ความรู้และนำไปเผยแพร่ให้กับองค์กรต่างๆต่อไป อีกท่านก็อยากให้มีการจัดอบรมเพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR เช่นเดียวกัน ต้องจัดการอบรมไปในแนวความคิดใหม่ๆที่สามารถประยุกต์ใช้กับองค์กรได้ จะก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจของทุกคนภายในองค์กรและเกิดความสามัคคี

วันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์วาสนา คำไทยและอาจารย์อัญชลี ชัยศรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิซึ่งท่านกล่าวว่า “ได้ความรู้หลักๆเลยในเรื่องบริบาล คิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้เลยถ้าไม่ได้มาเข้าอบรมในวันนี้ ก็รู้สึกดีที่มาจัดให้ที่นี่ ก็เป็นส่วนหนึ่งให้ภาครัฐและเอกชนมารวมกัน ทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันมีการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้กัน คิดว่าหน้าที่พลเมืองสามารถนำไปประยุกต์ใช้สอนได้ ส่วนมากรู้แต่ทฤษฏีและปฏิบัติยังไง แต่เค้าไม่รู้ว่าการที่จะทำธุรกิจให้มีคุณธรรม จริยธรรมนะทำยังไง โดยเราก็จะสอนเค้าได้เพื่อเค้าจะได้ไปใช้ในเวลาที่เค้าเรียนจบ”
และก็มาถึงกิจกรรมที่รอคอยครับเราได้ “โครงการเครื่องจักรสานเอนกประสงค์” ใช้วัสดุจากต้นกก ผักตบ ไผ่และหวาย นำมาทำเป็นรูปแบบใหม่ๆ แต่เน้นด้านรักษาสิ่งแวดล้อม ตั้งกลุ่มสมาชิกในหมู่บ้าน ฝึกอบรมและทำผลิตภัณฑ์ จัดการตลาด จัดตั้งสหกรณ์ ลง Web Page ประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุชุมชนและจังหวัด ปริมาณการผลิตต้องออกมาตามแบบที่ตลาดต้องการ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะเป็นรายได้เสริม ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เกิดความสามัคคีในชุมชน ทำให้ชุมชนสามารถทำบัญชีครัวเรือนรายรับรายจ่ายและประหยัดมาก
ขึ้น มีการจัดการทรัพยากรที่เหลือมาทำให้เกิดประโยชน์

โครงการ Carbon Bank” ปลูกฝังจิตสำนึกให้คนในจังหวัดรักต้นไม้และเห็นคุณค่าของต้นไม้ เริ่มกิจกรรมรณรงค์การปลูกต้นไม้ในพื้นที่วางเปล่า จดทะเบียนต้นไม้ที่ปลูกโดยให้ท้องถิ่นและชุมชนเป็นผู้รับผิดชอบ สร้างแรงจูงใจในการปลูกต้นไม้ ขับเคลื่อนต้นไม้ให้เป็นหลักประกัน (Tree Credit) โดยรัฐบาลให้กู้ร่วมกับต้นไม้เป็นตัวการันตีผ่าน Credit Carbon เนื่องจากประเทศเรามีพื้นที่ว่างมากจากที่ของพวกคนร่ำรวย แทนที่จะปล่อยให้ที่ว่างเปล่ามีหญ้าขึ้น ก็ตั้งเป็นนโยบายเก็บภาษีพื้นที่ว่างเปล่ายกเว้นแต่จะสร้างเป็นต้นไม้ ถ้ามีการสร้างต้นไม้แทนที่จะเป็นโรงงานหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภาษีก็จะลดลงตามเปอร์เซนต์ที่นโยบายตั้งไว้ จะมีไม้เศรษฐกิจเป็นมรดกให้ลูกหลาน เพิ่มหลักประกันให้กับบุคคล โดยรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน ประเทศไทยก็จะไม่ขาดดุล Carbon Credit ทุกๆคน ทุกภาคส่วน จะมีแต่ได้รับสิ่งดีๆ

โครงการอนุรักษ์ป่าชุมชน” ดูแลป่าที่มีอยู่เดิมและปลูกเพิ่มในส่วนที่ต้องปรับปรุง จัดหาพื้นที่และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง มีการเสนอโครงการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อบรมโครงการอนุรักษ์ป่า โดยเริ่มจากชุมชนตัวอย่างและต้องปฏิบัติจริง ติดตามและสรุปผลเป็นระยะๆ เริ่มจากหมู่บ้านและขยายไปเรื่อย ถึงจะเป็นจุดเล็กๆแต่ก็เป็นจุดเล็กที่ยิ่งใหญ่ จะได้มีแหล่งอาหารเพิ่มขึ้นในชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ผู้ที่ต้องการศึกษาที่สนใจเกี่ยวกับธรรมชาติ มีป่าเพิ่มขึ้น ลดภาวะโลกร้อน เกิดความสามัคคีในชุมชนและเพิ่มสมดุลของระบบนิเวศน์ด้วย

สำหรับในวันนี้อาจารย์รจนา ป้องนู สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชัยภูมิได้กล่าวกับผมทิ้งท้ายไว้ว่า “ได้รับความรู้ เป็นความรู้ใหม่เลย เดิมไม่มีความรู้เรื่อง CSR เลย และได้มารู้ว่า CSR เนี่ยะเป็นการสร้างความรับผิดชอบให้กับบุคคลให้มีความสำนึกต่อหน้าที่ ความมีน้ำใจและเป็นนักจิตอาสา ทำสิ่งต่างๆด้วยความเต็มใจและบริสุทธ์ใจ ไม่คิดหวังผลตอบแทน เช่นในสายงานเรื่องหน้าที่พลเมืองในรอบเช้านั้น โดยไปนำชุมชนออกกำลังกายให้มีสุขภาพแข็งแรงโดยไม่คิดค่าตอบแทน ใช้ความรู้ของนักศึกษาไปทำให้เกิดประโยชน์ คิดว่าดีมากที่มาจัดให้ที่นี่ เป็นการปลูกจิตสำนึกให้กับผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้ ให้คนได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว พลเมืองทุกคนน่าจะมีน้ำใจ ช่วยเหลือเผื่อแผ่คิดว่าสิ่งดีๆที่เราให้ไปก็จะกลับมาหาเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวัง ในเรื่องหน้าที่พลเมืองจริงๆแล้วมันสอดแทรกอยู่ในวิชา แต่เราไม่ได้ชี้ชัดนัก ครูส่วนใหญ่จะสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมลงไปอยู่แล้ว และต้องมีการตามผมด้วยไม่ใช่ว่าสอนไปอย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจในเรื่องนี้ไหม มันน่าจะเป็นแบบ Two Way เมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาเค้าจะได้มีแนวคิดในเรื่องการเสียสละในสังคมโดยไม่คิดเรื่องเงินเป็นหลัก”

มีผู้ให้ความสนใจในงานโครงการ CSR Campus ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดนครราชสีมา ที่จะมีขึ้นกลางเดือนกันยายนนี้ การบรรยายได้จบลงอย่างเป็นกันเอง ผมได้ถามกับอาจารย์ว่าบุคลิคของคนที่นี่ดูเงียบจัง อาจารย์จึงอธิบายว่าคนแถบนี้ไม่ค่อยจะพูดมากนักแต่จะใช้สายตามองมาว่าสนใจมากน้อยขนาดไหนในการรับฟังการบรรยาย โหว...ประสบการณ์ครั้งนี้ผมจะจำไว้ครับว่ายังมีคนอีกหลายรูปแบบที่ผมไม่เคยพบเจอ และการเข้าใจในตัวของแต่ละคนก็ไม่ง่ายเลยครับ

หลังจากแพคของกันแล้วเราได้ออกเดินทางกันต่อโดยแวะซื้อลูกชิ้นอุดหนุนร้านริมทางลองท้องซักหน่อยครับ และก็ไม่ลืมสิ่งที่ผู้มาอบรมแนะนำมาครับ “หม่ำ” นั่นเองครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าทำมาจากส่วนไหนของหมูกันแน่ ครับทีมของเราจะไปกันต่อที่ไหนนั้น ถ้าคุณไม่เข้ามาอ่าน “คุณจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง” แล้วพบกันครับ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชลบุรี

กระผมขอเรียนท่านผู้อ่านก่อนว่าการเขียนเกี่ยวกับจังหวัดชลบุรีนี้จะมีคนที่เขียนอยู่สองคนครับคือท่านพี่หนึ่งกับกระผม(นายแม็กซ์)นะครับ หวังว่าทุกท่านจะไม่งง อันไหนที่ท่านพี่หนึ่งหรือผมเป็นคนเขียนผมจะมีวงเล็บเอาไว้ด้านหน้านะครับ ขออภัยในการอ่านที่ไม่สะดวกด้วยครับ

(นายแม็กซ์) การเดินทางมาสู่งานระดับภาคนั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างที่จะนานทีเดียว ก็ประมาณ 6-7ชั่วโมงเห็นจะได้ครับ เพราะทีมของเราต้องเดินทางจากร้อยเอ็ดไปจนถึงที่ชลบุรี และระหว่างทางฝนก็ตกลงมาเป็นระยะเวลาค่อนข้างที่จะนานทีเดียวครับ ฝนตกตั้งแต่เราออกจากร้อยเอ็ดไปจนถึงโคราชเห็นจะได้ แต่เราก็ไม่ลืมที่จะหาอะไรลองท้องไปตามทางครับ อย่างไรก็ตามเราต้องขอขอบพระคุณทีมอาจารย์ฌานสิทธิ์เป็นอย่างมากที่ได้แบ่งเบาภาระของเราได้เยอะเพราะทีมของท่านได้ไปถึงก่อนและเตรียมอุปกรณ์การจัดงานในวันรุ่งขึ้นไว้แล้วในบางส่วน การเดินทางไปในคราวนี้ผมนอนไม่หลับเลยเพราะคิดอยู่ว่างาน CSR ในระดับภาคนั้นจะเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ฮ่า ๆ

เรามาถึงจนได้ครับที่ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียม เนื้อที่โรงแรมใหญ่มากครับโรงแรมก็น่าจะเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว เพราะที่นี่ก็สร้างขึ้นมาค่อนข้างจะนานพอสมควรแล้วเหมือนกัน เราเดินทางมาถึงในเวลา 2.00น. เห็นจะได้ครับ ทราบมาว่าอาจารย์พิพัฒน์ของเรานั้นเป็นห่วงกับการเดินทางอย่างมากและได้นั่งรอทีมของเราจนประมาณตีหนึ่งเห็นจะได้ ต้องขอขอบพระคุณจริงๆครับ หลังจากที่เราได้ทำการ check in อย่างรวดเร็วก็ได้แยกย้ายกันไปที่ห้องพักทันที สงสัยว่าแอร์ของที่นี่จะดีมากๆครับ เพราะตามระเบียงทางเดินนั้นอากาศเย็นมากๆครับ เปิดเข้าไปเห็นเตียงในห้องพักปุ๊บ ผมกับอาจารย์วุฒิพงศ์ไม่รอช้าขึ้นเตียงห่มผ้านอนอย่างรวดเร็ว (อาบน้ำป่าวครับเนี่ย) เพื่อสะสมพลังงานให้ได้มากที่สุดในการอบรมของวันรุ่งขึ้น เนื่องจากทราบมาว่าคนที่จะมาร่วมงานนั้นมีประมาณ 300คนเห็นจะได้ เหอๆ

ในวันรุ่งขึ้นทีมงานจากทั้งสองทีมได้มารวมกันที่ Lobby และได้เดินไปที่ห้องสัมมนาอย่างสง่าผ่าเผย เหมือนว่าคนเยอะแล้วทำให้มั่นใจทำนองนั้น ฮ่า ๆ การลงทะเบียนก็ราบรื่นเป็นอย่างดีจากทีมงานสาวๆของทางสถาบันไทยพัฒน์ของเรา คล่องแคล่วว่องไวทักทายผู้เข้าร่วมอบรมอย่างเป็นกันเองเพราะบางท่านนั้นเดินทางมาจากจังหวัดต่าง ๆ ที่เราได้ไปอบรมมาบ้างแล้ว มีการแยกการลงทะเบียนระหว่างต่างจังหวัดกับคนของชลบุรี ทำให้ทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็วและไม่ผิดพลาด

งานได้เริ่มขึ้นอย่างเคยครับโดยเริ่มจากการเล่นเกมแจกของรางวัลอย่างสนุกสนานเป็นกันเองแต่ที่ต่างออกไปคือวันนี้เหมือนงานคอนเสิร์ตขนาดเล็กเลยเพราะคนเยอะจริงๆครับ ท่านพี่หนึ่งก็ยิงมุขได้ตลอดจนผมพูดไม่ทันเลย ฮ่าๆและ การกล่าวเปิดงานก็เริ่มขึ้นด้วยความเป็นมืออาชีพของพี่ผึ้ง (ทีมผมเอง) อาจารย์พิพัฒน์ก็ได้ทักทายและเริ่มการบรรยายอย่างมีราศีเช่นเคยครับ

ไม่นานนักผมก็ต้องออกมาจากงาน แต่เป็นเกียรติอย่างมากครับเพราะผมต้องไปรับคุณอภิชาติ การุณกรสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชีย พรีซิชั่นครับ ซึ่งท่านจะมาบรรยายและแชร์ประสบการณ์ให้กับผู้มาร่วมอบรม โดยการเดินทางใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง ผมได้นั่งรอคุณอภิชาติไม่นานนักท่านก็ทักผมจากด้านหลัง “อ้าว..จากสถาบันไทยพัฒน์ปะเนี่ย รอแปบหนึ่งนะเดี๋ยวไปเอาของก่อน” ผมยิ้มเลยครับเพราะท่านไม่ถือตัวเลย และดูไม่คิดมากด้วยว่าการที่ทางเราให้เด็กอย่างผมมารับท่านอาจจะไม่พอใจ แต่ไม่เลยครับเป็นกันเองอย่างมาก ผมเชิญท่านขึ้นรถตู้ของทางเรา ท่านก็นั่งข้างผมครับ ระหว่างทางที่จะกลับไปโรงแรมนั้นผมก็ได้มีโอกาสสนทนากับท่านครับ ท่านก็ถามถึงเรื่องว่าเราออก CSR Campus ของเราได้เดินทางจังหวัดไหนมาบ้างแล้วและถามว่าทำอะไรบ้าง ผมก็ถามท่านบ้างถึงการบริหารจัดการในองค์กรของท่าน เรื่องเศรษฐกิจในตอนนี้ว่ากระทบกับองค์กรบ้างไหมขนาดไหน ท่านบอกว่าสมัยก่อนได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่ในยุคนั้นธุรกิจด้านนี้แข่งขันกันค่อนข้างเยอะทำให้อยากที่จะเปลี่ยนแนวทางของธุรกิจ อยากจะหาธุรกิจที่ไทยไม่ค่อยจะมีมากนักและมีคู่แข่งให้น้อยที่สุด ท่านจึงได้เริ่มในธุรกิจคล้ายๆกับโรงกลึงเหล็กเล็กๆกับพรรคพวกอีกไม่ถึง 15คนเห็นจะได้ และได้ขยายขึ้นมาเรื่อยจนตอนนี้บริษัทของท่านนั้นผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆอย่างโตโยต้าและอื่นๆอีกมากมาย และได้ก่อตั้งอยู่ที่ Amata Nakorn จังหวัดชลบุรี สินค้าที่ order เข้ามานั้นถ้าของที่สั่งมาเข้ากับรูปแบบของเครื่องจักรได้ก็จะรับข้อเสนอถ้าบางแบบไม่สามารถทำได้ก็มีปฏิเสธไปบ้าง การนำเข้าวัตถุดิบนั้นก็มาจากทางญี่ปุ่นบ้าง ยุโรปบ้าง มีการเดินทางไปดูงานต่างประเทศบ้างในบางโอกาสถ้ามีการที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรใหม่ๆ จากเศรษฐกิจแบบนี้ก็มีผลกระทบกับธุรกิจบ้างจากปลายปี 51จนถึงต้นปี 52 หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ ผมคิดว่าเพราะการที่ท่านไม่ถือตัวและฟังความเห็นทุกๆอย่างจากลูกน้องไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆก็ตาม ทำให้ท่านผ่านวิกฤติต่างๆได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่นานนักครับเราก็ได้มาถึงที่โรงแรม แหม่...ผมกำลังสนุกกับประวัติในบางส่วนของท่านเลย น่าเสียดายจริงๆครับที่ผมมีโอกาสน้อยไปหน่อย



(พี่หนึ่ง) และวันนี้ขณะที่น้องแม๊กซ์ไปรับคุณอภิชาติ (ตัดเข้ามาบรรยากาศสด ณ ห้องประชุม) เราก็มีโอกาสเชิญผู้บริหารทั้ง 3 ท่านจาก บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(ดีแทค) มาร่วมเสวนาในหัวข้อ Creative CSR in Slowdown Economy โดยพิธีกรคือ คุณนงค์นาถ ห่านวิไล บรรณาธิการข่าว ธุรกิจ-การตลาด หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งบรรยากาศในการเสวนาเต็มไปด้วยความสนุกสนานผสมสาระความรู้จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้บริหารจากทั้ง 3 บริษัทดังนี้



ในช่วงเสวนาของผู้บริหารทั้ง 3 ท่านโดยผู้บริหารโตโยต้าได้ให้ความเห็นว่า “แม้เศรษฐกิจมีการชะลอตัว แต่ทางโตโยต้าก็ยังมีการดำเนินกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง เช่น กิจกรรมถนนสีขาว ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และการทำกิจกรรม CSR นั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะเราต้องทำกิจกรรม CSR ที่สนองต่อความต้องการสังคมเป็นหลัก โดยทั้งนี้ต้องมีการปูพื้นฐานความรู้ CSR แก่พนักงานก่อน เพื่อให้พนักงานเหล่านั้นตระหนักเห็นความสำคัญของการทำ CSR ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้การดำเนินกิจกรรม CSR ขององค์กรตรงตามความต้องการของสังคมและมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืนด้วย”


ต่อมาเป็นความคิดเห็นทางผู้บริหาร CAT ซึ่งให้ความคิดเห็นดังนี้ “ในช่วงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน CAT ก็ยังมีการดำเนินกิจกรรม CSR ทั้งภายในและภายนอกอยู่โดยจะเน้นจากภายในก่อน เช่น การดูแลความเป็นอยู่ของพนักงาน ความปลอดภัยของพนักงาน การทำธุรกิจอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นต้น ส่วนภายนอกจะเป็นการดูแล Stakeholder ต่าง ๆ รวมถึงลูกค้าด้วยและโครงการ CSR ที่มีการดำเนินการก่อนหน้าแล้วก็ยังต้องดำเนินการต่อไป ส่วนโครงการ CSR ที่เป็นโครงการใหม่ก็ต้องมีการคัดเลือกโดยจะเน้นโครงการที่มีการสร้าง Impact ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด”


สุดท้ายเป็นความคิดเห็นทางผู้บริหารของ DTAC ซึ่งให้ความคิดเห็นดังนี้ “ทาง DTAC มีการกำหนดแผนการดำเนินงานทาง CSR ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยยึดหลักดังนี้ ข้อแรกต้องมีการทำ CSR ข้ามสายพันธุ์ เช่น กิจกรรม *1677 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่เน้นการช่วยเหลือแก่เกษตรกร โดยการให้ความรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกรไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของ DTAC โดยตรง เป็นต้น ข้อสองต้องมีการรวมทรัพยากรเข้าด้วยกันเพื่อลดปัญหาพื้นฐาน 3 ปัญหาคือ ปัญหาด้านเงินทุน ปัญหาด้านเวลา และปัญหาด้านทรัพยากร ส่วนข้อสามต้องมีการลดความซับซ้อนของการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ส่วนข้อสุดท้ายต้องมีการทำ CSR ให้เกิด Miracle หรือ นวัตกรรม โดยผ่านทางภูมิปัญญาชาวบ้านและองค์ความรู้ขององค์กรด้วย“


วันนี้ในช่วงเที่ยงกระผมก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์กับอาจารย์กมลวรรณ รอดหริ่ง จากคณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งเนื้อความในการสัมภาษณ์มีดังนี้ “ปกติเรื่อง CSR ในส่วนของหลักการและทฤษฎีอาจารย์พอจะมีความรู้อยู่บ้างแล้ว พอได้ฟังการบรรยายจากช่วงเช้าครึ่งแรกก็ได้ทราบและเข้าใจทฤษฎีของ CSR เพิ่มเติมมากขึ้น พอมาถึงช่วงการเสวนาของผู้บริหารทั้ง 3 ท่านเกี่ยวกับ CSR ยิ่งทำให้ทราบและเข้าใจชัดเจนมากขึ้นเพราะได้เห็นการปฏิบัติงานเกี่ยวกับ CSR ของทั้ง 3 บริษัท ทำให้เราได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีศึกษาของ CSR อย่างชัดเจนมากขึ้นด้วย”


(นายแม็กซ์)หลังจากที่ทุกท่านได้อิ่มกับอาหารกลางวันของทางโรงแรมแล้ว การรวมตัวก็กลับมาอีกครั้งที่ห้องอบรมและก็ได้ทำการออกกำลังกายตาม Concept ของทางเรา และสำหรับในช่วงบ่ายวันนี้เราได้เกียรติจากแขกคนพิเศษมากท่านหนึ่งจะมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันครับ คุณอภิชาติ การุณกรสกุลครับ ได้กล่าวทักทายและพูดแลกเปลี่ยนว่า “เรียนสวัสดีทุกท่านในคาบบ่ายนะครับ ยินดีและดีใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาพบกับทุกท่าน และได้นำเรื่องราวในโรงงานมาแลกเปลี่ยนกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านบ้าง เวลาที่มาบรรยายก็เป็นเวลาที่ท้าทายนะครับเพราะเป็นช่วงบ่าย อาจจะง่วงกันได้แต่จะให้มาเต้น Nobody ทุกๆ 15นาทีก็ไม่ไหว เมื่อช่วงเช้าก็ดีใจที่มีบริษัทใหญ่ๆได้มาร่วมงานด้วย คิดว่าทุกท่านคงได้ฟังมุมมองจากบริษัทใหญ่ๆไปแล้ว เรามาดูองค์กรขนาดย่อยลงมาบ้าง” คุณอภิชาติได้เปิดคลิปวีดีโอประมาณ 3 นาทีโดยเพลงประกอบคลิปวีดิโอก็ไพเราะมาก หลังจากจบวีดีโอพร้อมเสียงตบมือ ท่านก็บรรยายต่อว่า “สำหรับท่านที่งีบต้องลืมตาแล้วครับ (ผมคิดว่าท่านนี่อารมณ์ดีจริงๆ) ดูกันแล้วทุกท่านก็น่าจะพอนึกภาพออกนะครับว่าเราอยู่กันแบบไหน หมู่คณะแบบไหน ก็จะเป็นประเด็นในวันนี้เลยครับ สำหรับเราที่โตจากองค์กรเล็กๆก็ไม่อาจจะทำ CSR ใหญ่ๆได้ เราจึงเริ่มทำในองค์กรเราก่อน แน่นอนองค์กรธุรกิจตั้งมาก็ต้องการกำไร ทุกคนที่มาทำงานก็เพื่อหวังเอาผลตอบแทน เราได้ตั้งคำถามว่าโรงงานเป็นแค่นี้เหรอ มันน่าจะเป็นมากกว่านี้ได้นะ เราได้คิดว่าคนเราเกิดมาหาเงินสุจริต ทำงานสุจริต หาเลี้ยงชีพโดยสุจริต แค่นี้เหรอ พอเราเริ่มท้าทายผู้คนด้วยคำถามแบบนี้ ก็เป็นการเริ่มในการทำสิ่งใหม่ๆ เหมือนสมัยเด็กเราไปโรงเรียน เรียนหนังสืออย่างเดียวเหรอ เราไปทำอย่างอื่นอีกเยอะแยะที่มากกว่าการเรียน ในทำนองเดียวกันโรงงานเนี่ย ผมคิดว่าพนักงานเวลา 2ใน3 ของชีวิตใช้เวลาในที่ทำงาน พนักงานก็มาทำงานใช้สติปัญญา แรงกาย แลกผลตอบแทน องค์กรก็ให้ผลตอบแทบแลกสิ่งเหล่านั้น แต่เราคิดว่าการมาอยู่ร่วมกันมันน่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านี้และเป็นประโยชน์ด้วย จึงได้เริ่มจากการคิดแบบนี้เพราะถ้าองค์กรก้าวข้ามความคิดแบบนี้ไม่ได้ก็จะเริ่มทำ CSR ในองค์กรไม่ค่อยจะได้ การที่เรามาอยู่ร่วมกันก็แน่นอนว่าเงินนั้นสำคัญ บางคนบอกว่าอยู่กันด้วยใจเงินมาทีหลัง ความจริงก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเงินยังไงก็น่าจะมาก่อน การที่ให้เงินอย่างเป็นธรรมได้เรื่องอื่นก็จะตามมาได้ แต่เราระมัดระวังอย่างมากที่ไม่ให้เงินเป็นพระเจ้า ที่ไหนที่ให้เงินอยู่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงจะบรรลัยนะ อยู่กันลำบากน่าดูเพราะทุกอย่างเป็นเงินหมด เงินต้องเป็นธรรมนะครับอย่าให้เงินมาขี่คอเรา เราต้องอยู่กันด้วยความดี ถ้าทำได้ก็จะมีความผาสุขและเข้มแข็ง การยึดเอาเงินเป็นที่ตั้งก็จะนำไปสู่การทำลายล้างได้และสังคมก็จะเสื่อมแน่ ถ้าจะเยียวยาต้องเปลี่ยนคำถามจาก ทำยังไงจะรวย มาเป็นทำดีอย่างไร ถ้าถามคำถามนี้เรื่อยๆเราก็จะคิดในสิ่งที่เราพึงกระทำและสิ่งดีๆจะตามมา คนที่เดินตามรอยนี้คิดว่าไม่มีทางจนแน่ ทำอย่างไรให้คนคิดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน ทำอย่างไรให้คนไม่พกความโลภมาแต่เป็นให้พกความเสียสละแทน ทุกอย่างก็จะนำไปสู่ความเกื้อกูล คนเรามักจะรอคนอื่นให้ทำถ้าคนอื่นไม่ทำเราก็ไม่ทำ อันนี้ก็มักจะเป็นข้ออ้างเราต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน คนเรากลัวแต่ว่าถ้าเราทำแล้วคนอื่นไม่ทำ ก็จะเสียแรงเปล่า สิ่งที่เราทำมันก็จะค่อยๆขยายผลเอง ถ้าเต็มไปด้วยคนเสียสละทุกๆคนทุกๆที่ก็จะสบาย ความกตัญญูไงครับที่เป็นแนวทางทำความดี ถ้าเรารู้สึกถึงความกตัญญูเราก็จะเป็นผู้ให้โอกาสในการทำดีมากขึ้น ที่โรงงานเราจะหาคนดีเนี่ยต้องมีการหาความกตัญญูก่อน พอเจอแล้วก็ฉีดยาเร่งต่อมกตัญญูให้เบ่งบานและต้องกระตุ้นเรื่อยๆ ความเห็นแก่ตัวก็จะน้อยลง การเสียสละก็จะนำไปถึงความสุขได้เหมือนกันไม่ใช่ว่าเป็นผู้รับจะมีความสุขฝ่ายเดียวเสมอไป ถ้ามีการนำความกตัญญูบวกกับวินัยเนี่ยรับรองว่ากองทัพก็จะแข็งแกร่ง” คุณอภิชาติได้เปิดคลิปวีดิโออีกชุดพร้อมเพลงประกอบซึ่งแฝงไปด้วยปณิธานของบริษัทที่ว่า “มุ่งสร้างคนดี แทนคุณแผ่นดิน” แหม ช่างสุดยอดจริงๆครับและซึ้งมากๆด้วย


(พี่หนึ่ง)ในช่วงบ่ายมีการแบ่งกลุ่มกิจกรรมระหว่าง CSR ระดับภาคกลาง และ CSR ระดับจังหวัดก็คือจังหวัดชลบุรี ซึ่งในส่วนกิจกรรมของ CSR ระดับภาคกลางมีกิจกรรมการประชุมระดมสมอง CSR ระดับภูมิภาค (ภาคกลาง) ด้วยโดยมีอยู่ 5 กิจกรรมด้วยกัน ซึ่งแต่ละกิจกรรมมาจากการระดมของคนที่อยู่จังหวัดในภูมิภาคลำเนาภาคกลางโดยมีกิจกรรมดังนี้


มาถึงช่วงกิจกรรมหาโครงการระดับภาคกลางครับ กิจกรรมแรกมาจากของกลุ่มก้านกล้วยโดยประเด็นปัญหาสืบเนื่องมาจากภาคกลางเป็นภาคที่มีช้างอยู่จำนวนมากทั้งช้างป่าและช้างบ้าน โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ในภาคกลางไม่มีความเชื่อมโยงต่อกัน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อแหล่งอาหารของช้าง ทำให้เกิดปัญหาควานช้างนำช้างดังกล่าวออกมาหากินในพื้นที่ชุมชนเมือง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาแก่ชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว จึงมีการจัดกิจกรรมประชุมสัมมนา อบรม ให้ความรู้เรื่องช้างแก่บุคคลที่สนใจหรือหน่วยงานทั่วไป เพื่อให้บุคคลและหน่วยงานมีการร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการประชาพิจารณ์ เพื่อผลักดันวิธีแก้ไขที่ได้จากการประชาพิจารณ์ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งหากกิจกรรมดังกล่าวเกิดความสำเร็จจะทำให้ปัญหาช้างเร่ร่อนในชุมชนเมืองลดลงด้วย


กิจกรรมถัดมาของกลุ่มรักสิ่งแวดล้อมโดยประเด็นปัญหามาจากในภาคกลางมีประเด็นปัญหาด้านมลพิษอยู่มากในบริเวณจังหวัดที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม เช่น มลภาวะทางอากาศในจังหวัดระยอง มลพิษทางน้ำทั้งในจังหวัดชลบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดอยุธยา และกรุงเทพฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่กระทบแก่ประชาชนบริเวณดังกล่าวโดยตรง เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าควรมีการสร้างจิตสำนึกที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการในโรงงานดังกล่าว รวมถึงชุมชนต้องมีการรวมกลุ่มกันเพื่อสอดส่องดูแลโรงงานอีกทั้งยังต้องร่วมคิดแนวทางป้องกันและแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งรัฐบาลต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมไม่ว่าจะเป็น บทกฎหมาย ข้อบังคับ เป็นต้น ในการดำเนินบทลงโทษแก่โรงงานที่ยังละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับอยู่ ซึ่งทางกลุ่ม 6 จังหวัด 12 ชีวิตได้มองประเด็นปัญหาด้านมลพิษเช่นเดียวกับกลุ่มรักสิ่งแวดล้อม โดยกิจกรรมจะเน้นการเพิ่มแหล่งเรียนรู้ด้านมลพิษ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังมีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างจิตสำนึกแก่ชุมชน เพื่อให้ประชาชนเกิดการตระหนักถึงภัยจากมลพิษที่โรงงานปล่อยออกมา รวมทั้งยังเป็นการสร้างให้ประชาชนมีการตรวจสอบโรงงานโดยอัตโนมัติด้วย ซึ่งจะทำให้โรงงานดังกล่าวมีความเป็นมาตรฐานมากขึ้น


สุดท้ายมาถึงกลุ่มเกษตรก้าวหน้าตามรอยพ่อ โดยประเด็นปัญหามาจากการใช้ปุ๋ยเคมีในสินค้าเกษตรมากเกินไป จนกระทั่งผู้ผลิตยังไม่กล้าบริโภคผลผลิตของตนเอง ทั้งยังเป็นการทำให้ดินบริเวณที่เพาะปลูกดังกล่าวเกิดความเสื่อมสภาพของหน้าดินในระยะยาวอีกด้วย โดยกิจกรรมของกลุ่มจะเน้นการให้ความรู้แก่เกษตรกรเพื่อตระหนักถึงผลเสียของการเกษตรที่เน้นการใช้สารเคมีมากเกินไปและมีการให้ความรู้เรื่องวิธีการปลูกเกษตรอินทรีย์ และการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อทำให้เกิดการเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายผ่านทางปราชญ์ชาวบ้าน โดยนำองค์ความรู้กล่าวไปแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านอย่างเหมาะสม ส่วนความร่วมมือจากทางภาครัฐอยากให้ภาครัฐมีการจัดสรรที่ดิน เพื่อใช้เป็นแปลงสาธิตโดยให้เกษตรอำเภอและจังหวัดมามีส่วนร่วมในการจัดการ และให้ประชาชนในชุมชนเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งอาจมีการก่อตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับท้องถิ่นโดยภาครัฐควรมีการประเมินผ่านตัวชี้วัดเช่น ผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุน คุณภาพของผลผลิต เพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพก็จะมีกิจกรรมด้านเกษตรอินทรีย์เช่นกัน แต่มีการเน้นการปลูกพืชสมุนไพรประจำท้องถิ่นแทน และมีการจัดตั้งศูนย์สมุนไพร รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรประจำท้องถิ่นอีกด้วย


(นายแม็กซ์) มาถึงกิจกรรม Creative CSR ของจังหวัดชลบุรีนั้นเราได้ “โครงการให้ความรู้กับชุมชน” ไปตามชุมชนและสถานที่ต่างๆเพื่อเสริมสร้างภาษาอังกฤษเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เน้น concept ว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวหรือภาษาอังกฤษเพื่อชุมชน มีการประชาสัมพันธ์ผ่านแผ่นเสียง เสียงตามสายศูนย์บริการท่องเที่ยวและวิทยุเสียงตามสาย กำหนดกลุ่มเป้าหมาย แม่ค้า คนขับรถ พร้อมแจกใบสมัคร ทำการประเมินผลการจัดทำโครงการ 3เดือนโดยใช้แบบสำรวจลงพื้นที่ต่างๆ สามารถสร้างรายได้ในการขายสินค้า สร้างภาพลักษณ์ให้กับชุมชนในด้านการท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายสามารถสร้างรายได้ในการขายสินค้าและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น


โครงการพิชิตฝันสู่เส้นทางอาชีพ” เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมต้น เข้าเยี่ยมชมโรงงานเพื่อทราบขบวนการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในอนาคต จัดหาพันธมิตรธุรกิจที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่สนับสนุนโครงการ จัดหาวิทยากรหน่วยละ 1ท่านเพื่อให้ความรู้กับผุ้มาเยี่ยมชม เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาสามารถตัดสินใจในการศึกษาต่อในอานาคตได้ มีการประเมินผลผู้เข้าร่วมเยี่ยมชม จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษา เพื่อให้นักเรียนที่สนใจจำนวน 1ทุน เพื่อกลับมาทำงานที่หน่วยงานที่ได้ทำการสนับสนุนให้ การที่นักเรียนประสบความสำเร็จจากโครงการนี้ก็จะเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ได้ทำงานตามสายงานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


การบรรยายในวันนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีครับและก็มีทีมสีชมพูจาก CSR Day ที่มาสมทบในช่วงท้ายด้วย ตอนนี้เราได้มารวมตัวกันหมดแล้วทั้งหมดก็เกือบๆ 20คนเห็นจะได้ ดูท่าทุกๆคนก็จะหมดแรงกันครับ ไม่รอช้าหลังจากที่เก็บสัมภาระทุกอย่างหมดครบแล้วเรามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารริมทะเลยทันที เน้นที่อาหารอร่อยวิวสวย ราคาแพงไม่เกี่ยง เพราะวันนี้ผู้ที่อยู่เบื้องบนก็มาด้วย(คนที่คุณก็รู้ว่าใคร) เหอๆๆ วันนี้ก็ดูทุกๆคนมีความสุขกันมากครับเพราะนานๆทีจะได้รวมตัวกันขนาดนี้ เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อ่านในที่สุดงาน CSR Campus ของจังหวัดในภาคกลางก็จบลงด้วยดีนะครับ แต่ก็อย่าลืมติดตาม Blog ของพวกเราต่อไปนะครับ เพราะยังมีกิจกรรม CSR Campus ในภาคต่าง ๆ ต่อไปอีกครับ (ยังไม่จบนะครับ)

ไว้เจอกันใหม่ครับ พี่น้องชาว Blog