วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

น่าน

ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากจังหวัดแพร่นั้น เราได้แวะไปที่ร้านยาและ Seven Eleven เพื่อหาของมาใส่ท้องซักนิดหนึ่งเพราะพี่คนขับรถบอกว่ากว่าจะไปถึงที่หมายต่อไปอาจจะใช้เวลาซักนิดหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนซื้อของกันอยู่ ผมก็ได้แวบไปที่ร้านที่มีเจ้าสุนัขน้อย Siberian Husky 3 ตัวนั้น ที่ต้องแอบมาเพราะกล้วพี่แอนตามมาด้วย ถ้าเกิดสุนัขเห็นเธอกระโตกกระตากอีกมันอาจจะกัดเอาได้ ผมจึงไปขออนุญาติเจ้าของมัน ถ่ายรูปมาให้ทุกท่านได้ดูเล่นว่าสุนัขหิมะอย่างพวกมันก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับบ้านเราได้ เราได้เดินทางต่อกันทันที แต่ถนนค่อนข้างจะเป็นโค้งซะมากเลย ผมเลยจำเป็นต้องข่มตาหลับเพื่อจะได้ไม่เมาครับ จะว่าไปแล้วพี่ๆทุกคนก็หลับกันหมดเหมือนกัน เพราะแต่ละคนไม่ค่อยจะสมบูรณ์นักจึงต้องเก็บแรงไว้ให้ได้มากที่สุด

เรามาถึงที่หมายในเวลาประมาณเกือบ 2 ทุ่ม วันนี้พี่เชด (คนขับรถอารมณ์ดีของเรา) ดีใจมากเลยเพราะเหมือนได้กลับบ้านหลังที่สอง ทำไมผมถึงพูดว่าบ้านหลังที่สอง นั่นเป็นเพราะที่นี่เป็นจังหวัดที่แฟนพี่เค้าอยู่ครับ จังหวัดน่านนั่นเอง ไม่รอช้าพี่เค้าก็ได้พาเราไปยังร้านอาหารชื่อ “ชมเดือน” ซึ่งเป็นร้านอาหารของน้องแฟนพี่เชดนั่นเอง พี่แกนำเสนอเป็นอย่างมาก เซิฟเอง บริการ เทน้ำ ตักข้าว ถามถึงรสชาติทุกอย่าง โห...อะไรจะขนาดนั้น สอบถามพี่เค้าได้ความว่าต้องรีบทำคะแนน ฮ่าๆๆ แต่แล้วก็มีประเด็นมาอีก จะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เธอคนนี้ พี่แอนอีกแล้ว เธออีกแล้ว! “ไหนว่าร้านอาหารชื่อน้องแฟนไง ทำไมชื่อชมเดือนละ?” พี่ผึ้ง อาจารย์พงศ์และผม ต่างกุมหัวตัวเอง ประมาณว่าไม่รู้จะพูดกับเธอแบบไหนดี ภาษาอะไรดี พี่ผึ้งจึงอธิบายให้เธอฟังด้วยท่าทีหมดแรง เธอจึงเข้าใจและพยายามพูดอะไรอีกเยอะแยะต่อๆไปไม่หยุด ฮ่าๆ (ผมคิดในใจว่า หาอะไรหวดซักทีดีไหมเนี่ยะ ชักจะไม่ไหว เหอๆ) หนุ่มๆ จะชอบและสนใจเธอเป็นอย่างมากกับความ อาโนเนะ ของเธอ ประมาณว่า First Impression เอาไปเต็มว่างั้น แต่รู้จักแล้ว........อืมพอดีกว่า เอาเป็นว่าเธอน่ารักน่าแกล้งก็แล้วกันครับ (^_^’)

หลับสบายเลยครับ ตื่นมาก็อารมณ์ดีเพราะเมื่อคืน ได้ดู ตี 10 ในช่วง ดันดารา กระเทยมาแข่งร้องเพลงกันตลกมากๆครับ คิดแล้วยังอดขำไม่ได้ พวกเธอช่างกล้าจริงๆ หลายท่านอาจจะบอกว่าไม่ชอบคนเหล่านี้ แต่ผมรู้สึกเฉยๆครับ และคิดว่าพวกเธอนั้นช่างมีความสามารถหลากหลายทั้งยังกล้าแสดงออกยิ่งนัก โรงแรมเทวราช นี่ดีจริงๆครับ ห้องอบรมก็ดูใหญ่และดูเป็นสัดส่วนดีมาก การบรรยายได้เริ่มขึ้นกับมุขของอาจารย์ที่ว่า วันนี้ผมอาจจะเสียงเหมือนแดน D2B เนื่องจากบรรยายมาค่อนประเทศแล้ว วันนี้เสียงอาจจะแหบซักเล็กน้อย ต้องขออภัยด้วยครับ ได้คะแนะจากน้องนักศึกษาที่ส่งยิ้มให้ไปเพียบ จ๊าก...อ่ะนะปล่อยให้ท่านหนึ่งวันเพราะท่านยังไม่ฟิตนัก ต้องการกำลังใจอย่างมาก อืม...ว่าแต่คนทางบ้านจะรู้ไหมนะ เหอๆ

กิจกรรมหน้าที่พลเมืองในวันนี้ ผู้นำเสนอเป็นผู้มีความพากเพียร ทำงานด้วยความสุจริต ไม่คดโกงใคร ทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความราบรื่นต่างจากพวกที่แสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพโดยทุจริต ต้องหลบๆซ้อนๆ ในส่วนของความเป็นพลเมืองบรรษัทก็อยากให้ดำเนินกิจการที่ไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม นอกจากจะทำให้ธุรกิจดีขึ้นแล้ว ยังลดปัญหาต่างๆอีกด้วย ท่านต่อมาเน้นในเรื่องของศาสนา เป็นข้อที่สำคัญมากเพราะสามารถครอบคลุมได้ทุกข้อ ขอแค่ยึดศีล 5 ก็พอยังไม่ต้องไปถึงศีล 8 ถ้าทำได้จะเป็นคนดีอย่างแน่นอน ไม่อึดอัดใจเวลาทำด้วย จะมีความสบายใจ อิ่มใจ ปิติและได้บุญกุศล และอยากให้องค์กรประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม ท่านต่อมาพูดในเรื่องของศาสนาเช่นกัน ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม อยากให้องค์กรแสดงความเป็นพลเมืองบรรษัทโดยการ ประกอบธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรโดยใช้หลักธรรมภิบาล และไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

เราได้ร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งครับ รู้สึกว่าท่านจะเป็นที่รู้จึกของคนจังหวัดน่านเหลือเกินเพราะขณะที่ทานอยู่นั้น มีคนผ่านมายกมือสวัสดีท่านกันพอสมควร เราได้ทำการสนทนากันครับ ได้ข้อมูลว่า ท่านเคยอยู่แถวรังสิตมาก่อน เคยทำงานให้กับโรงพยาบาลธัญญารักษ์ ตั้งแต่สมัยบุกเบิก ท่านบอกว่ามองจากโรงพยาบาลสามารถมองเห็นทางรถไฟได้ ผมอยู่รังสิตมา 20 กว่าปีไม่เคยจะมองเห็น ยังบอกอีกว่าสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวโกฮับดังมากชามละ 2 บาท เหล้าแม่โขงแบนละ 15 บาท มี 100 บาทสมัยนั้นกินเหล้ากันเมาจนอ้วกแตก สมัยนี้แค่น้ำแข็งก็ไม่พอแล้วครับ น้ำมันลิตรละ 2 บาท เท่ากับก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งเลย ทองหนัก 1 บาท มูลค่า 390 บาทเท่านั้น ทำงานอยู่แถวรังสิตซักพัก ก็ได้ย้ายมาทำเกี่ยวกับสาธารณสุขที่แม่ฮ่องสอน 2 ปี แต่ก็มาตั้งรกรากอยู่ที่น่านครับ เพราะได้ภรรยาที่นี่ สังเกตได้ว่าเป็นเหมือนกันหมด เวลาแต่งงานแล้วก็จะล้มเลิกความอิสระและอยู่อย่างมั่นคง ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีจริงๆ การที่เราได้รู้จักคนสูงอายุทำให้เราได้รู้ประวัติศาสตร์หลายๆอย่างเลย

CSR เชิงระบบ ท่านแรกอยากให้องค์กรจัดกิจกรรมจัดสถานศึกษาให้มีความสะอาดเรียบร้อย ควรปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ให้มีความเป็นระเบียบเป็นสัดส่วน ท่านที่สองอยากให้มีการสื่อสารเรื่อง CSR โดยจัดอบรมและเสนอนโยบายให้กับผู้บริหารในระดับอำเภอและจังหวัด จะทำให้ชุมชนมีความเข้าใจและอยู่อย่างมีความสุข ความคิดสร้างสรรค์จะทำให้องค์กรมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ความสามัคคีก็จะมีมากขึ้นด้วย ท่านที่สามอยากให้มีการเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ อยากให้จังหวัดเปิดเวทีสาธารณะในการให้ความเข้าใจเรื่อง CSR ระดมความคิดให้เกิดกิจกรรมที่หลากหลายและสอดคล้องกัน เชิญตัวแทนแต่ละภาคส่วน โดยมุ่งเน้นให้สอคคล้องกับกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด นั่นคือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นำความคิดนี้ไปพัฒนาเผยแพร่ให้กับชุมชนอื่นได้

มาถึงกิจกรรมที่ทุกคนรอคอยครับ Creative CSR เราได้ “โครงการเมืองน่านน่าอยู่ เมื่อหมู่เฮาบ่เอาถุงพลาสติก” โครงการนี้ทำให้ผมรู้ว่าถุงพลาสติกมีอีกชื่อเรียกว่า ถุงซู่แซ่ มีการรณรงค์ให้ลดการใช้ถุงพลาสติก กำหนดอย่างน้อยหนึ่งวันในสัปดาห์ใช้ถุงผ้า หรือใบตองแทน และใช้กระติกน้ำแทนการใช้ถุงใส่น้ำ ขอความร่วมมือจากพ่อค้าแม่ค้าให้มีส่วนลดจากการใช้ถุงผ้าในการใส่ของแทนถุงพลาสติก มีการให้รางวัลกับผู้ที่ใช้บ่อยที่สุด ทำให้ชุมชนมีทัศนคติที่ดีรักสิ่งแวดล้อม เป็นจุดขายการท่องเที่ยว Green Tourism

ต่อมา คือ “โครงการพืชผลทางการเกษตรปลอดสารพิษ พิชิตหอยเชอรี่” รวมกลุ่มเกษตรเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยนำหอยเชอรี่มาทำกรรมวิธีให้เป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ ซึ่งสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิด ได้พืชปลอดสารพิษ กำจัดหอยเชอรี่ทางอ้อมและทำให้เกษตรกรมีสุขภาพดี ปลอดภัยจากสารเคมี ชุมชนก็จะได้พืชที่ไม่มีสารตกค้างเช่นกัน

อีกโครงการ คือ “โครงการจักรยานพันธุ์ใหม่ ใส่ใจผู้ขับขี่” ผลิตจักรยานที่มีความเร็วไม่เกิน 50 กม/ชม มีเสียงเตือนเมื่อไม่ใส่หมวกนิรภัย ถ้าไม่เอาขาตั้งขึ้น รถก็จะไม่สามารถทำงานและขับขี่ได้ ผู้ที่ไปทำงาน แม่บ้านและคนที่ใช้จักรยานก็จะแข็งแรง การขี่จักรยานทำให้มลพิษลดลงเนื่องจากไม่ต้องใช้น้ำมัน อุบัติเหตุร้ายแรงก็น้อยลงเพราะความเร็วที่จำกัด ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง

ในวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ทิพวรรณ สุขมี จากวิทยาลัยเทคนิคน่าน ท่านบอกกับทางเราว่า “ได้รู้มากกว่าปีที่แล้ว ในหนึ่งปีเรื่อง CSR ก็มีมากขึ้น บางคนไม่รู้ก็ได้รู้ มันแปลกใหม่จริงๆ พวกเค้าสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่และต่อยอดให้กับผู้ใกล้เคียงได้ มาจัดกิจกรรมให้ ดีมากเลย เรื่องความรู้ข่าวสาร ปีนี้ปีที่ 2 ถ้ากระจายให้กับนักศึกษาจะยิ่งกระจายเร็วมากเพราะเค้าจะไปคุยกัน ถ้ามีการจัดอบรมอีกก็อย่าลืมจังหวัดน่าน เพราะเป็นจังหวัดที่จะพัฒนาได้อีกเยอะมาก โดยจิตใจคนเหนือจะเป็นคนโอบอ้อมอารี มีจิตสำนึกในเรื่องน้ำใจ ช่วยเหลือชุมชนมากอยู่แล้ว นานมากแล้วที่ขาดในเรื่องหน้าที่พลเมืองไป บางคนไม่รู้ว่าหน้าที่ตัวเองคืออะไร เอามาพูดมาย้ำมาเตือนก็จะดี ถ้าดึงกลับมาจะดีมาก ยังมีอีกหลายเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไป ต้องไปตอกย้ำในเรื่องหน้าที่พลเมืองให้มากๆเลย”

หลังจากที่อบรมเสร็จก็มีน้องนักศึกษาอยู่หนึ่งคนมาบอกกับผมว่า เมื่อคืนก่อนจัดอบรม เห็นผมกับอาจารย์พงศ์ นั่งกินเหล้าอยู่ที่ผับแห่งหนึ่งชื่อ Fit Club ในจังหวัดน่าน บอกว่าจำได้เลยเหมือนกันเลย..... ผมงงเลยครับ เมื่อวานอาจารย์ไม่ค่อยสบายหลับไปตั้งแต่ 4 ทุ่ม ผมก็ทำงาน 5 ทุ่มก็หลับไปเช่นกัน ชื่อร้านผมยังไม่รู้จักเลย ฮ่าๆๆ ผมจึงบอกไปว่าน้องคงจำผิดมั้งครับ เธอก็ยังยืนยันว่าเห็นจริงๆ อยากเห็นไอ้คนที่หน้าเหมือนเราสองคนจริง เธอบอกอีกว่ามีอีกคนสูงๆ ผอมๆ ขาวด้วย เผอิญพี่คนขับรถเรา อืม...ไม่สูงนัก อ้วน คล้ำด้วย ฮ่าๆ คงจะไม่ใช่แน่นอน ผมจึงบอกไปว่าคงผิดจริงๆละครับ น้องๆและเพื่อนๆของเธอจึงสวัสดีและลากลับไป

เราได้ไปแวะกราบไหว้ พระธาตุแช่แห้ง ไม่มาที่นี่แสดงว่ามาไม่ถึงจังหวัดน่าน ปกติการสักการะคงใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีอย่างแน่นอน แต่ผมนั่งรอคุณพี่ผึ้งและพี่แอน ประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่รู้เธอสองคนหายไปทำอะไร เห็นว่าไปเช่าพระ และเป็นสมาชิกในการสร้างกระต่ายอะไรซักอย่างให้ในหลวงของเรา ส่วนอาจารย์หลับอยู่ในรถรอ ผมก็นั่งอยู่ข้างนอกคิดว่าถ้าพี่ๆเดินมาขึ้นรถ ผมจะได้ไม่ต้องลุกไปลุกมาให้อาจารย์ต้องรำคาญ แต่กว่าจะมาผมตัวแทบจะละลายอยู่แล้ว เหงื่อออกเป็นท่อน้ำเลย อากาศร้อนจริงๆ ฮ่าๆๆ แต่ก็ดีครับที่พวกเธอไปทำบุญกันจะไปเร่งก็จะบาปเอา เสร็จธุระที่วัดพระธาตุแช่แห้งแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปทันที สำหรับวันนี้ต้องขอบคุณทุกท่านมากๆที่ให้การติดตามกันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น