ตอนนี้เราเริ่มออกเดินทางมาเรื่อย ๆ เพื่อจะมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลกซึ่งเป็นบ้านเกิดของทีมงานสาวท่านหนึ่ง ซึ่งทีมงานท่านนี้เล่าว่าจังหวัดพิษณุโลกเป็นเมืองบ้านเกิดของสมเด็จพระนเรศวร รวมถึงยังมีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คือ พระพุทธชินราชนั่นเอง ต้องยอมรับว่าผมเคยเห็นพระพุทธชินราชแค่ในรูปเท่านั้นเอง ในใจก็อยากเห็นองค์จริงเหมือนกันว่าจะสวยกว่าในรูปแค่ไหน ..ในช่วงระหว่างเดินทางเราก็หยิบหนังเรื่อง Roommate มาดู แหม ต้องยอมรับเลยครับว่าหนังเรื่องนี้วาง Plot เรื่องได้เยี่ยมมากเป็นรัก 3 เส้า ซึ่งปกติต้องเป็นชาย 2 หญิง 1 แต่หนังเรื่องนี้กลับกลายเป็น ชาย 1 ดี้ 1 และทอม 1 (เน้นแบบ two in one) ต้องนับถือผู้เขียนบทจริง ๆ ครับว่าวางบทได้ซับซ้อนมาก ถ้าหากเทียบกับหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง
ซักพักพวกเราก็มาเหยียบพื้นดินจังหวัดพิษณุโลกแล้วครับ ทางทีมงานสาวได้แนะนำให้เราไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรด้วยครับ ซึ่งผมก็ขอไว้หลายเรื่อง ๆ เหมือนกันแต่เรื่องหนึ่งที่ผมขอพรอย่างชัดเจนมากที่สุด คือ อยากให้ประเทศไทยกลับมาสงบสุขอีกครั้ง (ขอแบบพระเอกครับ..แหะๆ) อยากให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยหรือคอรัปชั่นประเทศไทยให้มลายสูญสิ้นไป เหตุที่ผมขอพรอย่างนี้เพราะว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก สมเด็จพระนเรศวรก็เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองให้กลับเป็นเอกราชอีกครั้ง และในวันนี้บ้านเมืองของเราแม้ไม่ได้เสียเอกราชให้ประเทศใด ๆ ตามรูปธรรมแต่ในความคิดของกระผมกลับมองว่าตอนนี้บ้านเมืองได้เสียเอกภาพผ่านความแตกแยกของคนในชาติไทยเอง ซึ่งผมคิดว่ามันร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียเอกราชเสียอีก ผมก็ได้แต่หวังว่าพรที่ผมขอต่อสมเด็จพระนเรศวรในวันนี้จะสัมฤทธิ์ผลทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีและกลมเกลียวเช่นดังเดิมอีกครั้ง
หลังเราไหว้ขอพรที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรมทันที ซึ่งตอนช่วงรอจะ Check In เข้าที่พัก ผมก็มองเห็นน้ำใจของโรงแรมโดยผ่านการเชื้อเชิญจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เราทานน้ำส้มกันตามสบาย ทีแรกผมยังคิดว่าน้ำส้มตรงนี้อาจจะมีไว้สำหรับแขกงานเลี้ยงให้ห้องประชุมใกล้ ๆ แหม แค่น้ำส้มแก้วเดียวตอนนี้ก็ทำให้กระผมพึงพอใจกับโรงแรมนี้พอสมควรแล้วครับ แล้วหลังจากที่พวกเรานำสัมภาระไปเก็บในห้องเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งสู่ร้านอาหารครับ ซึ่งวันนี้ร้านอาหารเราอยู่ติดแม่น้ำน่านเลยครับ (สังเกตว่าชื่อแม่น้ำอยู่ไกลมากไปไกลกว่า โน่น..อีกครับ ) อาหารก็อร่อยมากเลยครับ กระผมรู้สึก Enjoy Eating กับลาบทอดมากครับ เพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวสะใจวัยโจ๋จริง ๆ (ลำแต้ๆ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมทันที กระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา 23.00 น.เลยเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อผ่อนคลายซะหน่อย ซึ่งรายการโทรทัศน์ที่กระผมดูวันนี้ คือ รายการตีสิบครับ โดยทางรายการได้นำเสนอชีวิตของคนขายของเก่าคนหนึ่งที่มีความกตัญญูและประหยัดอดออมเป็นเลิศมานำเสนอ นั่นคือ คุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ นั่นเอง หากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องคงจะยาวจึงได้นำคลิปวีดิโอมานำเสนอให้ชมกันครับ
หลังจากทุกท่านได้ชมเรียบร้อยคงจะมีความรู้สึกเดียวกับผมนะครับว่า ถึงคุณอภิรักษ์จะมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เหมือนบุคคลทั่วไป แต่ผมยอมรับนะครับว่าคุณอภิรักษ์มีความรับผิดชอบในการอดออมและกตัญญูต่อคุณแม่อย่างมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บางคนเสียอีก (ขอยกนิ้วให้ครับ..นายเยี่ยมจริงๆ) วันนี้ถือว่ากระผมก็ได้มีเรื่องอมยิ้มก่อนนอนเหมือนกันนะครับเนี่ย! และเช้าวันรุ่งขึ้นก็หมุนเวียนผ่านมาเหมือนทุกวันอีกครั้ง ซึ่งผมก็ตื่นขึ้นตามเวลาทุกวันครับหลังจากตื่นผมก็เริ่มปฏิบัติภารกิจส่วนตัวทันทีครับ ตอนนี้ทางเราก็อยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมกันเมาท์สักพักก็เริ่มเดินทางไปห้องประชุมทันทีครับ ซึ่งวันนี้บรรยากาศก็มีทั้งนักศึกษา นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคณะอาจารย์จากหลายสถาบันด้วยกัน
เริ่มจากกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทซึ่งมีหลายหัวข้อที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวพิษณุโลกดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานหาเลี้ยงตัวเองขณะที่ยังเรียนอยู่โดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับที่บ้าน และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาที่น่าสนใจ คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ ด้วยการรักและเคารพในหลวงด้วยหัวใจ ไม่เคยคิดคดกบฏต่อบ้านเมือง ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจประกอบการด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะคิดว่าหากแต่ละองค์กรมีการใช้หลักธรรมาภิบาลแล้วน่าจะเป็นหนทางในการดูแลรักษาซึ่งกันและกันทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมดีขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อมาเป็นกิจกรรม CSR เชิงระบบที่มีหัวข้อน่าสนใจดังนี้ อาทิ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรโดยมีการจัดอบรมความรู้เรื่อง CSR ให้กับบุคคลในองค์กร จัดให้มีการศึกษาดูงานตามองค์ต่าง ๆ ที่มีการทำ CSR เพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่อง CSR เพิ่มมากขึ้น เมื่อบุคลากรในองค์กรมีความเข้าใจในเรื่อง CSR แล้วก็จะเริ่มนำ CSR ไปปฏิบัติและเผยแพร่ต่อไป ส่วนอีกหัวข้อ คือ การทบทวนและปรับปรุงในการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR โดยจะปรับปรุงการบริการของพนักงานในมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ศูนย์พิษณุโลก ให้มีจิตสำนึกในการรักบริการเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ช่วงกลางวันอาหารมีมากมายทีเดียวครับทำให้ทั้งทีมงานและผู้ร่วมงานใช้เวลาในการรับประทานอาหารกลางวันมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายเราก็สามารถดึงคนทั้งหมดมาร่วมงานต่อได้ทันเวลาครับ ซึ่งกิจกรรมในตอนบ่ายก็จะเป็นการคิดโครงการ Creative CSR ของชาวจังหวัดพิษณุโลกโดยมีโครงการที่น่าสนใจได้แก่ “โครงการ Global Village สร้าง Trend ใหม่ให้เด็กไทยรู้เท่ากัน” เนื่องจากปัญหาด้านการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเด็กในเมืองและเด็กในถิ่นทุรกันดารยังมีอยู่ ซึ่งจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเยาวชน ทางกลุ่มจึงคิดโครงการโดยการเน้นสร้างระบบสารสนเทศเบื้องต้นผ่านทั้งจานดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตโดยมีการติดตั้งให้บริการอินเตอร์เน็ตในบริเวณรอบชุมชนเยาวชนกลุ่มเป้าหมาย และมีการผลิตรายการให้ความรู้ในรูปแบบ Real time เช่น ข่าวรอบจังหวัด ความรู้ดูได้ทั่วไทย เป็นต้น โดยโครงการมุ่งหวังว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเยาวชนให้น้อยลงด้วย
โครงการต่อมา คือ “โครงการขยะเพื่อการศึกษาพัฒนาเมืองพิษณุโลก” โดยเริ่มจากประชาสัมพันธ์ข่าวสารโครงการให้ประชาชนทั่วไปทราบก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มจากการไปเก็บขยะตามชุมชนโดยคัดแยกขยะนำส่วนที่สามารถไป Recycle หรือ Reuse มาประดิษฐ์ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษา และขยะส่วนที่ไม่สามารถ Recycle หรือ Reuse ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้ก็จะนำไปขายและนำเงินที่ได้ดังกล่าวมาใช้เป็นทุนในการซื้ออุปกรณ์การศึกษาอีกทีหนึ่ง เมื่อเราได้อุปกรณ์การศึกษาเพียงพอแล้วก็จะนำไปบริจาคต่อสถานศึกษาต่อไป
โครงการสุดท้าย คือ “โครงการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงอนุรักษ์ชมของดีเมืองพิษณุโลก” โดยโครงการจะเน้นการส่งเสริมท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมในจังหวัดพิษณุโลก เช่น วัดใหญ่ รถราง จำทวี และดนตรีมังคละ เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมระบบนิเวศน์ด้วยการล่องน้ำเข็กและร่วมกันเก็บขยะอีกด้วย โดยผู้มาร่วมท่องเที่ยวจะได้รับของชำร่วย คือ กล้วยอบน้ำผึ้งในชะลอมจิ๋ว เป็นของที่ระลึกอีกด้วย
วันนี้ผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์จาก 3 สถาบันด้วยกันซึ่งสถาบันแรก คือ โรงเรียนบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีพิษณุโลก โดยผมได้สนทนากับอาจารย์นภัสวรรณ แป้นบูชา และอาจารย์พัชรา พิทักษ์พูลศิลป์ โดยทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะไว้ดังนี้ “แต่แรกยังไม่ค่อยเข้าใจ CSR เท่าไรนัก แต่ตอนนี้ก็ได้รู้ว่าองค์กรธุรกิจนี้มิได้มองผลประโยชน์ของตนเป็นหลักเท่านั้น แต่ยังมองผลประโยชน์ของสังคมเป็นหลักอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการนำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้นักศึกษาเพราะในวันข้างหน้านักศึกษาเหล่านี้ก็จะออกไปประกอบกิจการซึ่งถ้ามีความรู้พลเมืองบรรษัทในวันนี้ ธุรกิจของนักศึกษาเหล่านี้ก็จะเป็นธุรกิจที่มองเห็นถึงผลประโยชน์ของสังคมร่วมด้วย”
ส่วนอาจารย์ท่านต่อมา คือ ท่านอาจารย์ รศ.ดร.ภูมิศักดิ์ อินทนนนท์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ท่านกล่าวว่า "ก่อนเข้าร่วมการอบรมครั้งก็พอมีความเข้าใจในเรื่อง CSR อยู่บ้าง แต่หลังจากฟังการอบรมเรียบร้อยทำให้รู้ว่าการทำ CSR จะทำให้องค์กรดำเนินกิจการโดยมิได้มองถึงผลกำไรอย่างเดียวแต่ยังต้องมองถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างอีกด้วย ส่วนพลเมืองบรรษัทสำคัญมากในการเผยแพร่เพราะหากนิติบุคคลตระหนักถึงหน้าที่พลเมืองบรรษัทอย่างชัดเจนย่อมส่งผลดีให้กับทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน และยังต้องมีการคำนึงถึงการทำ CSR ทั้ง In process และ After process ภายในองค์กรอีกด้วย"
และอาจารย์ท่านสุดท้าย คือ อาจารย์พิรุณรัตน์ บุญมีมา จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลกซึ่งท่านกล่าวก่อนปิดกิจกรรมในวันนี้ว่า “วันนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CSR ค่อนข้างเยอะมาก ทำให้เรารู้ว่าการทำ CSR มิใช่เป็นสิ่งไกลตัวเราออกไปและพวกเราทุกคนต้องหันกลับมาสำรวจบทบาทตัวเองอีกครั้งว่าวันนี้เราทำบทบาทที่เราได้รับดีแล้วหรือยัง ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่อย่างแน่นอนทั้งนักศึกษา รวมถึงเพื่อนร่วมงานโดยอาจจะให้ทางสถาบันไทยพัฒน์ไปบรรยายที่สถานศึกษาอีกด้วยเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ CSR ที่ชัดเจนอีกด้วย”
หลังจากงานเลิกทางทีมงานก็รีบเก็บของเพื่อมุ่งหน้าไปกราบนมัสการพระพุทธชินราชทันที เมื่อเรามาถึงวัดตอนเย็นก็กำลังเป็นเวลาในการทำวัตรเย็นพอดีทางเราจึงไม่สามารถเข้าไปในโบสถ์ได้แต่ทีมเราก็ยังมองเห็นพระพุทธชินราชนะครับ เพราะประตูโบสถ์ยังเปิดอยู่ ต้องยอมรับเลยครับว่าแค่เห็นเท่านี้ก็รู้สึกยินดีแล้วครับ เพราะพระพุทธชินราชสวยงามมากทางเราจึงขอไหว้แค่หน้าโบสถ์แล้วกัน กลัวเข้าไปในโบสถ์แล้วจะร้อนกัน…(อย่าคิดมากครับ ร้อนเพราะคนเยอะครับ) หลังจากไหว้เรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดต่อไปทันที ลองเดาสิครับว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดอะไร ใบ้ให้นิดนึงว่านึกถึงจังหวัดนี้ต้องเห็นภาพจระเข้เป็นจังหวัดแรก
ซักพักพวกเราก็มาเหยียบพื้นดินจังหวัดพิษณุโลกแล้วครับ ทางทีมงานสาวได้แนะนำให้เราไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวรด้วยครับ ซึ่งผมก็ขอไว้หลายเรื่อง ๆ เหมือนกันแต่เรื่องหนึ่งที่ผมขอพรอย่างชัดเจนมากที่สุด คือ อยากให้ประเทศไทยกลับมาสงบสุขอีกครั้ง (ขอแบบพระเอกครับ..แหะๆ) อยากให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยหรือคอรัปชั่นประเทศไทยให้มลายสูญสิ้นไป เหตุที่ผมขอพรอย่างนี้เพราะว่าในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก สมเด็จพระนเรศวรก็เป็นผู้กอบกู้บ้านเมืองให้กลับเป็นเอกราชอีกครั้ง และในวันนี้บ้านเมืองของเราแม้ไม่ได้เสียเอกราชให้ประเทศใด ๆ ตามรูปธรรมแต่ในความคิดของกระผมกลับมองว่าตอนนี้บ้านเมืองได้เสียเอกภาพผ่านความแตกแยกของคนในชาติไทยเอง ซึ่งผมคิดว่ามันร้ายแรงยิ่งกว่าการเสียเอกราชเสียอีก ผมก็ได้แต่หวังว่าพรที่ผมขอต่อสมเด็จพระนเรศวรในวันนี้จะสัมฤทธิ์ผลทำให้คนในชาติกลับมาสามัคคีและกลมเกลียวเช่นดังเดิมอีกครั้ง
หลังเราไหว้ขอพรที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรเสร็จเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรมทันที ซึ่งตอนช่วงรอจะ Check In เข้าที่พัก ผมก็มองเห็นน้ำใจของโรงแรมโดยผ่านการเชื้อเชิญจากเจ้าหน้าที่โรงแรมให้เราทานน้ำส้มกันตามสบาย ทีแรกผมยังคิดว่าน้ำส้มตรงนี้อาจจะมีไว้สำหรับแขกงานเลี้ยงให้ห้องประชุมใกล้ ๆ แหม แค่น้ำส้มแก้วเดียวตอนนี้ก็ทำให้กระผมพึงพอใจกับโรงแรมนี้พอสมควรแล้วครับ แล้วหลังจากที่พวกเรานำสัมภาระไปเก็บในห้องเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งสู่ร้านอาหารครับ ซึ่งวันนี้ร้านอาหารเราอยู่ติดแม่น้ำน่านเลยครับ (สังเกตว่าชื่อแม่น้ำอยู่ไกลมากไปไกลกว่า โน่น..อีกครับ ) อาหารก็อร่อยมากเลยครับ กระผมรู้สึก Enjoy Eating กับลาบทอดมากครับ เพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวสะใจวัยโจ๋จริง ๆ (ลำแต้ๆ) หลังจากเราทานอาหารเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับมาที่โรงแรมทันที กระผมก็นั่งพิมพ์ Blog ไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลา 23.00 น.เลยเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อผ่อนคลายซะหน่อย ซึ่งรายการโทรทัศน์ที่กระผมดูวันนี้ คือ รายการตีสิบครับ โดยทางรายการได้นำเสนอชีวิตของคนขายของเก่าคนหนึ่งที่มีความกตัญญูและประหยัดอดออมเป็นเลิศมานำเสนอ นั่นคือ คุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ นั่นเอง หากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องคงจะยาวจึงได้นำคลิปวีดิโอมานำเสนอให้ชมกันครับ
หลังจากทุกท่านได้ชมเรียบร้อยคงจะมีความรู้สึกเดียวกับผมนะครับว่า ถึงคุณอภิรักษ์จะมีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เหมือนบุคคลทั่วไป แต่ผมยอมรับนะครับว่าคุณอภิรักษ์มีความรับผิดชอบในการอดออมและกตัญญูต่อคุณแม่อย่างมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บางคนเสียอีก (ขอยกนิ้วให้ครับ..นายเยี่ยมจริงๆ) วันนี้ถือว่ากระผมก็ได้มีเรื่องอมยิ้มก่อนนอนเหมือนกันนะครับเนี่ย! และเช้าวันรุ่งขึ้นก็หมุนเวียนผ่านมาเหมือนทุกวันอีกครั้ง ซึ่งผมก็ตื่นขึ้นตามเวลาทุกวันครับหลังจากตื่นผมก็เริ่มปฏิบัติภารกิจส่วนตัวทันทีครับ ตอนนี้ทางเราก็อยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมกันเมาท์สักพักก็เริ่มเดินทางไปห้องประชุมทันทีครับ ซึ่งวันนี้บรรยากาศก็มีทั้งนักศึกษา นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคณะอาจารย์จากหลายสถาบันด้วยกัน
เริ่มจากกิจกรรมหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทซึ่งมีหลายหัวข้อที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับชาวพิษณุโลกดังนี้ เช่น การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานหาเลี้ยงตัวเองขณะที่ยังเรียนอยู่โดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับที่บ้าน และส่วนของพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน หัวข้อต่อมาที่น่าสนใจ คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติ ด้วยการรักและเคารพในหลวงด้วยหัวใจ ไม่เคยคิดคดกบฏต่อบ้านเมือง ส่วนพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจประกอบการด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาล เพราะคิดว่าหากแต่ละองค์กรมีการใช้หลักธรรมาภิบาลแล้วน่าจะเป็นหนทางในการดูแลรักษาซึ่งกันและกันทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมดีขึ้นอย่างแน่นอน
ต่อมาเป็นกิจกรรม CSR เชิงระบบที่มีหัวข้อน่าสนใจดังนี้ อาทิ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรโดยมีการจัดอบรมความรู้เรื่อง CSR ให้กับบุคคลในองค์กร จัดให้มีการศึกษาดูงานตามองค์ต่าง ๆ ที่มีการทำ CSR เพื่อให้มีความเข้าใจในเรื่อง CSR เพิ่มมากขึ้น เมื่อบุคลากรในองค์กรมีความเข้าใจในเรื่อง CSR แล้วก็จะเริ่มนำ CSR ไปปฏิบัติและเผยแพร่ต่อไป ส่วนอีกหัวข้อ คือ การทบทวนและปรับปรุงในการปฏิบัติดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวกับ CSR โดยจะปรับปรุงการบริการของพนักงานในมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ศูนย์พิษณุโลก ให้มีจิตสำนึกในการรักบริการเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ช่วงกลางวันอาหารมีมากมายทีเดียวครับทำให้ทั้งทีมงานและผู้ร่วมงานใช้เวลาในการรับประทานอาหารกลางวันมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายเราก็สามารถดึงคนทั้งหมดมาร่วมงานต่อได้ทันเวลาครับ ซึ่งกิจกรรมในตอนบ่ายก็จะเป็นการคิดโครงการ Creative CSR ของชาวจังหวัดพิษณุโลกโดยมีโครงการที่น่าสนใจได้แก่ “โครงการ Global Village สร้าง Trend ใหม่ให้เด็กไทยรู้เท่ากัน” เนื่องจากปัญหาด้านการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเด็กในเมืองและเด็กในถิ่นทุรกันดารยังมีอยู่ ซึ่งจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับเยาวชน ทางกลุ่มจึงคิดโครงการโดยการเน้นสร้างระบบสารสนเทศเบื้องต้นผ่านทั้งจานดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตโดยมีการติดตั้งให้บริการอินเตอร์เน็ตในบริเวณรอบชุมชนเยาวชนกลุ่มเป้าหมาย และมีการผลิตรายการให้ความรู้ในรูปแบบ Real time เช่น ข่าวรอบจังหวัด ความรู้ดูได้ทั่วไทย เป็นต้น โดยโครงการมุ่งหวังว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเยาวชนให้น้อยลงด้วย
โครงการต่อมา คือ “โครงการขยะเพื่อการศึกษาพัฒนาเมืองพิษณุโลก” โดยเริ่มจากประชาสัมพันธ์ข่าวสารโครงการให้ประชาชนทั่วไปทราบก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มจากการไปเก็บขยะตามชุมชนโดยคัดแยกขยะนำส่วนที่สามารถไป Recycle หรือ Reuse มาประดิษฐ์ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษา และขยะส่วนที่ไม่สามารถ Recycle หรือ Reuse ให้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้ก็จะนำไปขายและนำเงินที่ได้ดังกล่าวมาใช้เป็นทุนในการซื้ออุปกรณ์การศึกษาอีกทีหนึ่ง เมื่อเราได้อุปกรณ์การศึกษาเพียงพอแล้วก็จะนำไปบริจาคต่อสถานศึกษาต่อไป
โครงการสุดท้าย คือ “โครงการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงอนุรักษ์ชมของดีเมืองพิษณุโลก” โดยโครงการจะเน้นการส่งเสริมท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมในจังหวัดพิษณุโลก เช่น วัดใหญ่ รถราง จำทวี และดนตรีมังคละ เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมระบบนิเวศน์ด้วยการล่องน้ำเข็กและร่วมกันเก็บขยะอีกด้วย โดยผู้มาร่วมท่องเที่ยวจะได้รับของชำร่วย คือ กล้วยอบน้ำผึ้งในชะลอมจิ๋ว เป็นของที่ระลึกอีกด้วย
วันนี้ผมมีโอกาสสนทนากับอาจารย์จาก 3 สถาบันด้วยกันซึ่งสถาบันแรก คือ โรงเรียนบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีพิษณุโลก โดยผมได้สนทนากับอาจารย์นภัสวรรณ แป้นบูชา และอาจารย์พัชรา พิทักษ์พูลศิลป์ โดยทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะไว้ดังนี้ “แต่แรกยังไม่ค่อยเข้าใจ CSR เท่าไรนัก แต่ตอนนี้ก็ได้รู้ว่าองค์กรธุรกิจนี้มิได้มองผลประโยชน์ของตนเป็นหลักเท่านั้น แต่ยังมองผลประโยชน์ของสังคมเป็นหลักอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการนำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้นักศึกษาเพราะในวันข้างหน้านักศึกษาเหล่านี้ก็จะออกไปประกอบกิจการซึ่งถ้ามีความรู้พลเมืองบรรษัทในวันนี้ ธุรกิจของนักศึกษาเหล่านี้ก็จะเป็นธุรกิจที่มองเห็นถึงผลประโยชน์ของสังคมร่วมด้วย”
ส่วนอาจารย์ท่านต่อมา คือ ท่านอาจารย์ รศ.ดร.ภูมิศักดิ์ อินทนนนท์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ท่านกล่าวว่า "ก่อนเข้าร่วมการอบรมครั้งก็พอมีความเข้าใจในเรื่อง CSR อยู่บ้าง แต่หลังจากฟังการอบรมเรียบร้อยทำให้รู้ว่าการทำ CSR จะทำให้องค์กรดำเนินกิจการโดยมิได้มองถึงผลกำไรอย่างเดียวแต่ยังต้องมองถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างอีกด้วย ส่วนพลเมืองบรรษัทสำคัญมากในการเผยแพร่เพราะหากนิติบุคคลตระหนักถึงหน้าที่พลเมืองบรรษัทอย่างชัดเจนย่อมส่งผลดีให้กับทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน และยังต้องมีการคำนึงถึงการทำ CSR ทั้ง In process และ After process ภายในองค์กรอีกด้วย"
และอาจารย์ท่านสุดท้าย คือ อาจารย์พิรุณรัตน์ บุญมีมา จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลกซึ่งท่านกล่าวก่อนปิดกิจกรรมในวันนี้ว่า “วันนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CSR ค่อนข้างเยอะมาก ทำให้เรารู้ว่าการทำ CSR มิใช่เป็นสิ่งไกลตัวเราออกไปและพวกเราทุกคนต้องหันกลับมาสำรวจบทบาทตัวเองอีกครั้งว่าวันนี้เราทำบทบาทที่เราได้รับดีแล้วหรือยัง ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่อย่างแน่นอนทั้งนักศึกษา รวมถึงเพื่อนร่วมงานโดยอาจจะให้ทางสถาบันไทยพัฒน์ไปบรรยายที่สถานศึกษาอีกด้วยเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ CSR ที่ชัดเจนอีกด้วย”
หลังจากงานเลิกทางทีมงานก็รีบเก็บของเพื่อมุ่งหน้าไปกราบนมัสการพระพุทธชินราชทันที เมื่อเรามาถึงวัดตอนเย็นก็กำลังเป็นเวลาในการทำวัตรเย็นพอดีทางเราจึงไม่สามารถเข้าไปในโบสถ์ได้แต่ทีมเราก็ยังมองเห็นพระพุทธชินราชนะครับ เพราะประตูโบสถ์ยังเปิดอยู่ ต้องยอมรับเลยครับว่าแค่เห็นเท่านี้ก็รู้สึกยินดีแล้วครับ เพราะพระพุทธชินราชสวยงามมากทางเราจึงขอไหว้แค่หน้าโบสถ์แล้วกัน กลัวเข้าไปในโบสถ์แล้วจะร้อนกัน…(อย่าคิดมากครับ ร้อนเพราะคนเยอะครับ) หลังจากไหว้เรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดต่อไปทันที ลองเดาสิครับว่าจังหวัดต่อไปเป็นจังหวัดอะไร ใบ้ให้นิดนึงว่านึกถึงจังหวัดนี้ต้องเห็นภาพจระเข้เป็นจังหวัดแรก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น