วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อุดรธานี

การเดินทางในทริปนี้รู้สึกว่าทีมเราไม่ค่อยจะได้ทานข้าวเย็นกันซักเท่าไรครับ เพราะอบรมเสร็จในแต่ละวันก็หาอะไรทานรองท้องกันตลอดพอ 18.00น.-19.00น. ก็ไม่หิวซะแล้ว เราได้มาถึง “โรงแรมเจริญศรีแกรนด์รอยัล” จังหวัดอุดรธานี ผมได้เหลือบไปเห็นร้าน Pizza & Steak ทางด้านข้างของโรงแรม พยาธิในท้องก็เหมือนจะเรียกร้อง แต่คิดว่าถ้าสั่งมาผมคงต้องมานั่งกินคนเดียวชัวร์เลยจึงต้องหักห้ามใจเอาไว้

ทุกๆคนได้แยกย้ายกันเข้าห้อง ไม่นานนักพี่ๆทีมงานสาวสองท่านก็โทรมาชวนไปเดินซื้อของในห้างใกล้เคียงแต่ผมกับอาจารย์อยากจะพักเหลือเกินจึงได้ปฏิเสธไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก พี่ๆโทรมาอีกละ ถามยังพูดว่าเสียดายที่ไม่ยอมออกไปด้วยกัน คนที่นี่สวยๆทั้งนั้นเลยไม่แพ้เด็กในกรุงเทพฯ เลยจะบอกให้ แต่ผลลัพธ์กับเป็นว่าผมสองคนไม่ได้ให้ความสนใจเลยซักนิด เพราะอยากนอนอยากพักอยู่ในห้องเฉยๆ (ประมาณว่าหมดแรง หมดอารมณ์ ผิดคาดครับ เหอๆ) แต่พลังงานของพี่สาวเราช่างเหลือเฟือจริงๆทุกวันพฤหัสบดีทีไรก็ต้องนอนดึกอีกแล้ว เพราะรายการ “ล้วงลับตับแตกกับเป็นต่อ” ไม่รู้จะเลือกดูรายการไหนดีครับ เพราะคลายเครียดได้ทั้งคู่ แต่ดูไปได้ไม่เท่าไรผมก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ตอนไหนก็ไม่รู้

จะว่าไปแล้วหลายๆวันที่ผ่านมาผมลุกขึ้นก่อนนาฬิกาปลุกเสมอประมาณ 1ชั่วโมง ก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงรอเปิดประตูให้กับพี่คนขับรถขึ้นมาอาบน้ำ ผมก็ได้เปิดดูข่าวช่อง 3 รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เรื่องไข้หวัด 2009 ดูท่าก็ยังไม่ลดลงเลย มีข่าวเสียชีวิตอีกแล้วและเป็นคนที่สามารถเขียน Font ภาษาไทยในการใช้โทรศัพท์ IPhone ได้เป็นคนแรก น่าเสียดายจริงๆ ครับ อายุยังน้อยด้วย เรื่องน้ำมันในส่วนของ Nymex กับ Brent ก็ดูจะสูงขึ้นตลอด ยังดีที่บ้านเราอิงกับ Dubai ที่ยังมีทั้งขึ้นทั้งลงบ้าง ไม่งั้นคนใช้รถในบ้านเราได้อ้วกแน่ วันนี้เราลงมาห้องอบรมก็ประมาณ 8.00 น. พี่ผึ้งกับพี่แอนจะหน้าเขียวใส่ไหมเนี่ย (ผมคิดในใจ) แต่ก็ยิ้มแย้มดีสงสัยวันนี้ท่าทางพี่ๆจะลืมทานยา ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันที่คนมาเยอะที่สุดของการเดินทางมาในครั้งนี้ครับ ห้องอบรมก็ดูหรูหราใหญ่โตทีเดียว “ห้องแกรนด์รอยัลบอลลูม” ส่วนห้องข้างๆก็มีการจัดอบรมของธนาคารกรุงเทพครับ วันนี้มีผู้ใหญ่ที่โชกโชนกับมุขพอดูทีเดียวเพราะผมได้ถามไปว่ามีนกกี่ตัวในสารคดี ท่านได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจว่า 2ตัว ตัวผู้กับตัวเมีย ผมหน้าหงายเลยเจอมุขสวนกลับ ฮ่าๆๆ ก็เป็นผลดีครับเพราะท่านให้บรรยากาศเป็นกันเองดี

Exercise หน้าที่พลเมืองได้ผู้นำเสนอว่าเป็นผู้มีความเพียรหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา และมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทำงานสุจริต ถือศีล 5 ทำบุญและทำกรรมดี มีความรัก เทิดทูนตลอดเวลาและมีพระบรมฉายาลักษณ์ติดไว้ที่บ้านเพื่อเคารพบูชา ความเป็นพลเมืองบรรษัทก็อยากจะให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสพร้อมทั้งสนับสนุนการดำเนินกิจการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามบทบาทที่เอื้ออำนวย ท่านต่อมาก็เลือกในทุกหัวข้อเว้นแต่การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัด ท่านให้เหตุผลว่าคำว่าเคร่งครัดอาจจะทำให้ทำไม่ได้ทุกครั้ง จึงไม่เลือกในข้อนี้ มีความเชื่อมั่นในการสร้างคนดี ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น พยายามรักษาคำพูด นำคำสอนของพ่อมาประยุกต์ใช้ สำหรับในความเป็นพลเมืองบรรษัทท่านได้เลือกทุกๆหัวข้อเพราะอยากจะให้เกิดความสุขส่วนรวมในท้องถิ่น

ในวันนี้ ผศ.ดร.ธวัช สุทธิกุลสมบัติ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้พูดกล่าวกับผมว่า “ได้รับหนังสือเชิญจากไทยพัฒน์และก็ได้เห็นข้อความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ CSR จึงสนใจ วันนี้ได้ความรู้ 2 อย่าง อย่างแรกเป็นความรู้ด้านจิตใจที่ต้องทำเพื่อสังคม อย่างที่สอง คือ ความรู้ในเชิงปฏิบัติการจากความรู้ในช่วงบ่าย ไม่อยากให้มาปีละครั้ง อยากให้มีความถี่นิดหนึ่ง ผมอยากให้จัดในส่วนของภาคเอกชนเยอะๆ หน่อย หน้าที่เป็นพลเมืองจะนำไปสอนได้ก็เป็นงานหลักอยู่แล้วด้วยเพราะผมเองก็สอนในวิชาพัฒนาสังคม นักศึกษาที่เข้ามาอบรมนี้น่าจะเอาความรู้ไปกระจายได้ครับ”

การรับประทานอาหารกลางวัน ผมก็ได้ความรู้และความเคลื่อนไหวซ้ำยังสถานการณ์ต่างๆของคนแถบนี้อีกด้วย ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็ได้แชร์ความรู้และประสบการณ์กับเราว่าอีกไม่กี่ปี ลาวจะเจริญมากและเงินที่จะเข้าไปประเทศเค้าก็จะมากขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการค้าขายระหว่างไทยลาว ลาวไม่เคยได้ดุลจากประเทศเราเลยแม้แต่ปีเดียว แต่อีกไม่นานเราจะแย่แน่ ตอนนี้แถบจังหวัดเลยเริ่มที่จะปลูกยางพารากันมาก และแรงงานลาวที่มาทำงานในบ้านเราก็เยอะ แต่ลาวเองก็เริ่มปลูกยางพาราขึ้นเยอะเช่นกันเห็นว่าประมาณเป็นล้านไร่ แรงงานที่มาฝั่งบ้านเราก็จะถูกดึงตัวกลับไป แล้วบ้านเราก็จะไม่มีคนกรีดยางทำให้ธุรกิจดำเนินการไปอย่างยากลำบาก อีกหน่อยพืชเศรษฐกิจต่างๆของเราก็จะสู้ลาว เวียดนามไม่ได้แล้ว นักลงทุนจากจีนมีการเช่าพื้นที่ในประเทศลาว เขมร เวียดนามในการปลูกพืชต่างๆ และนำกลับประเทศตัวเองในราคาที่ถูกและแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกมาในราคาที่แพงขึ้นทวีคูณ ตามองค์กรต่างๆในประเทศไทยนั้นคนที่ทำงานจริงๆจังๆ มีอยู่แค่ 10% นอกนั้นก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง บ้านเมืองเราถึงไม่เจริญไม่สามัคคีและไม่เป็นปึกแผ่นซักที และยังมีอีกหลายๆ อย่างในการสนทนาที่ไม่อาจนำมาพิมพ์ลงไปได้ แต่ผมก็ได้รับรู้อะไรเยอะแยะจริงๆครับ

การเต้นออกกำลังกายวันนี้ก็สนุกอีกแล้วครับ เพราะมีพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งตอบว่าเต้นแอโรบิคหน้าโลตัส ผมจะให้เธอออกมานำแต่เธอดันท้องอยู่ จึงไม่สะดวก “ถ้าพี่ไม่ท้องพี่ไม่ถอยแน่” เธอกล่าว ผมจึงบอกให้เธอมาอีกทีปีหน้าจะได้มานำได้ เธอก็ตอบกลับมาว่าปีหน้าก็ท้องอีกค่ะ ทำให้ท่านอื่นๆ หัวเราะกันอย่างสะใจ (สงสัยเธอจะว่างมากครับไม่รู้จะขยันผลิตสินค้ามารับใช้ชาติไปไหน) วันนี้ผู้ใหญ่ที่มาอบรมส่วนมากก็ส่ายกันได้มันจริงๆ เพลงจบก็ยังอารมณ์ค้างอยู่เลย บางท่านยังบ่นว่าอะไรยังไม่หายมันเลย

CSR เชิงระบบ ผู้นำเสนอท่านแรกอยากให้องค์กรทำกิจกรรมเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่อง CSR ต้องให้ความรู้ ความเข้าใจ ความหมาย การนำมาใช้และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ เพื่อเป้าหมายสูงสุดขององค์กรด้วย สอนถึงทฤษฎี ผู้ถ่ายทอดนำไปปฏิบัติประสานกับงานที่รับผิดชอบอยู่ให้เกิดเป็นรูปธรรม มีการติดตามประเมินผล คิดผลงานเป็นเปอร์เซ็นต์ การที่ทำกิจกรรมเหล่านี้สำเร็จได้ก็จะมีความซื่อสัตย์ สามัคคีและมีวินัย ท่านต่อมาเลือกในหัวข้อเดียวกัน ต้องสร้างวินัยทาง CSR ทำให้พนักงานรับรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ จัดทำแผนงานให้กับผู้บริหาร กำหนดผลลัพธ์ในการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ประเมินผลและขยายความรู้สู่องค์กรอื่นๆ นำองค์ความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ผมยังได้มีโอกาสสนทนากับ อาจารย์ศิริวรรณ สอนคุณแก้ว จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี ซึ่งท่านกล่าวว่า “เนื่องจากเราเป็นสถานศึกษาและเน้นทางสายอาชีพ เค้าก็เรียนในวิชาธุรกิจและผู้ประกอบการ จึงคิดว่าความรู้นี้ดีมาก คิดว่ามาจัดให้ดี เพราะอุดรธานีเป็นเมืองธุรกิจ ถ้าให้ข้อมูลในเรื่องนี้จะเป็นการปลูกฝัง อยากให้นักธุรกิจเข้ามาร่วมมากกว่านี้ ในฐานะที่เราเป็นสถานศึกษาก็จะปลูกฝังเด็กได้และสร้างทัศนคติที่ดี นำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปประยุกต์ใช้ได้ เค้าจะได้รับข้อมูล ในอนาคตถ้าเค้าไปเป็นผู้ประกอบการก็จะนำไปใช้ได้และรู้จักรับผิดชอบ การทำธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”

สำหรับกิจกรรม Creative CSR เราได้ “โครงการนำมูลสัตว์มาทำปุ๋ย” รวบรวมเพื่อนๆที่มีใจรักสิ่งแวดล้อม ประสานงานกับวิทยาลัยเพื่อหาข้อมูลการทำมูลสัตว์มาหมักทำปุ๋ย นำมูลสัตว์จากฟาร์มมาหมักโดยราดด้วยน้ำ EM ประมาณ 1 เดือน นำมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ คือ EM น้ำปลาหมัก ไข่บด หอยบดและไคโตซาน เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของมูลสัตว์ นำเข้าเครื่องอัดเม็ด บรรจุกระสอบรอจำหน่าย นักศึกษาจะมีรายได้ เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพและรักษาสิ่งแวดล้อม”

โครงการต่อมา คือ “โครงการเปลี่ยนหลังคาเป็น Solar Cell เพื่อพลังงานทดแทน” แนะนำวิธีในการดำเนินการ อธิบายประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ จัดหาอุปกรณ์และทดลองในหมู่บ้าน จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม กระแสไฟเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ มีการเก็บแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานจากตอนเช้าเนื่องจากประเทศเรามีแดดทั้งปียิ่งเป็นผลดีอย่างมากในการลงทุน ทั้งยังเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้และสามารถนำมาใช้ในเวลากลางคืนอีกด้วย ลดการใช้พลังงานจากโรงงานผลิตไฟฟ้า ช่วยลดโลกร้อน

และ “โครงการประสานวัฒนธรรมอาสานำพาท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” จัดหาอาสาสมัครจากสถานศึกษาเยาวชนและชาวต่างชาติ ทดลองปฏิบัติงานจริง มีการของบประมาณจากภาครัฐ เราจะได้ความรู้ความเข้าใจในแหล่งกำเนิดและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว จะมีรายได้จากการท่องเที่ยว ได้เรียนรู้ภาษาใหม่ๆจากชาวต่างชาติที่มาเที่ยว แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน มีส่วนในการดึงเงินเข้าประเทศและเพิ่มรายได้ให้ชุมชน น้องๆนักศึกษาก็จะได้มีการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ก่อนจบกิจกรรมในวันนี้ อาจารย์วิมล ศิริพิริด์ จากวิทยาลัยเกษตรกุมภวาปี ได้กล่าวว่า “ถือว่าได้ความรู้ในหน้าที่ตนเอง นำความรู้ที่ได้ไปใช้และไปรับใช้สังคม คิดว่าดีที่มาที่นี่ เป็นการกระจายให้ทุกคนได้เข้าถึงและมีส่วนร่วม ถ้าในอนาคตลงลึกเข้าสถานศึกษาได้ก็ยิ่งดี เพราะการมาวันนี้อาจจะไปขยายได้ไม่ชัดเจน ในเรื่องหน้าที่พลเมืองต่างๆก็จะนำไปสอนให้กับนักศึกษาและปรับปรุงการปฏิบัติตัว มีการทำกิจกรรมต่างๆ ทางศาสนา สวดมนต์ ไหว้พระทุกวันศุกร์เพื่อเป็นการเพิ่มคุณธรรม จริยธรรมให้ดี”

การอบรมวันนี้ก็เสร็จสิ้นลงพร้อมกับเสียงปรบมือให้กับท่านวิทยากรอาจารย์วุฒิพงศ์ บัวบุตร์ ครับ หลายๆ คนก็อยากที่จะได้เสื้อกับทางเรามากครับ เราก็ได้เชิญหลายๆท่านให้ไปร่วมงาน CSR ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย ก็มีการขอดึงภาพที่เราได้ถ่ายไว้และสารคดีวีดีทัศน์ของเรา น้องๆ นักศึกษาก็ลากลับกันไปอย่างเรียบร้อย ไม่รอช้าหลังจากที่ทุกๆ คนได้แยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เราก็รีบเก็บของกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะว่าวันนี้เราจะได้กลับบ้านแล้ว แต่ระยะเวลาในการเดินทางคงต้องใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมงเห็นจะได้

หลังจาก Check Out เรียบร้อยเราก็เคลื่อนทัพออกทันทีมุ่งหมายสู่กรุงเทพมหานครอย่างไม่รีรอต่อสิ่งใดทั้งนั้น พวกพี่ๆ ก็คงจะคิดถึงคนที่บ้านมากเลย เหอๆ ไม่มีการแวะซื้อลูกชิ้นรองท้องอย่างใดทั้งสิ้น ฮ่าๆ แต่แล้วก็ทนกันไม่ไหวจนได้ ต้องแวะทานแหนมเนืองปิดท้ายและก็ซื้อของฝากกลับบ้านกัน ดูจากการซื้อของฝากแล้วคิดว่าพี่แอนคงไม่เคยได้ออกไปไหนรึเปล่าเพราะว่าซื้อเยอะมาก สงสัยเอาไปฝากทั้งหมู่บ้าน การเดินทางของทีมเราในคราวนี้ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การเดินทางของเราในคราวหน้าก็มีระยะห่างจากทริปนี้ไปประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ขอให้ทุกๆ ท่านติดตามการเคลื่อนไหวของเราชาว CSR Campus ด้วยนะครับ แล้วเจอกันครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น