วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

พะเยา

ในที่สุดเราก็เคลื่อนทัพออกจากพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน ซักที หลังจากที่รอสาวใจบุญทั้งสองอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เราเดินทางต่อไม่ไกลนักแต่ใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะถนนที่คดเคี้ยวและขึ้นเขาทำให้เราเร่งไม่ได้มากนัก แต่ก็คุ้มกับเวลาที่ใช้ครับ เพราะทิวทัศน์สองข้างทางงดงามมากๆ อยากจะหยุดรถถ่ายรูป แต่ถนนก็ไม่ใช่ของคุณพ่อผมซะด้วย กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ วิวนั้นเต็มไปด้วยภูเขาเขียวไปหมดเพราะต้นสักปลูกใหม่ มองลึกลงไปก็เป็นเหวครับ ธรรมชาติสุดๆไปเลย น้อยครั้งที่ผมจะเห็นอะไรแบบนี้ เพราะส่วนมากผมจะไปแต่ทะเล มันใกล้กว่าครับ คิดว่าถ้าต้นไม้ในโลกมีเยอะๆก็คงดี

เราพ้นโค้งทั้งหลายมาอย่างปลอดภัย แต่พี่เชด (คนขับรถ) ดันเลี้ยวขวาจะไปเชียงรายซะแล้ว จึงต้องกลับรถให้สมกับฉายา (เชด U-Turn) จริงๆ จังหวัดที่เรามาถึงเป็นที่คุ้นเคยของอาจารย์พงศ์ก็ว่าได้ เพราะเป็นบ้านเกิดของภรรยาสุดสวยของท่านนั่นเอง จังหวัดพะเยาครับ

เช้าต่อมาผมยังไม่อยากจะลุกจากเตียงเลย เพราะเหมือนนอนไม่ค่อยจะหลับ แต่ก็ต้องบังคับตัวเองไปอาบน้ำ และมานั่งดูข่าวเหมือนทุกวัน รู้สึกว่าจะมีการแข่งกีฬาที่เวียงจันทร์ ที่มี Mascot เป็นช้างชื่อ “จำปา กับ จำปี” ดูน่ารักทีเดียว ดูไปก็หงุดหงิดคนไทยครับ ที่บ้าแพนด้าเข้าเส้นไปแล้ว แพนด้ากลิ้งหน่อย ล้อมหน่อย เล่นกับแม่หน่อย น้ำหนักเพิ่มนิด ก็เป็นข่าวไปหมด (จะบ้ากันไปถึงไหน) จนสัญลักษณ์ประเทศเราจะไปเป็นของประเทศอื่นแล้ว

เราได้รวมตัวกันที่ห้องสัมนา วันนี้ดูพี่ๆ สดชื่นจริงๆ ครับ พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ที่มาเข้าอบรมลงทะเบียน ชาวเหนือนี่อารมณ์ดีจริงๆ อาจเป็นเพราะอากาศที่ดีกว่าที่อื่นก็เป็นได้ การบรรยายเริ่มขึ้น วันนี้อาจารย์เสียงค่อนข้างจะกลับมาเข้าที่หน่อยแล้ว จะว่าไปแล้วจังหวัดพะเยาไม่มีนักศึกษามาเข้าร่วมเลย เพราะอยู่ในช่วงสอบ แต่ตัวแทนจังหวัดก็มาในจำนวนพอเหมาะทีเดียว

กิจกรรมเรื่องหน้าที่พลเมือง ผู้นำเสนอมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทำความเคารพรูปของพระองค์ก่อนออกจากบ้าน อีกทั้งเตือนสติตนเองว่าจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรตามรอยพ่อหลวง เริ่มจากตัวเองก่อน ต้องดีทั้งกาย วาจาและใจ ท่านที่สองได้เลือกในข้อเดียวกับท่านแรก ต้องไม่ว่าร้ายผู้อื่นและสถาบันหลักของชาติโดยทั้งทางกาย วาจา และใจ อยากให้องค์กรไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคม เคารพกฏหมายอย่างเคร่งครัด และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องโปร่งใส ถ้าทำได้ก็จะไม่เกิดความวุ่นวาย ท่านสุดท้ายก่อนที่เราจะไปเบรค ก็เลือกในหัวข้อเดียวกันอีก ปฏิบัติตนเป็นคนดีของสังคม รับผิดชอบต่อหน้าที่ น้อมนำพระราชบัญญัติต่างๆเข้ามาในชีวิต อยากส่งเสริมให้องค์กรและพนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วสิ่งดีๆทั้งหลายก็จะตามมา

ในวันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์สุทธิชัย ปัญญโรจน์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวรพะเยา โดยท่านกล่าวว่า “ความจริงเข้าร่วมเป็นปีที่ 2 ได้ความรู้มากรวมทั้งข้อมูล เพราะตอนนี้เป็นยุค Changing สามารถนำเอาข่าวสารใหม่ๆไปถ่ายทอดให้นิสิตได้อีกทางหนึ่ง มาจัดที่นี่ดีมาก ต้องยอมรับว่าคนอยู่ต่างจังหวัดจะไกลปืนเที่ยงเพราะการอบรมส่วนมากจะมีแต่ที่กรุงเทพฯ ทำให้ลำบากในการเดินทาง การจัดให้ตามต่างจังหวัดจะดีมาก เพราะเขตภูธรจะได้ความรู้ด้วย หน้าที่พลเมืองสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ปัจจุบันจะมุ่งไปยังบริโภคนิยมเป็นหลัก คือเรื่องเงิน การที่ได้ฟังการบรรยาย ทำให้เรารู้ว่าพลเมืองที่ดีต้องมีศีลธรรมจะได้เอาไปถ่ายทอด และทำให้เด็กปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้เด็กฉุกคิดและกลับมาเป็นพลเมืองที่ดีได้”

อีกทั้งผมได้มีโอกาศนิมนต์พระอาจารย์ฉันอาหารเพล และได้นั่งพูดคุยกับท่านพักใหญ่ ท่านบอกว่าท่านชอบที่จะเป็นพระมากกว่า เพราะสามารถช่วยคน สังคม ได้มากกว่าการเป็นสามัญชนธรรมดา แต่การช่วยบางครั้งพวกบางกลุ่ม บางองค์กรชอบมาถ่ายรูปตอนท้ายๆ เอาหน้าเป็นงานของตน คนเรามันก็เป็นแบบนี้ บางคนมี 20 บาทแต่เลี้ยงดูแม่ตลอดมา กับบางคนที่มี 20 ล้าน แต่ไม่เคยที่จะดูแลพ่อแม่เลย มันก็ใช้ไม่ได้ “มาตา อปิตุ อุปถานัง การบำรุงมารดาเป็นสิ่งที่ประเสริฐ” (ผมไม่แน่ใจว่าผมเขียนถูกไหม) พระอาจารย์บอกว่าท่านได้ซื้อที่ดินให้กับวัดและปลูกพืชกินได้ทุกอย่างที่ปลูกได้ มีก็แจกจ่ายให้ชาวบ้าน เดือดร้อนอะไรมาก็เต็มใจช่วยทุกอย่าง บ้านเมืองเรามันไม่มีความสามัคคี มั่วไปหมด ดูอย่าง USA เค้าตีกันก็จริงแต่เวลาชาติบ้านเมืองเกิดวิกฤติ เค้าก็ร่วมมือกัน ทำไมเราไม่เอาสิ่งดีๆ เป็นตัวอย่างบ้าง ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ตนเอง เริ่มจากตนเอง ประเทศคงจะเจริญมากเลย

นอกจากนี้อาจารย์สมพร จิรศาสตร์ จากวิทยาลัยเทคนิคพะเยา ยังกล่าวไว้อีกว่า “ก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่อง CSR เป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ สถาบันก็ทำ เน้นในเรื่องจิตสาธารณะ เราก็มีกิจกรรมออกไปสอนเด็ก มีส่วนร่วมกับสังคม จัดกิจกรรมปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ทำอะไรหลายๆอย่าง ให้เด็กนักเรียนเป็นคนดีมีคุณภาพ มาจัดที่จังหวัดพะเยานี่ดีมากเลย จังหวะปิดภาคเรียน ทำให้ว่างมาในวันนี้ ก็เจอผู้เข้าอบรมหลากหลายดี มันเป็นสิ่งจำเป็นมากเลยที่จะนำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอน ในวิชาก็สอดแทรกสิ่งเหล่านี้อยู่และพยายามพลักดันให้เค้าปฏิบัติ เพราะเราตระหนักว่าอนาคตเด็กเหล่านี้ต้องไปสร้างตัวเองก็พยายามจะให้สิ่งดีๆกับเค้ามากที่สุด”

สำหรับกิจกรรม CSR เชิงระบบในวันนี้ ผู้นำเสนอท่านแรกอยากให้องค์กรเพิ่มความเข้าใจในเรื่อง CSR อยากให้ทุกคนมีจิตสาธารณะ ปลูกฝังในด้านคุณธรรม จัดกิจกรรมเข้าค่ายละลายพฤติกรรม คืนกำไรให้สังคมและชุมชน ลดการเอาเปรียบสังคม ท่านต่อมาอยากให้เพิ่มในเรื่องเดียวกับท่านแรกเช่นกัน มีการจัดอบรม ทำเอกสาร แจกเทป เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ มีการศึกษาดูงาน ถ้าเข้าใจถึงเรื่อง CSR ก็จะมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง องค์กร หน่วยงาน ทั้งเรื่องเวลา งบประมาณ ท่านที่สามต้องการให้องค์กรทำการบูรณาการเรื่อง CSR แต่จะเน้นไปในเรื่องการเงินส่วนมากและหน่วยงานที่สนับสนุน มีการระดมสมอง นำไปปฏิบัติและติดตามประเมินผล

อาจารย์ศิริพร สดเมือง จากวิทยาลัยการอาชีพเชียงคำ ได้แสดงทัศนะกับผมว่า “ได้รับความรู้เยอะแยะ บางเรื่องเรารู้แต่อาจจะไม่รู้จริง วันนี้ก็ได้กระจ่าง จริงๆน่าจะมาจัดในช่วงเปิดเทอมจะได้พาเด็กมาเยอะๆ คิดว่าสามารถนำเรื่องหน้าที่พลเมืองไปสอนได้เยอะ จำเป็นเพราะสอนวิชาธุรกิจทั่วไปด้วย เรื่องการประกอบธุรกิจ จำเป็นมากๆที่จะต้องส่งเสริมให้เด็กมีจรรยาบัญในการประกอบธุรกิจ ซึ่งต้องซื่อสัตย์ต่อทั้งลูกค้า สังคม ชุมชน”

ส่วน Creative CSR เราได้ “โครงการขยายพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์” มีชื่อกลุ่มด้วยสำหรับโครงการนี้ ชื่อกลุ่ม “ข้ามากับพระ” กำหนดกลุ่มเป้าหมายจากเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ ทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันส่งเสริมให้ความรู้ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เพื่อเพิ่มมูลค่า (Value Added) จัดการอบรมให้ความรู้ถึงขั้นตอนวิธีการปลูกข้าวอินทรีย์ ก็จะได้ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ เกษตรกรจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้ปุ่ยเคมีมาเป็นปุ๋ยธรรมชาติ สุขภาพผู้บริโภคก็จะดี สร้างมูลค่าเพิ่มต่อตัวสินค้า ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสัมผัสธรรมชาติจากข้าวหอมมะลิที่ปลอดสารพิษ

ต่อมา คือ “โครงการทำปุ๋ยชีวภาพจากเศษอาหาร” มีการรวมกลุ่มจัดตั้งคณะทำงาน และประสานงานกับท้องถิ่น นัดประชุมชาวบ้านมาให้ความรู้เรื่องทำปุ๋ย จัดหาอุปกรณ์ เศษอาหาร กากน้ำตาล เพิ่มความรู้ ว่าท้องถิ่นจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง และแก้ปัญหาลดการใช้สารเคมี ต้นทุนทำให้ดินไม่เสียง่าย ลดภาวะโลกร้อนและอากาศเป็นพิษ อาจจะเห็นผลช้ากว่าปุ๋ยเคมีแต่ให้ผลผลิตสูงที่ต้นทุนต่ำ ยั่งยืนยิ่งกว่า เพิ่มรายได้ลดรายจ่ายให้เกษตรกร

นอกจากนี้ยังมี “โครงการฟ้าใสเมืองพะเยา” เพื่อลดหมอกควัน รณรงค์ให้เห็นประโยชน์และโทษ ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ พยายามผลักดันให้ใช้ปุ๋ยชีวภาพ จัดอบรมให้ความรู้และเผยแพร่ทางเอกสาร มีการปลูกจิตสำนึกเดือนละ 1 ครั้ง ประชาชนก็จะเข้าใจและลดการเผาป่่า ได้บรรยากาศที่ดี ลดภาวะโลกร้อน ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับเมืองพะเยาด้วย

ก่อนจบกิจกรรมวันนี้อาจารย์นวพร เกษสุวรรณ จากมหาวิทยาลัยนเรศวรพะเยา ได้พูดคุยกันเราว่า “แน่นอนได้ทราบเกี่ยวกับเรื่อง CSR สอนเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ด้วย ก็อยากได้หัวข้อนี้ไปทำ Case Study ดีที่มาจัดกิจกรรมให้ค่ะ องค์กรที่ได้ก็สามารถนำเรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ บางที่ทำอยู่แล้วแต่อาจไม่ทราบว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเรียกว่าอะไร จากกรณีศึกษาที่วิทยากรยกตัวอย่างมา ก็จะเอาเรื่องพลเมืองไปบอกให้เด็กรู้ว่าภาคเอกชนเค้าทำ CSR กันอย่างไรบ้าง”

เมื่อวานที่จังหวัดน่านผมได้รู้ว่าเค้าเรียกถุงพลาสติกว่า “ถุงซู่แซ่” แต่วันนี้จังหวัดพะเยาเค้าเรียกกันว่า “ถุงแซ่วแซ่ว” และ Commentators ของเราวันนี้ก็ฮาเหลือเกิน กรรมการท่านหนึ่งบอกว่าความคิดสร้างสรรค์เนี่ยมันต้องฉีกแนวไปเลย อย่างเช่นถ้าผมได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ผมจะทำให้การเทศน์ของพระเหมือน Concert เลย มีแสงไฟส่อง มีไฟวิ่งไปยังพระที่มาเทศน์ตลอด นะโม ตัสสะ ภัควะโต! เอาแบบเป็นจังหวะเลย พี่เค้าล้อเล่นนะครับ คงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ฮ่าๆๆ ท่านยกตัวอย่างเฉยๆ ท่านอยากให้เห็นว่านี่คือการฉีกแนวไปเลย

เราได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่วัด วัดศรีโคมคำ อืม...จะว่าไปแล้วทริปนี้เราเป็นทริปไหว้พระรึไง เพราะเราเข้าวัดกันทุกวันเลย แต่ก็ดีครับทำให้จิตใจโล่ง อาจารย์พงศ์ พี่เชดและผม ก็ได้เดินกลับมาที่รถ ได้เจอกับสาวแกร่งท่านหนึ่งเป็นคนขับรถตู้เช่นกัน พี่เชดก็ได้ไปถามว่าขึ้นเขาที่ไหนมาบ้าง เธอบอกว่าขึ้นหมด เดินทางไปเหนือลงใต้ทุกอย่าง ดอยไหนเธอไปหมดแล้ว พี่เชดอึ้งเลย ฮ่าๆๆ ของมันอยู่ที่ใจเธอบอก เครื่องของรถทั้งสองคันก็เท่ากัน เธอบอกอีกว่าขับรถตู้ภาคเหนือขึ้นดอยไม่ได้ก็อย่าทำเลย โดนไปเต็ม อาจารย์พงศ์หัวเราะชอบใจใหญ่ เราไปล่องเรือกันต่อที่กว๊านพะเยา นั่งเรือพายไปกลางบึงเพราะสมัยก่อนเป็นวัดแต่ถูกน้ำท่วมจนหายไปหมดแล้ว แต่มีการงมเอาพระพุทธรูปขึ้นมาให้กราบไหว้บูชา คาดว่าน้ำคงลึกมากๆ อย่างน้อยก็ต้องประมาณ 5 เมตรขึ้นไปแน่ๆ เราก็ได้ไปแวะทักทายคนที่บ้านของภรรยาสุดสวยของอาจารย์พงศ์ ก็นั่งสนทนาอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกันต่อไปยังจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของไทยเราครับ ลองเดากันดูว่าเราจะไปโผล่กันที่ไหนนะครับ สำหรับตอนนี้ผมก็งีบเอาแรงซักหน่อย สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น