เฮ้ย ! ตื่น ๆ เสียงปลุกจากหนุ่มตี๋ใส่แว่น (พี่บอยนั่นเองครับ) ทำให้เปลือกตาของกระผมลืมโพลงขึ้นทั้ง 2 ข้างในเวลา 6.10 น. นอนคิดในใจว่าเป็นประวัติการณ์ครับ วันนี้พี่บอยตื่นก่อนกระผม แต่ยังไงก็แล้วแต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ถึงใครจะตื่นก่อนหรือหลัง กระผมก็ยังคงได้สิทธิ์อาบน้ำก่อนเสมอๆ
หลังจากกระผมทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็มานั่งดูข่าวเพื่อตรวจสอบข่าวสารรอบตัวสักเล็กน้อย ข่าวส่วนใหญ่ของวันนี้ไม่ค่อยมีหลินปิงแล้วครับ (สงสัยจะเริ่มเลิกเห่อ) มีข่าวพวกโจรกรรมมาทดแทน เช่น การโจรกรรมทองเหลืองจากโกศ แล้วนำอัฐิที่หลงเหลือใส่ไว้ในแก้วน้ำแทน (เฮ้อ นี่หรือเมืองพุทธ) ตอนนี้สมองกระผมก็เริ่มกระบวนการขบคิดตัวปัญหาโจรกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรหนอ ...... ใช่แล้วครับ ต้นตอปัญหามาจากปัญหาเศรษฐกิจนั่นเอง ก็ลองคิดดูเล่นๆ ว่า หากคนเรามีกินมีใช้ แล้วจะลดตัวไปเป็นโจรเหรอครับ (เห็นด้วยมั้ยครับพี่น้องชาว Blog)
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าต้นเหตุส่วนหนึ่งของปัญหาเศรษฐกิจชาติมาจากคนไทยในปัจจุบันขาดความเป็นชาตินิยม เช่น ถ้ามีสินค้า 2 ชนิด ชนิดแรก Made in Thailand ชนิดที่สอง Made in Japan ผมเชื่อเหลือเกินว่าต้องมีคนไทยเกินครึ่งเลือกผลิตภัณฑ์ Made in Japan อย่างไม่ลังเล ยึ่งถ้าเทียบระหว่างแบรนด์ของ Japan กับแบรนด์ของ Thailand ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับว่าแบรนด์แรกคงชนะอีกตามเคย ซึ่งหากผลลัพธ์แบบนี้ยังดำเนินอยู่เรื่อยๆ เม็ดเงินบ้านเราก็ต้องออกสู่สากลอย่างไม่ต้องคิด แล้วผลที่ตามมาก็คือ เศรษฐกิจประเทศไทยก็จะยังคงรักษาความห่วยแบบนี้ไปอย่างยาวนานครับ
การจะสร้างความเป็นชาตินิยมนั้น มิใช่สร้างได้เพียงปีสองปีครับ ต้องสร้างนับเป็นศตวรรษ ดูตัวอย่างแบบญี่ปุ่นสิครับ กว่าจะมีวันนี้ก็ต้องนับไปตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองนู้น ... ซึ่งหากเรามองประเทศไทยในยุคที่มีความเป็นชาตินิยมที่สูงสุดยุคหนึ่ง คงปฏิเสธยุคของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ยากนะครับ ผมเคยมีโอกาสไปทานอาหารร้านเย็นตาโฟเครื่องทรงของ อ.มัลลิการ์ ผมสังเกตเห็นป้ายข้อความหนึ่งซึ่งเป็นของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เกี่ยวกับการรณรงค์ทานก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมีข้อความดังนี้
“อยากให้พี่น้องกินก๋วยเตี๋ยวให้ทั่วกัน เพราะก๋วยเตี๋ยวมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีรสเปรี้ยว เค็มหวานพร้อม ทำเองได้ในประเทศไทย หาได้สะดวกและอร่อยด้วย หากพี่น้องชาวไทยกินก๋วยเตี๋ยวคนละหนึ่งชามทุกวัน วันหนึ่งจะมีคนกินก๋วยเตี๋ยวสิบแปดล้านชาม ตกลงวันหนึ่งค่าก๋วยเตี๋ยวของชาติไทยหนึ่งวันเท่ากับเก้าสิบล้านสตางค์ เท่ากับเก้าแสนบาท เป็นจำนวนเงินหมุนเวียนมากพอใช้ เงินเก้าแสนบาทนั้น ก็จะไหลไปสู่ชาวไร่ ชาวนา ชาวทะเลทั่วกันไม่ตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียว และเงินหนึ่งบาทก็มีราคาหนึ่งบาท ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เสมอ ไม่ใช่ซื้ออะไรก็ไม่ได้เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งเท่ากับไม่มีประโยขน์เต็มที่ในค่าของเงิน”
ท่านผู้ชม Blog คงมีความคิดคล้ายกับผมเมืออ่านจบว่าถ้าเรามีความเป็นชาตินิยมภูมิใจในสินค้าของไทยเอง เม็ดเงินย่อมไม่รั่วไหลออกไปต่างประเทศอย่างแน่นอน แถมต่างชาติยังต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยอีกต่างหาก ซึ่งหากปรากฏการณ์อย่างที่กระผมได้กล่าวไว้เกิดขึ้นได้จริง ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน รวมถึงปัญหาโจรขโมยย่อมลดลงด้วยเช่นกัน (แค่ปัญหาโจรกรรมทองเหลืองยังพล่ามมาได้ขนาดนี้เลยเรา)
เข้าสู่ช่วงเวลา 7.20 น. ผมกับทีมงานก็เริ่มจัดของเตรียมต้อนรับชาว CSR Campus จังหวัดระยอง บรรยากาศในวันนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่จะมาจากภาคอุตสาหกรรม แซมด้วยน้องๆ จากสถานศึกษาบ้าง (แหมก็เมืองระยองเป็นนิคมอุตสาหกรรมนี่นา) โดยในช่วงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีผู้อภิปรายหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การเป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ด้วยการน้อมนำแนวทางพระราชกรณียกิจต่างๆ มาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง การช่วยเหลือสังคมและผู้ด้อยโอกาส การทำความดีแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ และการช่วยเหลือผู้อื่นเวลาเดือดร้อน เป็นต้น
ในการอภิปรายเรื่องหน้าที่พลเมืองขององค์กรธุรกิจ อยากให้องค์กรมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริง อยากให้ผู้บริหารมีการเปิดเผยข้อมูลแก่พนักงานเพื่อให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรอย่างเป็นเอกภาพ รวมทั้งอยากเห็นองค์กรธุรกิจทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและความเสี่ยงรอบด้าน
ในช่วงกิจกรรม CSR เชิงระบบ มีการนำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การเข้าร่วมในความริเริ่ม CSR โดยสมัครใจ ด้วยการจัดกิจกรรม “CSR สำนึกรักบ้านเกิด” เริ่มจากการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ CSR ให้แก่พนักงานที่ชัดเจน แล้วจึงให้พนักงานมีส่วนร่วมในการคิดค้นและนำเสนอกิจกรรม CSR รวมทั้งนำกิจกรรมที่ได้รับการคัดเลือกไปปฏิบัติในบ้านเกิดของตนเอง หัวข้อต่อมาเป็นการสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร ด้วยการจัดกิจกรรมให้พนักงานได้รับทราบความหมายและความสำคัญของ CSR อย่างชัดเจน เพื่อเป็นฐานสำคัญในการเสริมสร้างให้พนักงานสามารถดำเนินกิจกรรม CSR สำหรับชุมชนได้ต่อไป
กิจกรรม CSR เชิงสร้างสรรค์ที่ชาวระยองได้ร่วมกันระดมสมองมีดังนี้ “โครงการอากาศสดชื่น คืนความสดใส ใส่ใจระยอง” เนื่องจากระยองมีโรงงานอุตสาหกรรมมากและมีมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม จนปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ โครงการนี้จะเน้นการปกป้องด้วยการปลูกต้นไม้ในบริษัท อาจมีการประกวดสวนสวยในโรงงานอุตสาหกรรม และการรณรงค์ให้ความรู้ ความเข้าใจ กับชุมชนในเรื่อง CSR ของบริษัท โดยจะเน้นการให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยการเป็นหูเป็นตาให้ช่วยสอดส่องดูแลด้วย
กิจกรรมต่อมา คือ “โครงการคืนปี่ให้พระอภัยมณี ฮิฮิ” โดย "ปี่" หมายถึง ป่าไม้ และ "พระอภัยมณี" หมายถึง จังหวัดระยอง เนื่องจากปัจจุบันจังหวัดระยองมีมลพิษทางอากาศค่อนข้างมาก กิจกรรมนี้จะเป็นการปลูกป่าไม้เพิ่มในจังหวัดระยอง จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนและองค์กรในมาบตาพุดได้มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ที่ใกล้สูญหายจากจังหวัดระยองด้วย
กิจกรรมส่งท้าย คือ “โครงการชาวระยองร่วมใจ คัดแยกขยะ ลดภาวะโลกร้อน” เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันของจังหวัดระยองมีปริมาณขยะจำนวนมาก และมีที่กำจัดขยะไม่เพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาขยะเยอะ โครงการนี้จึงเน้นการให้ความรู้ในการคัดแยกขยะในครัวเรือนด้วยหลัก Reduce Reuse และ Recycle พิจารณาจัดตั้งธนาคารขยะเพื่อรวบรวมขยะ Recycle นำไปขายได้เป็นเม็ดเงินที่สามารถนำมาหมุนเวียนปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำให้แก่สมาชิกได้อีก
วันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์มงคล แกร่งกล้า จากวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย ซึ่งท่านได้ให้ทัศนะต่อการเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ว่า “วันนี้ได้รับความรู้ว่า CSR คืออะไร และเริ่มเข้าใจว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจต้องมีการคำนึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการคำนึงถึงผลกำไรอย่างเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ องค์กรธุรกิจก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน ส่วนเนื้อหาเรื่องของพลเมืองบรรษัทนับเป็นเรื่องที่สำคัญต่อนักศึกษามาก เพราะในภายภาคหน้านักศึกษาเหล่านี้ก็ต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรปลูกฝังให้แก่นักศึกษาแต่เนิ่นๆ”
ในที่สุดกิจกรรม CSR Campus ณ จังหวัดระยอง ก็ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สำหรับวันนี้ทีมงานของเราไม่มีเวลาที่จะเถลไถลที่ไหนหรอกครับ เพราะต้องรีบมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรีเพื่อเตรียมงาน CSR Campus ระดับภาคกันต่อ และในการจัด CSR Campus ทีมงานกระผมกับทีมงานคุณแม๊ค (คงยังจำได้นะครับ) ก็จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรวมถึงการมาของพี่ๆ สาวสวยกับหนึ่งหนุ่มนั่นก็คือ พี่หมู พี่แนน และน้องอาลีฟครับ
ขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าไปรับพี่หมู พี่แนน และน้องอาลีฟ เพื่อจะไปทานข้าวเย็น ในรถตู้เราก็กำลังชม Concert B Day อยู่ด้วยครับ คอนเสิร์ตดังกล่าวเป็นคอนเสิร์ตสุดท้ายของค่าย Bakery ก่อนที่จะถูกยุบ ซึ่งศิลปินที่มาร่วมส่วนใหญ่ก็จะเป็นศิลปินที่เคยอยู่ค่าย Bakery ทั้งหมด โดยศิลปินที่ในรถตู้เราต่างโหวตให้โดดเด่นที่สุดก็คือ คุณป้ากมลา สุโกศล จากการขับกล่อมบทเพลง Live & Learn ซึ่งในเนื้อเพลงกล่าวไว้ว่า “อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่หวัง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” แหม มันช่างกินใจกระผมจริงๆ ถือว่าต้องนำไปบรรจุเป็นหนึ่งใน Key Word ไว้สำหรับช่วงที่ท้อแท้ได้เลยทีเดียว ผมคิดว่าหากให้ท่านผู้ชม Blog ได้ลองเห็น MV สักครั้ง ก็คงเกิดความรู้สึกดีเหมือนกระผมมิใช่น้อย
เป็นยังไงครับ หลังจากดู MV เรียบร้อย ก็คงจะรู้สึกอมยิ้มเหมือนกระผมใช่ไหมครับ และแล้วเราก็ได้รับพี่สาวสุดสวยและน้องชายสุดหล่อไปทานอาหารร้านป้าประไพแล้วครับ อาหารสุดยอดมากครับ คำว่าเผ็ดคงเป็นนิยามสั้นๆ ที่ใช้อธิบายร้านนี้ได้อย่างดีทีเดียวครับ หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าสู่โรงแรมแอมบาสเดอร์ซิตี้ จอมเทียน เพื่อเตรียมงาน CSR Campus ระดับภาค ในวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อครับ
โปรดอย่าลืมติดตาม Blog ของกระผมต่อไปนะครับ ดูว่างาน CSR Campus ระดับภาคที่จังหวัดชลบุรีจะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง อย่าพลาดเชียวนะครับ สุดท้ายนี้ก็ขอบอกว่า
ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย
ก้อดีนะ
ตอบลบถ้าทุกคนและทุกหน่วยงานคิดได้ทำได้ก้อดีซิ
หนับหนุนๆๆๆๆ
ขอเป็นส่วนหนึ่งค่ะ
ดีใจจังที่เห็นว่าโรงงานอุตสาหกรรมหันมาสนใจและใส่ใจกับเรื่อง CSR มากขึ้น แล้วก็ชอบเพลง Live and Learn เหมือนกัน ชอบประโยคเดียวกับผู้เขียนจ้ะ "“อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่หวัง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” อย่าลืมอยู่กับปัจจุบัน ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อนะจ้ะ
ตอบลบส่วนกิจกรรมก็คิดชื่อได้สร้างสรรมากๆ ชอบ ชอบ “โครงการคืนปี่ให้พระอภัยมณี ฮิฮิ" คิดได้ไงเนี่ย ว่าปี่เป็นป่า แฮะ แฮะ อีกหน่อยเราอาจจะได้ยินคนระยองรณรงค์กันไปปลูกปี่ ฮิ ฮิ