วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

พิจิตร





ตอนนี้กระผมก็ขอเฉลยแล้วกันว่าเรากำลังเดินทางไปจังหวัดพิจิตรครับ โดยทางทีมงานสาวท่านหนึ่งได้ขอร้องให้ทานข้าวจากจังหวัดพิษณุโลกไปก่อนเพราะว่าท้องเริ่มหิวแล้ว พวกเราจึงเดินทางไปร้านอาหารตามคำบอกเล่าของทีมงานสาวท่านนั้นอย่างไม่รีรอและร้านอาหารเย็นที่เราไปยลโฉมวันนี้ก็คือ ร้านอาหารน้ำใสใจจริง สังเกตหน้าร้านก็จะคล้ายกับกึ่งร้านเหล้ากึ่งร้านอาหารนะครับ แต่เราเลือกแค่อาหารเท่านั้น หลังจากเราสั่งอาหารไปเรียบร้อยฝูงยุงก็เริ่มบินมาปฏิบัติหน้าที่เราจึงเรียกร้องขอพัดลมมาช่วยพัดไล่ยุงทันที ประมาณ 5 นาทีอาหารก็มาแล้วครับขอยกกับข้าวมาสาธยายอย่างเดียวแล้วกันนะครับ นั่นคือต้มยำเห็ด สีน้ำต้มยำผมว่าผ่านการโขลกพริกทุกสายพันธุ์เลยทีเดียว หลังจากซดน้ำไปครั้งแรกอาการแรก คือ ความเผ็ดนิยามใหม่ โดยนิยามให้เข้าใจง่าย คือ เผ็ดแบบอวัยวะระเบิดทีเดียว น้ำต้มยำไปผ่านอวัยวะไหน อวัยวะนั้นแสบระเบิดทีเดียว หลังจากนั้นก็เริ่มกับข้าวมากมายมาวางระรานตาบนโต๊ะอาหารซึ่งส่วนใหญ่จะเผ็ดมาก(มากยกกำลังสอง) เช่นกัน

หลังจากเราทานอาหารเสร็จก็ขอยกร้านน้ำใสใจจริงให้ได้รางวัล Nobel สาขาความเผ็ดระดับทำลายล้าง อย่างเป็นทางการเลยทีเดียว (แนะนำให้คนเป็นหวัดมาทานกันที่ร้านนี้นะครับ) ตอนนี้รถตู้ของเราก็มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดดินแดนชาละวันกันแล้ว ซึ่งรายละเอียดที่พัก คือ เดอะรีสอร์ทของกำนันเต่าซึ่งหนทางการเดินทางเปลี่ยวได้ใจมาก ๆ ครับขนาดพวกผมอยู่ในรถตู้ก็ยังรู้สึกเปลี่ยวอยู่ดี และในที่สุดเราก็มาถึงเดอะรีสอร์ทแล้วครับ โดยลักษณะห้องพักจะตกแต่งด้วยไม้ซะเป็นส่วนใหญ่

ตอนนี้กระผมก็เริ่มอาบน้ำเพื่อที่จะเข้านอนแล้วครับ ในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มหลับก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ลึกลับ! จึงทำการรับสาย ก็ทราบว่าเป็นสายจากทีมงานสาวนั่นเอง พอถามไถ่ไปมาก็มิได้ใจความแต่อย่างใด รู้แต่ว่าให้มาหาด่วน! ผมก็เลยสวมวิญญาณเด็กแนว (เด็กแนวแค่ไหนลองจินตนาการดูนะครับ ผมใส่เสื้อแขนกุดสีเหลือง กางเกง Adidas สีแดง และรองเท้าหนังสีดำเลื่อม) ซึ่งมองไกล ๆ เหมือนนักประดาน้ำเลยครับ หลังจากเข้ามาในห้องทีมงานสาวก็รับทราบว่ามีเสียงดังจากข้างหลังห้อง..กุ้ก..กั๊กๆ (กลัวชายไทยจะเข้ามาจีบนั่นเอง) ผมจึงไปตรวจสอบและนั่งรักษาการณ์ประจำห้องทีมงานสาวพักนึง ซึ่งก็ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่ทีมงานสาวก็ยังเว้าวอนให้อยู่ต่อ ผมจึงปลอบประโลมทีมงานสาวสักพักนึงว่าถึงมีใครเข้ามา ก่อนที่เขาจะทำอะไรเค้าคงคิดหน้าคิดหลังแล้วแหละ (ทีมงานสาวมีหน้าตาเป็นอาวุธ..คิๆ) หลังจากที่ผมให้เหตุผลสักพักทีมงานสาวก็เริ่มมั่นใจขึ้นมาว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาแน่นอน กระผมจึงขอตัวกลับไปที่ห้องพักเพื่อจัดการกับงานที่ยังคั่งค้างอยู่และก็ผลอยหลับไปตามระเบียบครับ

แล้วสักพักไม่กี่ชั่วโมงผมก็ตื่นนอนประมาณ 6.10 น.ครับ มองบรรยากาศรอบห้องแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเยอะมากมองด้านหลังก็เห็นวิวของแม่น้ำในตอนเช้า (คาดว่าน่าจะไม่มีจระเข้มาเยือนห้องพักตอนเช้านะ) หลังจากนั้นกระผมก็เริ่มจัดการภารกิจส่วนตัวและไปทานข้าวเช้า แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้นะครับเนื่องจากทางรีสอร์ทบอกว่าแม่ครัวจะมาเช้า (หรือช้า) ประมาณ 8 โมงกว่า ๆ นู้น... ซึ่งทางผมคิดว่าไม่ทันต่อการทานข้าวเช้าแน่นอนเราจึงต้องวานสั่งให้พี่รถตู้คนเก่งเป็นคนไปซื้ออาหารตามสั่งข้างนอกมาครับ หลังจากที่เราสั่งอาหารไปไม่นาน ในขณะเดียวกันพวกเราก็ถือโอกาสเตรียมงานที่ห้องประชุมแล้วสักพัก พี่รถตู้ก็ถือข้าวกล่องมาทำให้ทางเราดีใจอย่างกับได้อาหารเช้าแล้ว พวกเราก็เริ่มทานอาหารอย่างไม่ลังเลซึ่งทางผมกับทีมงานสาวทานหนึ่งทานกระเพราะหมูไข่ดาว ส่วนพี่บอยทานข้าวผัดกุ้ง (รู้ได้เลยว่าใครมีแววจะอ้วน) พออาหารเข้าปากได้สักพัก พี่บอยต้องถึงกับเหวอทันทีเพราะกล่องข้าวผัดกุ้งด้านล่างโฟมละลายครับ สันนิษฐานว่าน่าจะละลายด้วยความเร่าร้อนของข้าวผัดกุ้งอย่างไม่ต้องสงสัย กระผมจึงได้แต่นึกว่าร้านค้าน่าจะรองพลาสติกทนความร้อนมาให้ด้วย ร้านค้าน่าจะคำนึงถึงภาชนะที่เหมาะสมกับอาหารนะครับ เฮ้อ หวังว่าการจัดงาน CSR Campus ครั้งนี้ความรู้ CSR จะแผ่ขยายไปถึงเจ้าของร้านอาหารด้วยนะครับ

มาในช่วงกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทก็มีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวพิจิตรดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการปฏิบัติงานตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และไม่แสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจหน้าที่ของตน ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะถ้าธุรกิจไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมก็จะทำให้สังคมอยู่รวมกันได้อย่างปกติสุข ส่วนอีกหัวข้อที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติด้วยการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น และรู้จักใช้รู้จักเก็บ ส่วนพลเมืองบรรษัทนั้น อยากให้ธุรกิจมีความเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของท้องถิ่นโดยเคร่งครัด เพราะจะทำให้องค์กรมีความน่าเชื่อถือและประชาชนไว้วางใจซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการอย่างราบรื่น

ส่วนหัวข้อ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจก็มีดังนี้ เช่น การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรด้วยการจัดอบรมให้พนักงานในองค์กรให้มีความรู้ CSR ที่ชัดเจน โดยมีผู้ที่มีผลต่อความสำเร็จ คือ ผู้บริหารองค์กร และพนักงานในองค์กรที่ต้องส่วนในการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวด้วย ส่วนอีกหัวข้อคือการเข้าร่วมในความคิดริเริ่ม CSR โดยสมัครใจ โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์ให้แก่องค์กรที่สนใจอยากร่วมกิจกรรม CSR อย่างสมัครใจ ซึ่งการระบุเกณฑ์บ่งชี้ความก้าวหน้าจะเน้นการมีส่วนร่วมจากระดับจังหวัด สู่ระดับประเทศ

หลังจากพวกเราทานอาหารกลางวันเสร็จก็มาถึงช่วงกิจกรรม Creative CSR ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจของชาวจังหวัดพิจิตร ได้แก่ “โครงการกำจัดผักตบชวาเพื่อพัฒนาบึงสีไฟ” เนื่องจากบึงสีไฟนั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพิจิตรแล้ว ขณะนี้ที่บึงสีไฟนี้มีปัญหาเรื่องผักตบชวาอยู่มากซึ่งจะทำให้ทัศนียภาพของบึงสีไฟไม่น่าดู โดยกิจกรรมจะมีการจัดการแข่งขันเก็บผักตบชวาขึ้นโดยจัดแข่งขันปีละ 2 ครั้งในช่วงวันลอยกระทงและวันสงกรานต์ โดยผักตบชวาที่เก็บไปได้จะนำไปให้เกษตรกรทำปุ๋ยหมักส่วนหนึ่ง และอีกส่วนจะนำไปให้แม่บ้านทำเป็นเครื่องจักรสานต่อไป

โครงการต่อมา คือ “โครงการรถราง รักบ้านเกิด” เนื่องจากจังหวัดพิจิตรยังมีการเดินทางโดยรถรางอยู่โดยจะนำจุดขายตรงนี้มาใช้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้การท่องเที่ยวในจังหวัดพิจิตรคึกคักยิ่งขึ้น ด้วยการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวมาร่วมเที่ยวจังหวัดพิจิตรด้วยการใช้รถรางซึ่งจะมีเส้นทางอย่างย่อโดยเส้นดังกล่าวจะผ่านทั้ง วัดท่าหลวง ศาลากลางเก่าซื้อ บึงสีไฟ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติและสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดพิจิตรทั้งหมด

โครงการสุดท้าย คือ “โครงการเที่ยวเมืองพิจิตร เศรษฐกิจหมุนเวียน”โดยโครงการนี้จะเน้นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างเศรษฐกิจในจังหวัดพิจิตรให้ดียิ่งขึ้นโดยกิจกรรมจะเริ่มจากการพัฒนาบึงสีไฟให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยจัดทั้งสวนสนุกกลางน้ำและห้องสมุดสำหรับเด็ก จัดงานกีฬา Extreme ทางน้ำในบึงสีไฟเพื่อกลุ่มวัยรุ่น และจัดรถรางรูปจระเข้สำหรับผู้สูงอายุโดยมีบริการบีบนวดบนรถรางอีกด้วย เป็นต้น

ในวันนี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับอาจารย์จากสถาบันการศึกษา 2 แห่งด้วยกันโดยที่แรก คือ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร โดยอาจารย์นัยนา ทิพกร กล่าวไว้ว่า “ตอนแรกเข้าใจว่า CSR คือเรื่องจิตอาสาพัฒนาชุมชนแต่พอหลังจากการบรรยายแล้วจึงได้รู้ว่า CSR อยู่รอบ ๆตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะไหน บทบาทไหน ก็สามารถทำ CSR ได้ทั้งสิ้นโดยความรู้ตรงนี้จะนำไปเผยแพร่กับนักศึกษาด้วย และเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการเน้นย้ำกับนักศึกษาเพราะนักศึกษามีเรื่องจริยธรรมอยู่น้อย จึงต้องมีการเผยแพร่ต่อไปให้มากเพื่อที่จะทำให้นักศึกษาสามารถไปประยุกต์ใช้ในชีวิติประจำวันได้”

ส่วนสถาบันอีกแห่ง คือ วิทยาลัยชุมชนพิจิตร โดยอาจารย์ณัฐพงษ์ กลั่นหวาน กล่าวว่า ”หลังจากร่วมงานสัมมนาในวันนี้ทำให้รู้ว่า CSR คือการปลูกจิตสำนึกโดยเน้นจากตนเองก่อน แล้วค่อยนำจิตสำนึกตรงนี้ไปปฏิบัติต่อผู้อื่นต่อไป ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัททางวิทยาลัยต้องนำไปปฏิบัติเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่นักศึกษา เพื่อวันหนึ่งที่นักศึกษาเหล่านี้เข้าไปทำงานจะได้นำความรู้ตรงนี้ไปใช้”

หลังจากเสร็จกิจกรรม CSR Campus ทางทีมงานกระผมก็ไม่รอช้าที่จะไปเที่ยวบึงสีไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรก่อนเพื่อน และเมื่อมาถึงก็รู้สึกว่าบึงนี้ค่อนข้างใหญ่มาก และทางจังหวัดก็เล็งเห็นให้ความสำคัญต่อนักท่องเที่ยวกลุ่มที่จะมาเยี่ยมชมด้วยการจัดพิพิธภัณฑ์ด้วย รวมถึงห้องสมุดอีกต่างหาก แต่ทางเราก็ไม่มีโอกาสเข้าไปหรอกครับ (ปิดเรียบร้อย) ทางทีมงานก็ได้แต่ถ่ายรูปร่วมกันไปร่วมกันมาเฉย ๆ เท่านั้นเอง และในส่วนข้างหน้าของบึงสีไฟก็จะมีจระเข้ที่ตัวใหญ่มากเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพิจิตรด้วย หลังจากเราถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยทีมงานเราก็พร้อมมุ่งหน้าสู่จังหวัดต่อไปแล้วครับ ก็ลองไปเดากันว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดอะไรใบ้ให้ว่ามีคำว่าเพชรนำหน้า แต่คงไม่ใช่เพชรบุรีหรอกนะท่านผู้ชม Blog

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น