วันนี้เป็นวันแรกที่กระผมเริ่มทัวร์ CSR Campus ณ ภาคอีสานนะครับ ส่วนตัวมีความรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย ซึ่งจังหวัดแรกที่ทีมของเราจะเข้าไปบุกเบิกให้ความรู้ CSR ก็คือ จังหวัดศรีสะเกษ นั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ ทีมงานอีกทีมก็ไปบุกเบิกบางจังหวัดในภาคอีกสานไว้เรียบร้อยแล้ว (ใช่มั้ยครับคุณแม๊ค) เราเริ่มเดินทางในวันอาทิตย์ครับเพราะจากการคาดการณ์ระยะทางไว้คร่าว ๆ จากพี่รถตู้คนเก่งของเราก็ประมาณ 700 กิโลเมตรครับ แล้วเราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดศรีสะเกษตั้งแต่ บ่ายโมง กว่าจะมาถึงศรีสะเกษก็เป็นเวลา สามทุ่มครึ่งแล้วครับ ซึ่งระหว่างทางเราก็นัดแนะกับทีมอีกทีมหนึ่งเพื่อไปทานข้าวเที่ยงจังหวัดนครราชสีมาโดยเวลาที่เราทานข้าวเที่ยงก็เป็นเวลา บ่ายสามโมงกว่าแล้วครับ (สภาพตอนนั้นหิวมากครับ ถ้าเบาะรถตู้ทานได้เราคงทานไปแล้ว) เป็นครั้งแรกที่เราชักภาพแบบ Full team กับวิวสวยๆครับ
หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จรถตู้เราก็มุ่งหน้าไปจังหวัดศรีสะเกษอย่างเร่งรีบเลยครับ ขณะนั้นกระผมก็กำลังนั่งดูหนังเพื่อฆ่าเวลา หมดไปประมาณ 3 – 4 เรื่องด้วยกัน (ดูกันตาแหกไปข้างหนึ่งทีเดียว) และในที่สุดเราก็ถึงจังหวัดศรีสะเกษแล้วครับซึ่งตอนที่เราลงจากรถตู้ก็รู้สึกปวดคอพอสมควร (แหม ก็แหงนหน้ามองจอตั้งเกือบ 6 ชั่วโมง) เราเริ่ม Check In เพื่อเข้าห้องพักต่อจากนั้นเราก็เริ่มมาประชุมกันครับว่าเราจะทานข้าวเย็นหรือเปล่า ซึ่งเป็นไปตามคาดครับมติเอกฉันท์ว่าต้องทานข้าวเย็น แต่เวลานี้ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว เราจึงคิดว่าต้องผนวกความเป็นโรงแรมเข้ากับอาหารเย็นโดยด่วนครับ ซึ่งผมกับพี่บอยสั่งข้าวผัดแหนม และข้าวผัดกุ้ง ส่วนทีมงานสาวสวยท่านหนึ่งมีความรู้สึกหัวหมุนเป็นอย่างมากขณะนั่งรถตู้จึงมีการ request ขอต้มยำเห็ดมา 1 ถ้วยด้วยกัน แต่เนื่องจากโรงแรมไม่มีเห็ดพอเพียงตามคำขอของทีมงานสาวเพราะฉะนั้นจึงต่อรองกันได้เป็นต้มยำไก่ และต้องใส่เห็ดเท่าที่มีด้วย (ยังไงต้องให้มีเห็ดให้ได้)
สักพักประมาณ 30 นาทีเราก็ได้ยลโฉมทั้งข้าวผัดกุ้งและข้าวผัดแหนมแล้วครับ ลักษณะเหมือนทำมาไหว้เจ้าเลยครับเป็นข้าวผัดที่เล็กมาก (กลัวลูกค้าอ้วนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเป็นมื้อดึก) ส่วนทางทีมงานหญิงแทนที่จะได้ต้มยำไก่ 1 ถ้วย กลายเป็นต้มยำไก่ขนาด 1 หม้อไฟเลยครับ (ประชดหรือเปล่าไม่รู้) พี่ทีมงานหญิงจึงต้องมีการปัดภาระต้มยำไก่มาทางฝั่งพวกเราบ้าง แต่ถึงกระนั้นผมก็คิดว่าหากพี่ทีมงานผู้หญิงท่านนี้รับประทานต้มยำไก่จนหมด 1 หม้อไฟคงอิ่มและหมดสติคาหม้อไฟทันทีครับ เหอ ๆ หลังจากที่จัดการกับอาหารเย็นเรียบร้อย (จริง ๆ เรียกอาหารมืดก็ได้) กระผมก็นั่งอ่านหนังสือสักพัก แล้วก็หลับตานอนประมาณ 22.45 น.ครับ
ความรู้สึกเหมือนผมพึ่งนอนแป๊บเดียวเองครับ แต่ตอนนี้เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลา 5.55 น. (สังเกตเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ดีมาก) ผมจึงตัดสินใจอาบน้ำก่อนเลยดีกว่าเพื่อสร้างความสดชื่นในตอนเช้า หลังจากผมอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นพี่บอยลืมตาแล้วครับจึงบอกคุณบอยเชิญอาบต่อได้เลย แล้วก็เป็นไปตามคาดครับ ผมเริ่มดูข่าวในตอนเช้าอีกเช่นเคยซึ่งวันนี้มีข่าวน่าสลดปนอนาถพอสมควรเนื่องจากทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจถึง 2 นายด้วยกันครับ ซึ่งผู้อ่านข่าวได้ให้เหตุผลของการทำร้ายทหารครั้งนี้ว่า อาจจะเป็นเพราะการฉลองในเดือนรอมฎรก็เป็นไปได้ครับ ส่วนตัวผมได้แต่คิดว่าถ้าอยากจะฉลองเดือนรอมฎรก็จัดปาร์ตี้กันไปเลยสิครับ โดยกิจกรรมปาร์ตี้จะเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่น การเก็บขยะ การขุดลอกคลอง เป็นต้น หรืออาจมีการเตะฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างผู้ก่อการร้าย กับทหารไทย เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรี โดยผมคิดว่าหากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง อาจส่งผลให้ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงตามลำดับก็เป็นไปได้นะครับท่านผู้อ่าน Blog
หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าแล้วมุ่งหน้าไปสู่ห้องประชุมทันทีครับ โดยในวันนี้บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเองพอสมควรครับมีทั้งนักศึกษาและภาคธุรกิจรวมกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง และกิจกรรมแรกของเราก็คือหน้าที่พลเมืองซึ่งวันนี้เรามีกิจกรรมหน้าที่พลเมืองของชาวจังหวัดศรีสะเกษที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการประกอบอาชีพในการเป็นนักร้องถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งรายได้ดังกล่าวก็จะนำมาเลี้ยงชีพตนเองและเป็นรายได้ให้ครอบครัวด้วย โดยในส่วนของพลเมืองบรรษัท อยากให้องค์ท้องถิ่นมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อเป็นการลดปัญหาการขัดแย้งภายนอกองค์กร ทำให้การทำงานในองค์กรมีความสุขสงบเกิดขึ้นอีกด้วย เป็นต้น ส่วนอีกหัวข้อก็ยังเป็นการพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมเช่นกัน ซึ่งอาชีพของตนนั้นเป็นข้าราชการและมีการประกอบอาชีพเสริมด้วยการขายประกัน ขายขนม และ การทำคลินิกที่บ้าน เป็นต้น ซึ่งงานเสริมดังกล่าวล้วนแต่เป็นอาชีพที่สุจริตทั้งสิ้น และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจท้องถิ่นมีการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก
กิจกรรมต่อมาคือ CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การสื่อสารเรื่อง CSR ให้เกิดความเข้าใจทั่วถึงทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น ชุมชน เป็นต้น ผ่านทั้งการตั้งเป้าหมาย การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการขยายผลซึ่งจะนำไปสู่การ CSR อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาคือ การบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กรด้วยการจัดกิจกรรมนำอุปกรณ์ Computer ชำรุดไปคัดแยกนำส่วนที่ใช้ไม่ได้ไปขายของเก่า และนำส่วนที่เป็น Platinum ไปแยกขายซึ่งเป็นการ recycle ขยะอิเล็คทรอนิค แถมยังสร้างรายได้กลับเข้ามาสถานศึกษาอีกด้วย
ช่วงพักเที่ยงผมก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาชาวศรีสะเกษท่านหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานครับ กระผมได้คุยเรื่องข่าวเขาพระวิหารที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งผู้ฟังท่านนี้ได้กล่าวสั้น ๆ ว่าสมัยก่อนมีโอกาสได้เที่ยวเขาพระวิหารสมัยที่ทางเข้ายังไม่ถูกกั้นเหมือนสมัยนี้ สภาพปราสาทยังดูสวยงามมากและความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่เดินเข้าไปในตัวปราสาทรู้สึกว่าปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้เป็นสมบัติของชาติไทยอย่างชัดเจน และเมื่อข่าวเขาพระวิหารตกเป็นของเขมรทำให้ความรู้สึกลึก ๆ ของเขาทลายลงทันที เค้าอธิบายว่ามันเหมือนสมบัติชายไทยถูกยึดไปเป็นของชนชาติอื่น หลังจากผมฟังท่านผู้อบรมสัมมนาระบายความในใจผมรู้สึกตามทันทีเลยครับ (แอบเศร้านิด ๆ แฮะ) แต่ผมเชื่อว่าสักวันเหตุการณ์เรื่องเขาพระวิหารคงคลี่คลายลงและปราสาทเขาวิหารก็จะกลับมาเป็นสมบัติของชาติไทยอีกครั้งครับ
กิจกรรมต่อมาเป็น Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดศรีสะเกษมีดังนี้ “โครงการแรลลี่ สุขสันต์ ชวนกันเที่ยว เชิงอนุรักษ์” โดยกิจกรรมจะเจาะกลุ่มครอบครัว และมีกิจกรรมแรลลี่เดินทางผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น สวนสมเด็จศรีนครินทร์ ชุมชนพอเพียงศรีษะอโศก ผามออีแดง ประติมากรรมวัดล้านขวด และสุดท้ายมีการมอบของเหลือใช้ให้เด็กด้อยโอกาสที่ศูนย์พัฒนาเด็กด้อยโอกาสจังหวัดศรีสะเกษรวมถึงการร่วมกันปลูกต้นไม้ที่สวนสมเด็จศรีนครินทร์ด้วย
กิจกรรมต่อมาคือ “โครงการกราฟฟิค ยุติเกมส์” โดยโครงการจะเน้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ติดเกมส์ให้วัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าค่ายในช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งค่ายนี้จะเน้นการสอนทำภาพกราฟฟิคจากเกมส์ที่เหล่าวัยรุ่นพวกนี้เล่น ในเชิงอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมรวมถึงมีการจัดประกวดผลงานดังกล่าวโดยมีผู้ปกครองมาร่วมตัดสินด้วย
ส่วนโครงการสุดท้ายคือ “โครงการเด็กรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” จัดตั้งคณะสภาเด็กและเยาวชนเริ่มดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่เด็กเยาวชน เช่น การสอนทำดินจุลินทรีย์ เป็นต้น โดยดำเนินการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เกิดทักษะการทำจุลินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดิน และมีการมอบรางวัลแก่เด็กและเยาวชนที่เป็นแบบอย่าง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เด็กใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์รวมถึงรักษาธรรมชาติอีกด้วย
โดยในวันนี้กระผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์อาจารย์ทั้งสองท่านจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 ท่านซึ่งเนื้อหาในการแสดงทัศนะของ อ.พรสวรรค์ สัมมนา และ อ.วลัยกรณ์ ผาดผ่อง มีดังนี้ “ตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้ด้าน CSR เท่าที่ควร แต่พอมาอบรมในครั้งนี้ทำให้มีความรู้ในส่วนของ CSR มากยิ่งขึ้นโดยอยากให้นักศึกษาเข้ามาร่วมงานนี้ด้วย ซึ่งนักศึกษาสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทสามารถนำไปเผยแพร่ผ่านรายวิชาได้อย่างแน่นอน เพราะต่อไปนักศึกษาส่วนนี้ก็ต้องออกไปประกอบธุรกิจหรืออาชีพต่าง ๆ ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะมีส่วนในการแสดงกิจกรรม CSR ให้เกิดแก่สังคมไทยอีกด้วย”
และในวันนี้การจัดกิจกรรม CSR Campus ของจังหวัดศรีสะเกษก็ได้จบลงอย่างงดงาม ซึ่งกระผมคิดว่าทุกท่านที่เข้าอบรมคงได้รับความรู้ด้าน CSR อย่างมากนะครับ ตอนนี้กระผมก็เริ่มเก็บของเตรียมตัวมุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งระยะทางรวมประมาณ 60 กิโลเมตร โดยส่วนตัวจังหวัดอุบลราชธานีเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ผมเองครับ ส่วนใหญ่ญาติทางฝั่งแม่ก็จะตั้งถิ่นฐาน ณ จังหวัดนี้ เพราะฉะนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็มีความผูกพันกับตัวกระผมเช่นเดียวกับจังหวัดเพชรบุรีนะครับ สักพักกระผมก็เดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานี เราได้ไปฝากท้องที่ร้านอาหารอินโดจีน สภาพร้านดูหรูมาก มีทั้งอาหารที่อร่อย เสียงเพลงไพเราะ และทีมงานสวย (หรือเปล่า) แหมเกือบจะเกิดกบฏเลยนะครับเนี่ย เมื่อเราทานอาหารเย็นเสร็จสายฝนก็โปรยปรายอีกครั้ง เราจึงเข้าไป Check In ที่โรงแรมลายทองทันทีหลังทานอาหารเสร็จ สภาพโรงแรมหรูมากครับถือว่าใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานีก็เป็นไปได้ แหม ชักคิดถึงงาน CSR Campus ในวันพรุ่งนี้แล้วซิว่าจะสนุกแค่ไหน ท่านผู้ชม Blog อย่าลืมติดตามเหตุการณ์ตอนต่อไปนะครับ ว่ากิจกรรม CSR Campus ครั้งต่อไปจะเป็นเช่นไร
ราตรีสวัสดิ์ ครับพี่น้องชาวไทย
หลังจากที่เราทานข้าวเสร็จรถตู้เราก็มุ่งหน้าไปจังหวัดศรีสะเกษอย่างเร่งรีบเลยครับ ขณะนั้นกระผมก็กำลังนั่งดูหนังเพื่อฆ่าเวลา หมดไปประมาณ 3 – 4 เรื่องด้วยกัน (ดูกันตาแหกไปข้างหนึ่งทีเดียว) และในที่สุดเราก็ถึงจังหวัดศรีสะเกษแล้วครับซึ่งตอนที่เราลงจากรถตู้ก็รู้สึกปวดคอพอสมควร (แหม ก็แหงนหน้ามองจอตั้งเกือบ 6 ชั่วโมง) เราเริ่ม Check In เพื่อเข้าห้องพักต่อจากนั้นเราก็เริ่มมาประชุมกันครับว่าเราจะทานข้าวเย็นหรือเปล่า ซึ่งเป็นไปตามคาดครับมติเอกฉันท์ว่าต้องทานข้าวเย็น แต่เวลานี้ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว เราจึงคิดว่าต้องผนวกความเป็นโรงแรมเข้ากับอาหารเย็นโดยด่วนครับ ซึ่งผมกับพี่บอยสั่งข้าวผัดแหนม และข้าวผัดกุ้ง ส่วนทีมงานสาวสวยท่านหนึ่งมีความรู้สึกหัวหมุนเป็นอย่างมากขณะนั่งรถตู้จึงมีการ request ขอต้มยำเห็ดมา 1 ถ้วยด้วยกัน แต่เนื่องจากโรงแรมไม่มีเห็ดพอเพียงตามคำขอของทีมงานสาวเพราะฉะนั้นจึงต่อรองกันได้เป็นต้มยำไก่ และต้องใส่เห็ดเท่าที่มีด้วย (ยังไงต้องให้มีเห็ดให้ได้)
สักพักประมาณ 30 นาทีเราก็ได้ยลโฉมทั้งข้าวผัดกุ้งและข้าวผัดแหนมแล้วครับ ลักษณะเหมือนทำมาไหว้เจ้าเลยครับเป็นข้าวผัดที่เล็กมาก (กลัวลูกค้าอ้วนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเป็นมื้อดึก) ส่วนทางทีมงานหญิงแทนที่จะได้ต้มยำไก่ 1 ถ้วย กลายเป็นต้มยำไก่ขนาด 1 หม้อไฟเลยครับ (ประชดหรือเปล่าไม่รู้) พี่ทีมงานหญิงจึงต้องมีการปัดภาระต้มยำไก่มาทางฝั่งพวกเราบ้าง แต่ถึงกระนั้นผมก็คิดว่าหากพี่ทีมงานผู้หญิงท่านนี้รับประทานต้มยำไก่จนหมด 1 หม้อไฟคงอิ่มและหมดสติคาหม้อไฟทันทีครับ เหอ ๆ หลังจากที่จัดการกับอาหารเย็นเรียบร้อย (จริง ๆ เรียกอาหารมืดก็ได้) กระผมก็นั่งอ่านหนังสือสักพัก แล้วก็หลับตานอนประมาณ 22.45 น.ครับ
ความรู้สึกเหมือนผมพึ่งนอนแป๊บเดียวเองครับ แต่ตอนนี้เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลา 5.55 น. (สังเกตเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ดีมาก) ผมจึงตัดสินใจอาบน้ำก่อนเลยดีกว่าเพื่อสร้างความสดชื่นในตอนเช้า หลังจากผมอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นพี่บอยลืมตาแล้วครับจึงบอกคุณบอยเชิญอาบต่อได้เลย แล้วก็เป็นไปตามคาดครับ ผมเริ่มดูข่าวในตอนเช้าอีกเช่นเคยซึ่งวันนี้มีข่าวน่าสลดปนอนาถพอสมควรเนื่องจากทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจถึง 2 นายด้วยกันครับ ซึ่งผู้อ่านข่าวได้ให้เหตุผลของการทำร้ายทหารครั้งนี้ว่า อาจจะเป็นเพราะการฉลองในเดือนรอมฎรก็เป็นไปได้ครับ ส่วนตัวผมได้แต่คิดว่าถ้าอยากจะฉลองเดือนรอมฎรก็จัดปาร์ตี้กันไปเลยสิครับ โดยกิจกรรมปาร์ตี้จะเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เช่น การเก็บขยะ การขุดลอกคลอง เป็นต้น หรืออาจมีการเตะฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างผู้ก่อการร้าย กับทหารไทย เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรี โดยผมคิดว่าหากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง อาจส่งผลให้ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงตามลำดับก็เป็นไปได้นะครับท่านผู้อ่าน Blog
หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าแล้วมุ่งหน้าไปสู่ห้องประชุมทันทีครับ โดยในวันนี้บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเองพอสมควรครับมีทั้งนักศึกษาและภาคธุรกิจรวมกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง และกิจกรรมแรกของเราก็คือหน้าที่พลเมืองซึ่งวันนี้เรามีกิจกรรมหน้าที่พลเมืองของชาวจังหวัดศรีสะเกษที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการประกอบอาชีพในการเป็นนักร้องถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งรายได้ดังกล่าวก็จะนำมาเลี้ยงชีพตนเองและเป็นรายได้ให้ครอบครัวด้วย โดยในส่วนของพลเมืองบรรษัท อยากให้องค์ท้องถิ่นมีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อเป็นการลดปัญหาการขัดแย้งภายนอกองค์กร ทำให้การทำงานในองค์กรมีความสุขสงบเกิดขึ้นอีกด้วย เป็นต้น ส่วนอีกหัวข้อก็ยังเป็นการพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยชอบธรรมเช่นกัน ซึ่งอาชีพของตนนั้นเป็นข้าราชการและมีการประกอบอาชีพเสริมด้วยการขายประกัน ขายขนม และ การทำคลินิกที่บ้าน เป็นต้น ซึ่งงานเสริมดังกล่าวล้วนแต่เป็นอาชีพที่สุจริตทั้งสิ้น และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจท้องถิ่นมีการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก
กิจกรรมต่อมาคือ CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้ เช่น การสื่อสารเรื่อง CSR ให้เกิดความเข้าใจทั่วถึงทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น ชุมชน เป็นต้น ผ่านทั้งการตั้งเป้าหมาย การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการขยายผลซึ่งจะนำไปสู่การ CSR อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาคือ การบูรณาการเรื่อง CSR ทั่วทั้งองค์กรด้วยการจัดกิจกรรมนำอุปกรณ์ Computer ชำรุดไปคัดแยกนำส่วนที่ใช้ไม่ได้ไปขายของเก่า และนำส่วนที่เป็น Platinum ไปแยกขายซึ่งเป็นการ recycle ขยะอิเล็คทรอนิค แถมยังสร้างรายได้กลับเข้ามาสถานศึกษาอีกด้วย
ช่วงพักเที่ยงผมก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาชาวศรีสะเกษท่านหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานครับ กระผมได้คุยเรื่องข่าวเขาพระวิหารที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งผู้ฟังท่านนี้ได้กล่าวสั้น ๆ ว่าสมัยก่อนมีโอกาสได้เที่ยวเขาพระวิหารสมัยที่ทางเข้ายังไม่ถูกกั้นเหมือนสมัยนี้ สภาพปราสาทยังดูสวยงามมากและความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่เดินเข้าไปในตัวปราสาทรู้สึกว่าปราสาทเขาพระวิหารแห่งนี้เป็นสมบัติของชาติไทยอย่างชัดเจน และเมื่อข่าวเขาพระวิหารตกเป็นของเขมรทำให้ความรู้สึกลึก ๆ ของเขาทลายลงทันที เค้าอธิบายว่ามันเหมือนสมบัติชายไทยถูกยึดไปเป็นของชนชาติอื่น หลังจากผมฟังท่านผู้อบรมสัมมนาระบายความในใจผมรู้สึกตามทันทีเลยครับ (แอบเศร้านิด ๆ แฮะ) แต่ผมเชื่อว่าสักวันเหตุการณ์เรื่องเขาพระวิหารคงคลี่คลายลงและปราสาทเขาวิหารก็จะกลับมาเป็นสมบัติของชาติไทยอีกครั้งครับ
กิจกรรมต่อมาเป็น Creative CSR ที่น่าสนใจของชาวจังหวัดศรีสะเกษมีดังนี้ “โครงการแรลลี่ สุขสันต์ ชวนกันเที่ยว เชิงอนุรักษ์” โดยกิจกรรมจะเจาะกลุ่มครอบครัว และมีกิจกรรมแรลลี่เดินทางผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น สวนสมเด็จศรีนครินทร์ ชุมชนพอเพียงศรีษะอโศก ผามออีแดง ประติมากรรมวัดล้านขวด และสุดท้ายมีการมอบของเหลือใช้ให้เด็กด้อยโอกาสที่ศูนย์พัฒนาเด็กด้อยโอกาสจังหวัดศรีสะเกษรวมถึงการร่วมกันปลูกต้นไม้ที่สวนสมเด็จศรีนครินทร์ด้วย
กิจกรรมต่อมาคือ “โครงการกราฟฟิค ยุติเกมส์” โดยโครงการจะเน้นจากกลุ่มวัยรุ่นที่ติดเกมส์ให้วัยรุ่นกลุ่มนี้เข้าค่ายในช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งค่ายนี้จะเน้นการสอนทำภาพกราฟฟิคจากเกมส์ที่เหล่าวัยรุ่นพวกนี้เล่น ในเชิงอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมรวมถึงมีการจัดประกวดผลงานดังกล่าวโดยมีผู้ปกครองมาร่วมตัดสินด้วย
ส่วนโครงการสุดท้ายคือ “โครงการเด็กรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” จัดตั้งคณะสภาเด็กและเยาวชนเริ่มดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่เด็กเยาวชน เช่น การสอนทำดินจุลินทรีย์ เป็นต้น โดยดำเนินการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เกิดทักษะการทำจุลินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดิน และมีการมอบรางวัลแก่เด็กและเยาวชนที่เป็นแบบอย่าง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เด็กใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์รวมถึงรักษาธรรมชาติอีกด้วย
โดยในวันนี้กระผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์อาจารย์ทั้งสองท่านจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 ท่านซึ่งเนื้อหาในการแสดงทัศนะของ อ.พรสวรรค์ สัมมนา และ อ.วลัยกรณ์ ผาดผ่อง มีดังนี้ “ตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้ด้าน CSR เท่าที่ควร แต่พอมาอบรมในครั้งนี้ทำให้มีความรู้ในส่วนของ CSR มากยิ่งขึ้นโดยอยากให้นักศึกษาเข้ามาร่วมงานนี้ด้วย ซึ่งนักศึกษาสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย และส่วนของพลเมืองบรรษัทสามารถนำไปเผยแพร่ผ่านรายวิชาได้อย่างแน่นอน เพราะต่อไปนักศึกษาส่วนนี้ก็ต้องออกไปประกอบธุรกิจหรืออาชีพต่าง ๆ ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะมีส่วนในการแสดงกิจกรรม CSR ให้เกิดแก่สังคมไทยอีกด้วย”
และในวันนี้การจัดกิจกรรม CSR Campus ของจังหวัดศรีสะเกษก็ได้จบลงอย่างงดงาม ซึ่งกระผมคิดว่าทุกท่านที่เข้าอบรมคงได้รับความรู้ด้าน CSR อย่างมากนะครับ ตอนนี้กระผมก็เริ่มเก็บของเตรียมตัวมุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งระยะทางรวมประมาณ 60 กิโลเมตร โดยส่วนตัวจังหวัดอุบลราชธานีเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ผมเองครับ ส่วนใหญ่ญาติทางฝั่งแม่ก็จะตั้งถิ่นฐาน ณ จังหวัดนี้ เพราะฉะนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็มีความผูกพันกับตัวกระผมเช่นเดียวกับจังหวัดเพชรบุรีนะครับ สักพักกระผมก็เดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานี เราได้ไปฝากท้องที่ร้านอาหารอินโดจีน สภาพร้านดูหรูมาก มีทั้งอาหารที่อร่อย เสียงเพลงไพเราะ และทีมงานสวย (หรือเปล่า) แหมเกือบจะเกิดกบฏเลยนะครับเนี่ย เมื่อเราทานอาหารเย็นเสร็จสายฝนก็โปรยปรายอีกครั้ง เราจึงเข้าไป Check In ที่โรงแรมลายทองทันทีหลังทานอาหารเสร็จ สภาพโรงแรมหรูมากครับถือว่าใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานีก็เป็นไปได้ แหม ชักคิดถึงงาน CSR Campus ในวันพรุ่งนี้แล้วซิว่าจะสนุกแค่ไหน ท่านผู้ชม Blog อย่าลืมติดตามเหตุการณ์ตอนต่อไปนะครับ ว่ากิจกรรม CSR Campus ครั้งต่อไปจะเป็นเช่นไร
ราตรีสวัสดิ์ ครับพี่น้องชาวไทย
เอ้..รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษนะคะ มีอะไรกับภาคอีสานหรือป่าวเอ่ย
ตอบลบ(อ่อคงจะเคยไปเป็นครั้งแรกแน่เลย อิอิ)
ในช่วงการระดมสมองชื่อแต่ละโครงการน่าสนใจทั้งนั้นเลยส่วนมากจะเน้นเชิงอนุรักษ์ธรรมชาตินะคะ ต่อไปต้นไม้คงเพิ่มมากขึ้นแน่นอนค่ะ
จะติดตามต่อไปเรื่อยๆค่ะ
อิจฉา.................ค่ะ
ตอบลบการทำงานที่เป็นการทำบุญแบบนี้ ดูมีความสุขดีนะคะ
ได้เที่ยวด้วยอ่ะ ดูสิ ถ่ายรูปมาโชว์วิวสวยๆ ด้วยอ่า ชอบ“โครงการแรลลี่ สุขสันต์ ชวนกันเที่ยว เชิงอนุรักษ์” อยากให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริงๆ นะ