วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ร้อยเอ็ด

จากที่เราได้ทำภารกิจเสร็จสิ้นที่สุรินทร์แล้ว เราไม่รอช้าได้ตรงดิ่งไปยังที่ต่อไปทันที สองข้างทางช่างเขียวขจีจริงๆครับ ดูแล้วสบายตามากเลย ระยะทางค่อนข้างจะไกลซักนิดครับแต่เราก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะในวันต่อไปเป็นวันหยุดของทุกๆคนในประเทศไทยครับ ทราบไหมเอ่ยว่าวันอะไร...?? อ่า..ครับ วันแม่นั่นเองครับ ก็หวังว่าทุกท่านจะกลับไปหาหรือโทรไปหาแม่กันนะครับและแล้วเราก็มาถึง “บึงพลาญชัย” ที่จังหวัดร้อยเอ็ดนั่นเอง เป็นสวนสาธารณะที่น่าออกกำลังกายมากเลย บรรยากาศก็ดีต้นไม่ก็เยอะครับ เนื่องจากงานในจังหวัดที่แล้วทำให้เราอ่อนเพลียกันมากทีมงานจีงได้แยกย้ายกันเข้านอนทันที

แสงส่องตาทำให้ผมรู้สึกตัวก็ปาเข้าไป 9.30น.เห็นจะได้ครับ ก็ทำการชำระล้างหน้าตา ร่างกายและลงไปหาอะไรรองท้องกับอาจารย์พงศ์ซักหน่อย ที่บอกว่ารองท้องนั้นเพราะว่าครัวเค้าจะปิดอยู่แล้วครับคงไม่ค่อยจะเหลืออะไรไว้ให้เราเท่าไร ลงมาถึงก็เห็นทีมงานสาวเราทั้งสองคนกำลังนั่งหม่ำกันอยู่ แต่ดูสภาพแล้วนี่ยังไม่อาบน้ำชัวร์ ก็มีการ discuss กันว่าเราจะไปไหนกันไหมหรือจะนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้อง และแล้วมติก็จบลงด้วยการไปไหว้พระครับ สาวๆได้ขึ้นไปจัดการแต่งตัวและมาเรียกพวกผมอีกทีก็ประมาณ 12.00น.เห็นจะได้ ผมกับท่านอาจารย์แทบจะถอดใจไม่ไปอยู่แล้วนะเนี่ย สถานที่ที่เราจะไปนั้นห่างออกไปประมาณ 80กิโลเมตร เห็นจะได้ “วัดพระธาตุมหาเจดีย์” ครับ อยู่กลางป่าเลยครับต้นไม้ล้อมรอบดูเย็นตาและก็กว้างมากๆเลย ผมเลยเก็บภาพมาให้ทุกท่านได้ดู การที่เราได้ออกแรงขึ้นเขาและเดินชมสถานที่ใหญ่โตแห่งนี้ ก็ทำให้เรานั้นหิวขึ้นมา ทุกท่านจึงได้หาอาหารพื้นเมืองกระแทกท้องกัน ที่ใช้คำนี้เพราะสั่งมาเยอะมาก ส้มตำ ปลาเผา ไก่ย่าง ลาบ ต้มยำ โอว..และอีกหลายอย่าง จนเด็กเสริฟถามว่าจะหมดหรอค่ะ อาจารย์ได้ตอบกลับไปว่าไม่ต้องห่วงมีเทศบาลมาด้วยอย่างนายแม็กซ์ ฮ่าๆ ไม่เหลือ (-_-‘) เหอๆๆ ขำไม่ออก เหมือนผมเป็นตัวดูดยังไงไม่รู้ เราได้กลับเข้าเมืองมาที่วัด.......และทำการสักการะบูชาก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

ไม่นานนักหลังจากที่เรากลับเข้าห้องกันเสียงจากเบื้องบนก็มีคำสั่งลงมาว่าให้เราเตรียมตัวก่อนที่จะไปสู้งานระดับภาคในวันศุกร์ที่จะถึง งานเข้าเลยครับ...จะได้นอนเร็วๆกลายเป็นนั่งปั่นงานกันครับ ฮ่าๆ แต่ก็มันดีครับ ทำไปทำมาก็หิวอีกแล้วเพราะไม่ได้ทานข้าวเย็น จึงชวนกันไปเดินตลาดซัดลูกชิ้นไปเยอะเลย คนขายคงจะดีใจครับที่ทีมเราไป (ที่ไหนๆก็น่าจะดีใจ เพราะไม่มียั้งเลย) เพิ่มพลังกันแล้วเราก็กลับมาลุยกันต่อจนเข้านอน

กิจกรรมแรกในช่วงเช้าได้ผู้มาเสนอว่าตนเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ต้องทำด้วยความสุจริต จะเป็นการแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักประหยัดเพราะได้หาเงินด้วยตัวเอง รู้จักค่าของเงิน และต้องไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม ท่านต่อมาก็คิดว่าของตนนั้นดีเพราะมีความสวามิภักดิ์ต่อในหลวงของเรา เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ปฏิบัติตามกฎหมายและศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย ข้อนี้นั้นจะรวมถึงทุกๆหัวข้อได้เลย ที่สำคัญก็คืออยากให้พลเมืองบรรษัทไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวมเช่นกัน สำหรับท่านที่สามได้เลือกข้อพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม หารายได้เสริมโดยไม่ไปขอเงินจากผู้ปกครอง และอยากให้องค์กรมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องโปร่งใส

ในวันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์อภิชยา สายเชื้อ คณะวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ซึ่งท่านกล่าวว่า“ได้รับความรู้หลายอย่างและเป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะได้รู้ในส่วนของวิชาที่จะสอนด้วยในวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์และทำให้เริ่มรู้ถึงธุรกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ปกติส่วนภูมิภาคยังไม่ค่อยได้รับความรู้ในส่วนนี้เท่าไรนัก การที่ได้รับความรู้ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกิจในภายภาคหน้าได้ ถึงแม้ว่าเรื่องหน้าที่พลเมืองจะไม่เกี่ยวเนื่องโดยตรง แต่การที่ได้เรียนเรื่องนี้ก็จะแทรกซึมลงในจิตสำนึกในการทำธุรกิจก็จะได้มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นนะค่ะ”

“อาจารย์ครับถ้าจะมาอีกก็โทรมาหาผมได้นะ จะต้อนรับเต็มที่เลย จะพาไปกินต้มยำหรือผัดกระเพรากระปอมด้วย” กล่าวโดยผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเที่ยงกัน ผมงงเลย อะไรกระปอม?? กิ้งก่าครับ คิดภาพไม่ออกว่าจะกินยังไง ท่านยังจะให้ลองแย้ด้วยและผักต่างๆที่หาไม่ได้ในกรุงเทพฯอีกด้วย ผมคงไม่กล้าอะ แต่พี่ผึ่งทีมงานของเรารู้สึกยิ้มแย้มเป้นพิเศษครับ ทราบมาว่าเคยอาศัยอยู่ที่ร้อยเอ็ดนี้ในช่วงวัยเด็กเมื่อนานมาแล้ว

กิจกรรม CSR เชิงระบบนั้นผู้นำเสนออยากให้องค์กรเพิ่มความเข้าใจเรื่อง CSR ให้มากขึ้นเพราะว่ายังเป็นเรื่องใหม่ และทุกๆคนก็ควรจะได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะถ้าทำกิจกรรมใดๆแล้วไม่เข้าใจก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าทำได้บุคลากรในองค์กรจะสามารถบูรณาการ CSR มาใช้ได้อย่างดี องค์กรพัฒนาอย่างรวดเร็วและจะได้รับความรู้จักซ้ำยังได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกอีกด้วย การเข้าร่วมในความริเริ่มทางซีเอสอาร์โดยสมัครใจเป็นความต้องการของอีกท่านที่อยากให้องค์กรนั้นได้ทำ ต้องให้ความรู้และแสดงให้เห็นประโยชน์ของ CSR ทั้งยังทำประโยชน์ให้สังคมได้ มีการเผยแพร่และแลกเลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ท่านต่อมาก็เน้นในเรื่องความเข้าใจในเรื่อง CSR จัดอบรมและนำความรู้มาใช้ในองค์กรและแผนการดำเนินงาน มีการแนะนำและปรับปรุงการดำเนินงานเกี่ยวกับ CSR ทุกครั้งในส่วนที่ขาดหรือผิดพลาด

นอกจากนี้อาจารย์วิยะดา นัดที หัวหน้าแผนกคณะวิชาฝึกหัดธุรกิจวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด ได้ให้ความเห็นว่า “CSR ดูเป็นเรื่องใหม่และคิดว่าน่าจะเคยทำแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไง พอมาอบรมแล้วก็รู้ว่าระบบมันเป็นยังไง นอกจากจะสอนความรู้ด้านวิชาการแล้วก็ยังมีโครงการอบรมให้เกษตรกรเข้ามาอบรมในวิทยาลัยบ้างหรือออกไปสู่ชุมชนบ้างซึ่งนำความรู้ที่เรามีไปเผยแพร่ และยังมีโครงการทฤษฎีใหม่ซึ่งตามรอยพ่อในเศรษฐกิจพอเพียง ก็มีประชากรในท้องถิ่นมาขอดูงานบ้าง อย่างน้อยการให้ความรู้เด็ก ก็จะนำความรู้ไปใช้ในชุมชนได้ เราให้เด็กไปสอนชุมชนในการใช้บัญชีครัวเรือนให้รู้ถึงประโยชน์ อย่างน้อยเด็กก็จะได้รับผิดชอบในชุมชนที่เค้าอยู่”

มาถึงกิจกรรมที่เป็นที่โปรดปรานของทุกๆจังหวัด ก็คือ กิจกรรม Creative CSR ครับ เราได้โครงการที่น่าสนใจอาทิ “โครงการปลูกเห็ดปลอดสารด้วยน้ำหมักชีวภาพ” เน้นปลูกเห็ดฟางให้เจริญเติบโตโดยใช้น้ำหมักที่ผลิตเอง โดยการนำเศษอาหารต่างๆที่เหลือจากการประกอบอาหารมาหมักประมาณ 3 เดือน หรืออย่างเร็ว 1 เดือน ในช่วงที่รอน้ำหมักเห็ดก็จะเจริญงอกงามน้ำหมักก็จะสามารถพ่นได้ทันตามเวลาของเห็ดพอดี นำเห็ดไปประกอบอาหาร ถ้ามีเยอะก็สามารถนำไปจำหน่ายเพื่อชุมชนจะได้มีรายได้ และเพิ่มความสามัคคีอีกด้วย

ต่อมาคือ “โครงการหนังสือมือสอง เพื่อน้องของพี่ แบ่งปันความรู้ ภูมิปัญญาสู่ท้องถิ่น” รับบริจาคหนังสือที่ไม่ใช้แล้วมารวมกัน จัดเป็นแนวห้องสมุด ให้เป็นธุรกิจโดยใช้ชื่อว่า ห้องสมุด 1 บาท ทำในรูปแบบห้องสมุดเคลื่อนที่และใช้สโลแกนว่า “แหล่งความรู้ตลอดชีวิต” ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความรู้ เช่นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้คู่กับภูมิปัญญาชาวบ้านโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการเสริมกิจกรรมนันทนาการ ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์โดยเน้นการให้ทุกคนมีส่วนร่วม

และ“โครงการชม ช็อป ผ้าไหมหวายหลึม” มีการประสานงานจากทั้งภาครัฐและเอกชน ขอความร่วมมือจากองค์กรส่วนท้องถิ่น มีการประชาสัมพันธ์ตามสื่อ มีการพาเยี่ยมชมตั้งแต่เริ่มเลี้ยงไหม จนถึงการทอผ้าไหม นำมาแปรสภาพเป็นสิ่งทอต่างๆ เช่น เสื้อ กางเกง กระเป๋า ผ้าพันคอ หมวก เป็นต้น มีการจัดเดินแฟชั่นผ้าไทย และมีการเชิญรายการทีวีมาอัดรายการเช่น รายการกบนอกกะลา มีการจัดขายผ้าไหม มีคนรู้จักผ้าไหมของจังหวัดร้อยเอ็ดมากขึ้น สร้างรายได้ให้กับชุมชน สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ซื้อสินค้า
ก่อนถึงช่วงสุดท้ายของกิจกรรมในวันนี้ ผมยังได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์อัจฉราวดี ศรีรัตน์ วิทยาลัยร้อยเอ็ด ซึ่งท่านกล่าวกับผมว่า “ครั้งนี้พาเด็กๆมาด้วย วันนี้ก็ได้ความรู้เรื่องการปฏิบัติหน้าที่การพลเมืองที่ดีและการกระทำต่อสิ่งแวดล้อม ดีนะค่ะที่ได้มาอบรมเพราะได้ให้ความรู้กับเด็กด้วยและก็เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันได้ระหว่างสถาบัน ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเลยก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกันด้วย สำหรับหน้าที่พลเมืองนั้นก็จะเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันและรักษาสิ่งแวดล้อม และนำคำสั่งสอนทางศาสนามาบูรณาการการสอนในสถาบันได้ค่ะ
การอบรมมาถึงในช่วงสำคัญอีกช่วงก็คือช่วงแจกรางวัลนั้นเอง เหอๆๆ เวลาให้ออกมานำเสนอละไม่มีคนอยากจะยกมือ พอตั้งคำถามแจกรางวัลยกกันทั้งห้อง เลือกคนตอบไม่ถูกเลย ฮ่าๆ ครับแต่ก็เฮฮาสนุกสนานดี มันต้องอย่างนี้ครับ การมาในครั้งหน้าเราอาจจะได้ผู้ที่มาในวันนี้มาร่วมอีกก็เป็นได้ น้องๆบางคนก็อยากจะให้ผมถอดเสื้อให้เหลือเกิน มันไม่ได้ครับผมจะใส่อะไรกลับละ 5 วันเอามาตัวเดียวเนี่ย (ล้อเล่น..ใครจะสกปรกขนาดนั้น) หลังจากที่เรากล่าวปิดการบรรยายแล้วนั้น ก็เตรียมตัวไปงานอบรมระดับภาคกลางทันทีที่จังหวัดชลบุรี คงต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมงครับ เหอๆๆ ไม่อยากจะนึกเลย ว่าทีมเราจะถึงกี่โมง...ครับแต่เพื่อความมันและรับผิดชอบในหน้าที่ เราได้มุ่งหน้าออกไปทันที อาหารเย็นไว้ไปหาเอาดาบหน้า ส่วนทีมของอาจารย์ฌาญสิทธ์นั้นได้ไปเตรียมการณ์รอเราอยู่แล้วครับ
ระหว่างทางที่ไปฝนก็ต้องลงมาตลอดเป็นระยะค่อนข้างนาน ทำให้การเดินทางไม่ค่อยจะรวดเร็วนัก แต่เราก็ไม่ได้สนใจมากครับเพราะตานั้นจดจ่ออยู่กับหนังที่เปิดดูนั่นเอง เราจะไปทำอะไรกันนั้นหรือมีกิจกรรมอะไรขนาดไหนนั้น มีผู้บริหารท่านใดมาบ้าง บริษัทอะไรบ้างและมาให้ความรู้อะไรกับทุกๆท่าน ต้องติดตามนะครับผม และท่านจะได้รู้ข้อคิดอะไรดีๆมากมาย แล้วเจอกันครับ! มาปิดจังหวัดนี้กับการตีฆ้องให้ชื่อเสียงของกลุ่มเราดังกระฉ่อนไปทั่วไทย...เย้!

2 ความคิดเห็น:

  1. อนุโมทนาบุญด้วยครับ ดูจากท่าตีฆ้องแล้ว คุณดังกระฉ่อนแน่นอน!!! ขอฟันธง!!!

    อยากให้ “โครงการหนังสือมือสอง เพื่อน้องของพี่ แบ่งปันความรู้ ภูมิปัญญาสู่ท้องถิ่น” เกิดขึ้นนะครับ จะได้นำหนังสือที่มีไปร่วมด้วย พี่แม๊กซ์ริเริ่มดิ ผมจะได้ร่วมด้วย

    ตอบลบ
  2. ขออนุโมทนาด้วยคนะจ๊ะ

    ชอบโครงการหนังสือมือสอง เช่นกันนะ อยากให้จัดโครงการนี้ให้ทั่วๆ ทั้งประเทศเลย เพราะเชื่อว่าหนังสือดีๆ ที่ทุกคนเคยอ่านย่อมอยากจะเผยแผ่ให้คนอื่นรู้ด้วย เป็นการทำบุญให้ความรู้เปิดโลกทัศน์ให้ผู้อื่น ดีค่ะ

    ก็ขอให้ทำงานสนุก เดินทางปลอดภัย นอนหลับสบายนะจ๊ะ

    ตอบลบ