วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

นครราชสีมา




Notice: การเขียนในจังหวัดนี้ จะมีผู้เขียนสองคนเหมือนจังหวัดชลบุรีนะครับ แต่ก็ยังคงสาระและความสนุกไว้เช่นเคย ยังไงก็เป็นกำลังใจ ช่วยอ่านกันเยอะๆนะครับ!

(นายแม็กซ์) และแล้วก็มาถึงวัน วันที่เราต้องไป.....(เพลงเสกโลโซ) เหอๆ สวัสดีชาว CSR Campus ทุกท่านครับ วันนี้เป็นวันที่ทุกคนดูขยันและเร่งรีบกันเป็นพิเศษอีกวันหนึ่ง การเดินทางครั้งนี้เป็นทีมใหญ่เลยครับ ผมจะขอกล่าวรายชื่อซักนิดหนึ่งนะครับ (ดร.พิพัฒน์ อาจารย์สุธิชา อาจารย์ชวันรัตน์ อาจารย์วุฒิพงศ์ อาจารย์ฌานสิทธิ์ พี่หมู พี่สาว พี่ผึ้ง พี่แอน พี่น้อง พี่หนึ่ง พี่ตอง และผม) แต่สิ่งที่ Surprise ก็คือเราได้ผู้ร่วมเดินทางหน้าใหม่อีกหนึ่งท่านคือ น้องนีน่า ซึ่งทางเราเพิ่งจะ Import เธอ มาจาก United States of America ทางนีน่าอาจจะเข้าใจภาษาเรา แต่ยังยากที่จะเข้าใจในมุขของพี่หนึ่งและกระผม เราพร้อมใจกันเตรียมตัวเก็บวัสดุอุปกรณ์ ตรวจเช็คสิ่งของต่างๆ ที่จะเอาไปใช้ในงาน CSR Campus ระดับภาคอีสาน! ที่โคราชครับ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือกีตาร์ของอาจารย์พงศ์และผม (นายแม็กซ์) ขาดไปเหมือนขาดเสียงเพลงและชีวิตชีวา ถึงแม้จะเกะกะยานพาหนะของเราไปบ้างก็หยวนๆ นะ

ล้อของเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัว 9 ที่นั่ง (รถตู้ -_-‘ ) ทั้ง 2 ลำ พูดให้ดูยิ่งใหญ่ ก็เคลื่อนตัวออกจากลานกว้างขนาดใหญ่หน้าสถาบัน ซึ่งเราได้รับความสะดวกสบายจาก โปรธงชัย ใจดี ที่มาให้บริการเราในการพาเราไปถึงที่หมาย (หน้าคนขับรถตู้เราเหมือน โปรธงชัย อะครับ) ในระหว่างที่เรากำลังเม้าท์แตกกันอยู่ในรถนั้นเอง รถตู้ก็มาติดค้างบนทางด่วน มันเกิดอะไรขึ้น หลายๆ คนจากรถคันอื่นๆ ก็ลงมาและเดินไปดูอะไรบางอย่าง พวกผมเองนั้นก็นั่งคุยกันอยู่ในรถ เห็นควันสีขาวหนาแน่น ลอยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เฮ้ย! ควันจากรถที่ติดถังแก๊สนี่หว่า! มีคนตะโกนมา ทุกคนตาเหลือกกันใหญ่ บะแล้ว บะแล้ว! ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย ต้องมาพลีชีพแล้วหรอเนี่ย รถติดยาวเป็นแถว ผู้คนเริ่มตกใจกลัว และสันนิษฐานกันไปต่างๆ นาๆ แม๊กซ์ลงไปดูซิ (ทำไมต้องผมเนี่ยะ) เป็นเสียงคำสั่งที่ออกมาจากเบื้องบน คนในรถมีตั้งเยอะ ผมซะงั้นอะ ฮ่าๆๆ แต่หัวหน้าประจำทีมผมได้แสดงความรักลูกศิษย์ (รึป่าวหรือว่าแค่อยากลงไปดู) อาจารย์วุฒิพงศ์ก็ได้ชวนผมลงไป เผื่อจะได้ภาพและส่งไปให้กับรายการ “เรื่องจริงผ่านจอ” ก็ยังมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็เห็นแต่ควัน เจ้าหน้าที่ของรถทัวร์จากบริษัทหนึ่งได้วิ่งมายังที่เกิดเหตุพร้อมยกถังดับเพลิงที่ติดมากับรถไปช่วยดับไฟที่ก่อให้เกิดควันจำนวนมากที่ทุกคนสงสัย รถได้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทีละน้อย ในขณะที่ควันก็ยังออกมาเรื่อยๆพร้อมกับการลุกไหม้ เราเข้ามาใกล้ที่เกิดเหตุจึงเห็นว่า เป็นรถยี่ห้อหนึ่งสีดำซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ ไม่รอช้าเหยียบซิครับ! เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนมีรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด โชคยังดีของทุกคนเพราะว่ารถคันนี้ไหม้เนื่องจากน้ำมัน ไม่ใช่แก๊สทำให้ไม่เกิดการระเบิด หรืออาจเป็นเพราะบารมีของผู้บริหารจากไทยพัฒน์ก็เป็นได้ เหอๆ (จะเวอร์ไปไหม)

หลังจากที่เรารอดจากสถานการณ์ตื่นเต้นมาได้ ก็เม้าท์กันต่อกันพักใหญ่ และมีการอธิบายเกี่ยวกับเรื่อง CSR ให้กับน้องหน้าใหม่ของเราฟัง ส่วนผมก็นั่งดูวิวสองข้างทางไป จะว่าไปแล้วเราใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว ผมคิดว่าการมาโคราชจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่นี่ปาเข้าไป 3 ชั่วโมงนิดๆ เห็นจะได้ เราทุกคนขนของเข้าที่พัก ณ โรงแรมสีมาธานี เป็นโรงแรมที่จะบรรจุผู้มาอบรมในวันถัดไป และแล้วพยาธิในท้องก็มาเตือนจนได้ว่าถึงเวลาให้อาหารเย็นแล้วนะ เราจึงไปรวมตัวกันที่ห้อง VIP ของร้านอาหาร “เสียวเสี้ยว” เป็นร้านอาหารจีนที่ขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ แต่แล้วก็มีประเด็นเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์พงศ์ได้ถามว่า แผ่นโรตีนี่มันไว้กินกับอะไร? ผมก็ตอบอย่างมั่นใจเลยว่ากับเป็ดครับ เพราะบางครั้งยังเอาหมั่นโถไปกินกับหมูพะโล้หรือหมูหันเลย ท่านก็เชื่อผมและลองทานดู รสชาติก็ออกมาดีทีเดียว ผมและอาจารย์ฌานสิทธิ์ก็ได้ทดสอบเช่นกัน แต่แล้วผมก็ดันทะลึ่งไปถามพนักงานเสริฟ์ว่ามันเอาไว้กินกับอะไร จึงได้คำตอบว่า เอาห่อกับจานที่ดูคล้ายๆ กับผัดหมี่โคราชทานค่ะ.......กรรมของผม ไม่น่าปากดีไปถามเลย แนะนำผิดเลยเรา หลงทานไปหลายคนเลย..แหะๆ

การลงทะเบียนวันนี้ มันส์สุดๆ ไปเลยครับ เพราะผู้คนมาให้ความร่วมมือกันเป็นจำนวนมากมายทีเดียว ต่อแถวยาวไปถึงไหนๆ ในการลงทะเบียน ผมเองวันนี้รับหน้าที่ช่างภาพ โอ้ว.....กดชัตเตอร์แทบไม่ทัน ยังดีที่วันนี้ อาจารย์วุฒิพงศ์ให้การสนับสนุน โดยการนำกล้องส่วนตัวท่านมาเองให้ผมได้ทดลอง เผื่อผมจะหลงไปกับอารมณ์ศิลป์ของกล้องตัวนั้น กล้องดีครับไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบได้แต่ (หนักโคตร) ปวดคอไปหมด ต้องแปลี่ยนเลนส์ไปมา สับสนกับชีวิตมาก ฮ่าๆๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ซึมซับมาได้เป็นอย่างดีครับ กว่าผู้คนจะลงทะเบียนเข้าห้องสัมมนากันหมดก็เลยเวลามาพอสมควร การเปิดงานของพี่ผึ้งก็เป็นไปได้ด้วยดี อาจจะมีสั่นเล็กน้อย เพราะเธอได้วางมือมาพักหนึ่ง โดยการมาสอนผมแทน เหอๆ อาจารย์ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ก็ทักทายผู้ที่มาเข้าร่วมอย่างเป็นกันเองพร้อมให้สาระน่ารู้เกี่ยวกับ CSR ในมุมมองต่าง ทั้งในด้าน CSR in-process และ CSR after-process การอบรมเป็นไปอย่างราบรื่น

(พี่หนึ่ง) หลังจากพักเบรกในรอบเช้ากระผมก็มานั่งฟังกิจกรรมต่อไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงจากเครือข่ายเพื่อสังคมโคราชโดยกระผมต้องเล่าความเป็นมาของเครือข่ายโคราชว่าโดยการจับมือของกลุ่มคนทำงานเพื่อสังคมโคราชหลังจากที่ได้รับฟังการอบรม CSR Campus ที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อปีแรก โดยความร่วมมือกันของหลายฝ่าย อาทิ ผศ.ดร.ปรีชา อุยตระกูล รักษาการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ประธานเครือข่าย CSR KORAT พร้อมด้วย ดร.พระมหาประเสริฐ ลันตจิตโต เจ้าอาวาสวัดหนองรังกา นางภารดี เกียรติภิญโญชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสังคมโคราช รวมถึง 3 องค์กรหลักในท้องถิ่น ทั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และมูลนิธิชุมชนโคราช น.พ.สำเริง แหยงกระโทก นายก อบจ.นครราชสีมา, นายปรีชา มิตรสูงเนิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลโคกกรวด, นางสาวรุ่งเรือง กาญจนวัฒนา นายก อบต.โคกกรวด และนายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เครือข่าย CSR โคราชค่อนข้างใหญ่จริง ๆ นะครับเนี่ย) โดยทางเครือข่ายมีจุดประสงค์เพื่อจะมุ่งสร้างจิตสำนึกในความเป็นอาสาสมัครคนโคราช และกระตุ้นให้สังคมเกิดความดีงามในวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้น และสร้างความเข้มแข็งชุมชน
ให้สามารถต่อกรกับยุคโลกาภิวัตน์

และในปีที่แล้วมีการนำกิจกรรมที่คิดได้มาปฏิบัติจริง เช่น งาน "เดิ่นฅนเดิน เต๊อะเตินโคราช" โดยกิจกรรมที่มีการจัดขึ้นมีความหลากหลายมากครับไม่ว่าจะเป็น การทำบุญตักบาตรฟังธรรมเทศน์มหาชาติสันดรชาดก การแสดงรำวงย้อนยุคการละเล่นพื้นบ้านซึ่งหาชมยาก จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จำหน่ายพันธุ์ไม้งามราคาถูก รับบริจาคสินค้ามือสองของเหลือใช้ เป็นต้น ส่วนการดำเนินกิจกรรมของเครือข่าย CSR Korat ในปีนี้จะมีหลากหลายด้าน อาทิ ด้านวัฒนธรรม โดยทางเครือข่ายได้สังเกตุถึงนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโคราชเพื่อมากราบไหว้ย่าโม โดยบริเวณแถวนั้นจะมีคณะลิเกรวมตัวอยู่ประมาณเกือบ 200 คณะด้วยกัน ซึ่งทุกวันนี้คณะลิเกมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาสนใจทางเครือข่ายจึงเล็งเห็นว่าควรจะอนุรักษ์คณะลิเกตรงนี้ไว้ มิฉะนั้นจะทำให้วัฒนธรรมลิเกโคราชสูญหายไป ทางกลุ่มจึงจัดเป็นกิจกรรมถนน Hollywood Korat ด้วย

ด้านเศรษฐกิจ ทางเครือข่ายก็มีส่วนร่วมประสานงานทางด้านหอการค้าโคราชกับทางมลรัฐเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียด้วยเนื่องจากมลรัฐเมลเบิร์นมีความเชี่ยวชาญการท่องเที่ยวแบบ Eco-Tourism ซึ่งทางเครือข่ายคิดว่าถ้ามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมรวมถึงความเชี่ยวชาญด้าน Eco-Tourism โดยคิดว่าหากโครงการนี้สำเร็จจะเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของโคราชให้ดียิ่งขึ้นรวมถึงเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมโคราชไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย

ด้านสุขภาพจิต ทางเครือข่ายได้เล็งเห็นว่าผู้ป่วยที่อยู่ตามโรงพยาบาลที่ป่วยไข้ต้องนอนรักษาตัวพยาบาลอยู่นาน ๆ จะมีสุขภาพจิตที่เสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ ทางเครือข่ายจึงเล็งเห็นการให้กำลังใจกับบุคคลเหล่านี้ด้วยการจัดประกวดภาพถ่ายธรรมชาติเพื่อนำภาพถ่ายที่ติดอันดับมาประดับไว้ในห้องผู้ป่วยเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยให้มีแรงต่อสู้โรคต่อไป

(นายแม็กซ์) วันนี้พี่หนึ่งของเราได้นำเต้นได้อย่างเมามันและรุนแรงมากครับ สร้างเสียงหัวเราะและเรียกเสียงปรบมือจากแขกผู้มีเกียรติได้อย่างมากมาย สมกับฉายา “ตลกหลวงแห่งไทยพัฒน์” ฮ่าๆ หลังจากที่ทุกคนได้ละลายไขมันกันแล้วเราก็ได้รับเกียรติจาก คุณอภิชาติ การรุณกรสกุล จากบริษัท Asia Precision อีกครั้ง ที่มาแชร์ประสบการณ์ ความคิด การบริหารองค์กร การเข้าถึงตัวพนักงาน การเอาใจใส่ดูแลในทุกๆเรื่อง รับฟังปัญหาที่มาปรึกษา การไม่ถือตัวหรือแบ่งแยกของระดับชั้น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่ได้ทำไป ส่งผลให้บริษัทยั่งยืนอย่างมั่นคง ท่านได้ฉายวีดีทัศน์ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม บรรยากาศต่างๆในโรงงาน กิจกรรมต่างๆที่พนักงานและผู้บริหารได้มาทำร่วมกัน จะหนุ่ม/สาวหรือมีอายุเยอะ ก็ให้ความร่วมมืออย่างไม่ถือตัวทั้งสิ้น อย่างนี้ซิครับ มันถึงจะกินใจพนักงาน ผู้มาอบรมหลายๆ ท่าน ต่างให้ความสนใจ มีการมาสอบถามขอข้อมูลจากตัวคุณอภิชาติเลยก็ดี มาขอจากทางเราก็ดี เพราะต้องการนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปเผยแพร่ให้กับบริษัทที่แต่ละคนทำอยู่ อะไรที่เป็นแบบอย่างที่ดีเราก็ควรที่จะเอาเยี่ยงอย่างครับ

(พี่หนึ่ง) ในช่วงสุดท้ายก็เป็นช่วงของการเสวนาจากผู้บริหารทั้ง 3 ท่านจาก บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ในหัวข้อ Creative CSR in Slowdown Economy นะครับ โดยในวันนี้เราได้พิธีกรเป็นคุณคุณภารดี เกียรติภิญโญชัย มาคอยดำเนินการร่วมเสวนาครั้งนี้ด้วย (คุณภารดี ก็เป็นตัวแทนเครือข่าย CSR จังหวัดนครราชสีมาด้วยนะครับ) โดยบรรยากาศในการเสวนาแม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้ว แต่ความสนุกก็ไม่ได้หลุดหายไปไหนนะครับ โดยเนื้อหาสรุปของการเสวนามีดังนี้ครับ

เริ่มจากผู้บริหารทาง บมจ.กสท โทรคมนาคม ก่อนครับโดยท่านให้ความเห็นดังนี้ “แม้ว่าปีนี้ทาง CAT จะต้องเผชิญต่อวิกฤติเศรษฐกิจ แต่โครงการ CSR เดิมที่ยังดำเนินอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ รวมถึงการนำเครื่องมืออุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปให้แก่ผู้ยากไร้ด้วย และช่วงเวลานี้ CAT ก็จะปรับตัวโดยการหันมาหาคนภายในองค์กรว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง CSR ที่ดีแล้วหรือยัง โดยเริ่มจากการปลูกฝังผ่านการอบรมและปฏิบัติ ซึ่งหวังว่าวันหนึ่งการทำ CSR ตรงนี้จะเป็นการสร้าง DNA CSR ให้กับองค์กรเลยทีเดียว”

ส่วนทางผู้บริหาร บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นว่า “โตโยต้ามีการดำเนินงานมา 47 ปีแล้วและผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมามากมายโดยต้องมองว่าการผ่านวิกฤติดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและทำให้เราเห็นคุณค่าของคนอื่นด้วยอีกทางซึ่งทำให้การดำเนินนโยบายของบริษัท Toyota แม้ว่าต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจก็ยังต้องเพิ่มงบในส่วนของนโยบาย CSR ของบริษัทอยู่ดี แต่อยากให้ทุกท่านมองว่างบประมาณมิใช่เป็นข้อจำกัดในการทำ CSR เพราะการทำ CSR ต้องเริ่มจากใจเพราะว่าการทำงานด้วยใจสำคัญที่สุดโดยยกเรื่องพระฤาษีสุเมธดาบสทอดกายเป็นสะพานแด่พระทีปังกรพุทธเจ้าเพื่อหวังว่าชาติหน้าอยากเกิดเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งการกระทำดังกล่าวล้วนเกิดจากความตั้งใจล้วน ๆจึงสำเร็จได้ “

ส่วนท่านผู้บริหารท่านสุดท้ายจาก บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ได้ให้ความเห็นว่า “การดำเนินธุรกิจของ Dtac จะต้องดำเนินไปบนความยั่งยืนของคนไทยด้วย หากคนไทยขาดความยั่งยืน Dtac ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อได้ ทาง Dtac จึงเริ่มการทำโครงการสำนึกรักบ้านเกิด โดยมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนจนจบการศึกษาระดับปริญญาแล้วส่งกลับมาทำงานที่บ้านเกิด รวมถึงโครงการทำดีทุกวันซึ่งมีอยู่ประมาณ 300 โครงการซึ่งอยู่ภายใต้กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเมื่อ Dtac จะดำเนินกิจกรรม CSR ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ต้องบอกว่างบประมาณมิใช่ข้อจำกัดของการทำ CSR ของทาง Dtac โดย Dtac จะเน้นมองถึงผลลัพธ์มากกว่า เช่น Dtac ได้ใช้เครือข่ายผสมกับภูมิปัญญาชาวบ้านที่คอยสังเกตปริมาณน้ำฝน และความเร็วลมเพื่อคาดการณ์การเกิดพายุได้ ซึ่งหากมีโอกาสในการเกิดพายุขึ้นทาง Dtac ก็จะส่ง SMS ไปแจ้งเตือนชาวบ้านในบริเวณรอบ ๆ ซึ่งเป็นการป้องกันภัยที่เกิดจากพายุอีกด้วย โดยอาจมองว่าผลกระทบที่เกิดจากพายุอาจสร้างความเสียหายที่ 10 ล้านบาท แต่การทำ CSR ของ Dtac ต้องเสียเงิน 1 ล้านบาทโดยส่วนต่าง 9 ล้านบาทที่ลดการสูญเสียได้จะถือว่าเป็นคุณค่าที่เกิดเพิ่มขึ้นจากการทำ CSR ครั้งนี้อีกด้วย”

วันนี้ในระดับภาคอีสานมีสถานศึกษามามากมายครับ ซึ่งกระผมก็มีโอกาสได้สนทนาเหมาหมดเลยคนเดียวโดยวันนี้มีอาจารย์ 5 ท่านจาก 5 สถาบันด้วยกัน (เป็นสถิติมากที่สุดในวันนี้) ท่านแรกคือ อาจารย์อดิศร สุทธาวาส จากวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา ซึ่งท่านกล่าวว่า “วันนี้ทั้งอาจารย์และนักศึกษาได้รู้ถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น มากยิ่งขึ้น และปัจจุบันสังคมก็กำลังถูกทอดทิ้งอยู่เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่มีการนำเรื่อง CSR มาตีแผ่มากขึ้น และส่วนของเรื่องพลเมืองบรรษัทก็จะต้องมีการเผยแพร่ต่อนักศึกษา ซึ่งทางสถานศึกษาก็มีการทำอยู่แล้วในบางหัวข้อเช่น การเปิดศูนย์ Fix it Center เพื่อให้นักศึกษาใช้ความรู้เรื่องช่างในการไปช่วยซ่อมรถไถหรือเครื่องจักรที่เสียหายและชาวบ้านเหล่านั้นไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าซ่อมได้ เป็นต้น และอาจารย์ได้ทิ้งท้ายว่าหากสังคมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน”

ส่วนอาจารย์ท่านต่อมาคือ อาจารย์พินิจ ณรงค์ศักดิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งท่านกล่าวว่า “หลังจากฟังอบรมวันนี้ทำให้รับรู้ว่า CSR ก็คือเรื่องจิตสำนึกนั่นเองซึ่งสำคัญต่อตนเองอย่างยิ่งในฐานะที่กระผมก็เป็นอาจารย์และผู้บริหารซึ่งมีหน้าที่ในการจัดซื้อ และสร้าง Infrastructure ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดยส่วนตัวคิดว่านักศึกษาที่มาวันนี้จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ค่อนข้างมาก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทสามารถนำไปเผยแพร่สู่นักศึกษาได้แน่นอนซึ่งเรื่องพลเมืองบรรษัทพูดอย่างสรุปก็คือการดำเนินงานด้วยการไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น โดยควรเริ่มที่จากระดับรายบุคคลจนมาสู่ระดับองค์กรในที่สุด”

ต่อมาเป็นอาจารย์ชฎารัช คำแพงตา และอาจารย์อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ จากมหาวิทยาลัยวงศ์ชวลิตกุล ซึ่งทั้งอาจารย์ทั้งสองท่านได้แสดงทัศนะไว้ดังนี้ “วันนี้ได้รับความรู้ CSR เพิ่มมากขึ้นและได้รู้ว่าตอนนี้ธุรกิจเริ่มคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงนักศึกษาที่มาร่วมงานวันนี้ก็ได้เห็นกรณีศึกษาทางธุรกิจที่ได้ทำ CSR และประสบความสำเร็จอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องนำมาเผยแพร่เพื่อให้นักศึกษามีความรับผิดชอบและมีจิตสำนึกที่ดีขึ้น ซึ่งต่อไปเมื่อนักศึกษาเข้าไปทำงานในองค์กรต่าง ๆ ก็จะทำให้องค์กรดังกล่าวมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มด้วย”

ท่านต่อมาเป็นอาจารย์จตุรวิทย์ ศศิธรานนท์ จากวิทยาลัยนครราชสีมา ซึ่งกล่าวว่า “ก่อนหน้าที่จะเข้ามาฟังเข้าใจว่า CSR ก็คือเรื่อง CRM แต่หลังจากฟังบรรยายแล้วทำให้ทราบว่า CSR กับ CRM นั้นต่างกัน เพราะ CSR มุ่งประโยชน์สู่สังคมเป็นหลักส่วน CRM มุ่งประโยชน์ต่อองค์กรเป็นหลัก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องมีการเผยแพร่ต่อนักศึกษาเพราะต้องยอมรับว่านักศึกษายังมีความรู้ด้านนี้ที่น้อยอยู่ จึงต้องมีการปลูกจิตสำนึกให้แก่นักศึกษาโดยเริ่มตั้งแต่ตนเองก่อน เมื่อตนปฏิบัติดีแล้วก็จะเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นอีกด้วย”

ส่วนท่านสุดท้าย คือ อาจารย์รัชฎาพร วิสุทธากร จากเทคโนโลยีสุรนารี (เริ่มเชื่อผมยังครับว่าวันนี้สัมภาษณ์เยอะจริง ๆ) ซึ่งท่านกล่าวกับผมว่า “ได้ติดตาม CSR Campus ตั้งแต่ปีแรกแล้ว ซึ่งปีนี้มีความรู้เพิ่มเติมในเรื่องของ Creative CSR และได้เห็นกรณีศึกษาเรื่อง CSR ไม่ว่าจะเป็น เครือข่าย CSR ที่โคราช หรือ การที่บริษัท Asia Precision ได้ใช้ความกตัญญูและวินัยมาปรับกับใช้กับพนักงานอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทสามารถเผยแพร่ได้เพราะส่วนตัวสอนวิชาจริยธรรมธุรกิจอยู่แล้วต้องมีการเพิ่มเติมลงไปในรายวิชาอย่างแน่นอนส่วนอีกช่องทางหนึ่งที่จะเผยแพร่ได้ คือ การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมร่วมไปกับรายวิชาและกิจกรรมอื่น ๆ ของเทคโนโลยีสุรนารีเพิ่มเติมด้วย”

เป็นยังไงกันบ้างครับกับ CSR Campus ประจำภาคอีสาน กระผมก็หวังอย่างยิ่งว่า ทุกๆท่านที่ติดตาม จะได้รับความรู้และสนุกสนาน ซ้ำยังได้รับรู้บางสิ่งบางอย่างของสถานการณ์ของโลกในขณะนี้อีกด้วย การสัมนาวันนี้ทุกท่านคงได้รับรู้ถึงประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายและมุมมองของผู้บริหารหลายๆท่าน ที่มาทำให้หลายๆคนมองเห็นภาพ หรืออาจจะนำแนวคิดต่างๆที่ได้รับฟัง ไปปรับใช้หรือแก้ปัญหาให้กับองค์กรของตนเอง

การเก็บสัมภาระและ Check out เป็นไปอย่างรวดเร็ว แล้วพี่หมูของเราก็ดันไปเปิดรถตู้ใครก็ไม่รู้ โอ้ว!!....ก้าวขึ้นไปแล้วเลยต้องวิ่งกลับมาหาทีมงานอย่างขวยเขิน ในวงสนทนาทีมงานเราเลยปล่อยฮากันจนท้องแข็งครับ และเราก็ได้ไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่งรวมกันแต่เหมือนแบ่งโต๊ะเป็น 2 ฝั่ง ด้านนักวิชาการ กับ ด้านมูมมามไร้ซึ่งอารยธรรม ฮ่าๆๆ สั่งอาหารมากันเพียบ ไม่รู้ไปใช้พลังงานเยอะกันจากไหน ถึงต้องสั่งกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ทุกคนรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย สนทนาและแซวกันอย่างเป็นกันเอง เพราะเรารักและปรองดองกันครับ โอ้โห...กล้าพูดเนอะ เราต่างรับประทานอาหารต่างๆ นั่งชมท้องฟ้าและบึงน้ำยามเย็นกันอย่างสบายอารมณ์

สำหรับวันนี้ก็หวังว่าทุกๆ ท่านจะได้ความสุขเช่นกัน และคิดว่าทุกๆ คนจะทำ CSR ในทุกๆ วัน ทุก ๆนาที ทุก ๆ ชั่วโมงนะครับ เพื่อตัวของท่านเอง อย่าไปมองถึงคนอื่น ขอทิ้งท้ายและย้ำไว้ว่า “ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจและตัวของเรา” สวัสดีครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น