วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฉะเชิงเทรา


ติ๊ด ๆ ๆ ๆ เสียงปลุกในยามเช้า เวลา 6.10 น. เช้านี้ เมื่อมองฟ้าผ่านม่านสีขาวปนฝุ่นหน่อย ๆ ช่างสดชื่นนัก แสงแดดยามเช้าวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน เพราะปรากฏสายน้ำบางปะกงทอดผ่านพื้นล่าง (แล้วเพลงบางกะปงก็ผุดขึ้น น้ำขึ้น ...น้ำลง ..ใจเจ้าลง ....ตรงจุดๆๆๆ ละในฐานที่เข้าใจว่า ดำน้ำ) หลังอาบน้ำเสร็จ ก็เปิดทีวีตรวจสอบข่าวสาร เดี๋ยวจะหาว่าทำงานเหนื่อยจนเป็นคนที่หันหลังให้ข่าว (เราเป็นผู้ช่วยวิทยากรก็จริง แต่ก็ควรมีข่าวสารทั่วไปติดตัวบ้างจะได้นำไปเล่าช่วงทำเวิร์คช็อปได้)


และก็พบเลยครับ ข่าววันนี้ “ไข้หวัด 2009” นักข่าวก็ช่างเข้าถึงบรรยากาศในช่วงนี้ได้ดีเหลือเกิน เพราะผู้ประกาศข่าวทั้งสองท่านใส่หน้ากากทั้งคู่ (ป้องกันหวัดหรือใส่เข้าหากันหว่า 555+ แล้วแต่จะคิด) ในเนื้อข่าวระบุว่า ตอนนี้การแพร่กระจายของไข้หวัดช่างรุนแรงเหลือเกิน แต่คุณหมอก็บอกว่า อาการไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด และหากได้รับเกียรติให้เป็นโรคนี้ ก็ถือว่าได้วัคซีนหวัด 2009 โดยปริยาย (ใจเราก็คิด เฮ้อ ไม่อยากได้รับเกียรติได้รับวัคซีนธรรมชาติเลย เหอ ๆ) พอถึงเวลา 7.10 น.เราก็เตรียมพร้อมลงไปลุยแล้วครับ

สังเกตว่า อาหารวันนี้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ครั้งแรกในรอบสัปดาห์นี้ครับ (คิดถึงเหลือเกิน) แต่ก็ทานแบบพอจำกัดนะครับ ไม่ได้ทานแบบสวาปามซะทีเดียว เพราะกลัวท้องไส้ปั่นป่วน ในช่วงรับประทานอาหาร ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบขับถ่าย การลดความอ้วน และการออกกำลังกาย (ช่างเป็นเนื้อหาที่เข้ากับทีมงานเราเหลือเกิน เมื่อสังเกตจากความเพรียวของทีมงานที่เหลืออยู่น้อยนิด) หลังจากได้รับความรู้พอสมควร เราก็พร้อมเข้าสู่ห้องประชุม ..... ด้วยการเดินทางที่ซับซ้อนพอสมควรกว่าจะฝ่าไปถึง (โรงแรม หรือค่ายกลดอกท้อ เนี่ย )

งานแคมปัสได้เริ่มขึ้นในช่วง 8.45 น. วันนี้บรรยากาศในห้องประชุมส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทราครับ เปิดฉากด้วยสารคดี HOME ขับกล่อมให้มีอารมณ์ร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ก่อนบรรยาย จนมาถึงช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องหน้าที่พลเมือง มีการพูดถึงหัวข้อการเป็นผู้ที่เชื่อฟังยำเกรงต่อพระราชกำหนดกฎหมายของประเทศบ้านเมือง อย่างตอนที่ต้องใช้บริการถนนหนทางต่าง ๆ เราย่อมต้องเคารพกฎหมายจราจร ส่วนหน้าที่พลเมืองบรรษัท ได้มีการยกตัวอย่างเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งจะทำให้เราทราบสภาพปัญหาชัดเจน เช่น การเปิดเผยข้อมูลเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอเรื่องหน้าที่พลเมืองในหัวข้อการเป็นผู้สวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยยึดหลักการดำเนินชีวิตของท่าน การเป็นแม่ที่ดีของลูก การทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ส่วนเรื่องหน้าที่พลเมืองบรรษัทที่อยากเห็น เป็นเรื่องการส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรม เพราะจะทำให้การดำเนินชีวิตไม่มีปัญหา และส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ

บรรยากาศช่วงเที่ยง เราร่วมโต๊ะบุฟเฟ่ต์กันเอง เป็นแคมปัสวันสุดท้ายของทริป ก็เลยคุยกันเรื่องอาหารที่บ้าน เรื่องที่บ้านบ้างคละเคล้ากันไป พร้อมกับอาหารที่พร่องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหาร วันนี้มีขนมด้วยครับ เรียกอะไรไม่รู้เหมือนกัน (แต่คงไม่เหมือนปะกริมไข่เต่าแบบคุณแม๊คนะ) ลักษณะมีกะทิด้วย ปกติเราจะมีแค่ผลไม้ในการปิดท้ายแต่ละมื้อ วันนี้ฤกษ์ดีมีขนมก็ลองซะหน่อย ซึ้งเลยครับ กับคำว่าของหวานปิดท้าย อาการอย่างนี้นี่เอง

มาถึงช่วงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในช่วงบ่าย ได้มีผู้นำเสนอหัวข้อ CSR เชิงระบบที่น่าสนใจ เช่น การรณรงค์ให้ริเริ่มกิจกรรมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและร่วมพัฒนาชุมชน ด้วยการเชิญชวนชุมชนใกล้เคียงและพนักงานมาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน ส่วนหัวข้อที่น่าสนใจถัดมาคือ การเพิ่มความเชื่อถือในการดำเนิน CSR ขององค์กร ด้วยการปรับปรุงส่วนของงานบริการเพื่อให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างทั่วถึงและฉับไว โดยมีการประเมินผลด้วยการวัดความพึงพอใจของลูกค้าหลังจากการได้รับบริการแบบใหม่ด้วย

ส่วนของกิจกรรมเวิร์คช็อป Creative CSR ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ได้รับความสนใจมากสุด คือ “โครงการอนุรักษ์ลุ่มน้ำดีมีปลาชุม” โดยในตัวโครงการจะเน้นการสร้างจิตสำนึกในชุมชนให้เห็นถึงผลกระทบของปัญหาระบบนิเวศ และให้ความรู้ในเรื่องของการจับสัตว์น้ำ โดยเน้นย้ำการไม่จับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่ ซึ่งในเชิงปฏิบัติจะเน้นการประชาสัมพันธ์ และการวัดผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสู่จังหวัดฉะเชิงเทราที่มากขึ้น รวมถึงจำนวนสัตว์น้ำที่มากขึ้น และการลดปริมาณการพังทลายของชายฝั่งด้วย

กิจกรรมที่น่าสนใจรองมา คือ “โครงการลุ่มน้ำแห่งชีวิตนำเศรษฐกิจชาติ” ที่เสนอให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำตลอดเส้นทางแม่น้ำบางปะกง ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำ รวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยวตลาดน้ำ (ตลาดน้ำบางคล้า ตลาดบ้านใหม่ และตลาดโบราณ) พร้อมทั้งมีกิจกรรมปลุกจิตสำนึกให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าชายเลน การเพิ่มทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความอยู่ดีกินดีให้เกิดแก่ชุมชนแม่น้ำบางปะกงด้วย

กิจกรรมสุดท้าย คือ “โครงการรักษ์น้ำ อย่าทิ้งน้ำเสียลงน้ำ” ที่มุ่งเน้นการรักษาคุณภาพทรัพยากรน้ำผ่านการลดปริมาณของเสียที่จะทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ มีการสำรวจแหล่งต้นกำเนิดการปล่อยน้ำเสีย การจัดตั้งทีมคณะกรรมการในการดำเนินการโดยขอความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในการตรวจสอบควบคุม และมีการวัดค่าจากน้ำที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการสำเร็จ จะเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ และสามารถสร้างประโยชน์แก่ชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดฉะเชิงเทราเพิ่มขึ้นด้วย

วันนี้ได้มีโอกาสสนทนากับ อาจารย์เมตตา รุ่งแสง จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอาจารย์ได้ให้ทัศนะว่า “จากการที่ได้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ทำให้มีความรู้เพิ่มเติมจากเดิม เมื่อเทียบกับการร่วมสัมมนาในปีที่แล้ว ในแง่ของการทำ CSR เชิงระบบ ซึ่งทำให้เห็นภาพของการดำเนิน CSR ที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และในส่วนของพลเมืองบรรษัท ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักศึกษามากที่จะมีการปลูกจิตสำนึกแก่นักศึกษาให้ได้รับรู้ถึงความเป็นพลเมืองขององค์กรธุรกิจนับตั้งแต่ที่ยังศึกษาอยู่ เพราะต่อไป นักศึกษากลุ่มนี้ ก็จะเป็นอนาคตของประเทศไทยในภายภาคหน้า”

หลังจากแคมปัสในจังหวัดฉะเชิงเทราเสร็จสิ้น เราจะได้กลับบ้านแล้วครับ ระหว่างทางก็มีโอกาสได้ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจากความเชื่อนะครับ เขาให้กลั้นหายใจขณะรถวิ่งบนสะพานข้ามตลอดสายครับ แล้วจะได้สมหวังเรื่องความรัก ตัวเราทีแรกก็ไม่รู้ครับว่า แม่น้ำสายนี้ คือแม่น้ำบางปะกง แต่เราสังเกตเห็นจากใบหน้าทีมงานสาวสวย ปิดปากสนิทเลยครับ พร้อมอาการตาอาจจะเหลือกนิด ๆ เพราะขาดอากาศหายใจ (หลังจากทริปนี้ น่าจะมีคู่ทุกคนนะเนี่ย)

หลังจากพ้นแม่น้ำ พี่รถตู้จอม U-Turn ก็ไม่ทำให้ผมเสียใจครับ เพราะพี่รถตู้ แกหาร้านอาหารแพกลางน้ำไม่เจอ (เป็นโอกาสสำหรับเรา ในการกลับไปกลั้นหายใจอีกรอบ 555+) แล้วเราก็วกกลับมาอีกครั้งแล้วครับ (หากใครสังเกตรถตู้คันนี้ อาจสันนิษฐานว่า เป็นพวกอาภัพเรื่องความรักรุนแรงไปหรือเปล่า เพราะวนมาบ่อยมาก) แม่น้ำบางปะกงเรามาแล้ว แต่..........เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกแล้ววววววววววว เพราะครั้งนี้พี่รถตู้พยายามลดดีกรีฉายา U-Turn ตนเองครับ พี่แกเลยขับรถด้วยความเร็วเทียบเคียงจักรยานอาซิ่มเลยครับ เพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดอีกรอบ ซึ่งเกือบทำให้กระผมกลั้นหายใจจนเฉียดตายคากลางสะพานแม่น้ำบางปะกงเลยครับ (ความรักจะสมหวังก่อนหรือความตายจะมาเยือนก่อนแน่)

ในที่สุด เราก็มาถึงร้านอาหารแพกลางน้ำ (ยังรอดอยู่นะครับ) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเลยครับ มองข้ามไปอีกฝั่ง ก็จะเจอตึกสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน อาจารย์บอยได้ให้เสียงภาษาไทยในการพากย์บรรยากาศนี้ว่า มันช่างเหมือนประเทศโกเบ เมืองญี่ปุ่น เฮ้ย ประเทศญี่ปุ่น เมืองโกเบมาก (แหม ยังกับเรามาถึงโกเบแล้ว) ก็ไม่พลาดที่คณะของเราจะต้องถ่ายรูปซะหน่อย อิอิ วันนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลอีกแล้วครับ อาหารค่อนข้างอร่อยมาก บางทีรสชาติอาหารที่อร่อยวันนี้ อาจมาจากทั้งอาหารและช่วงเวลาที่เราร่วมเหน็เหนื่อยทำงานมาด้วยกันตลอดสัปดาห์ก็เป็นได้ครับ (แอบซึ้ง)

เมื่อเสร็จจากรับประทานอาหาร เราก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศไทย มาถึงสถาบันฯ ในเวลา 22.00 น. และกลับมาถึงห้องพักในเวลา 22.20 น. ในทริปหน้า มาดูกันนะครับว่า เราจะไปจังหวัดไหนต่อ โปรดติดตามนะครับบบ สุดท้ายก่อนลา ก็ขอกล่าวคำว่า ”สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย”




2 ความคิดเห็น:

  1. 55555+

    เมืองแปดริ้วมีปลาเยอะตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเห็นด้วยกับโครงการอนุรักษ์ลุ่มน้ำดีมีปลาชุม เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลาและรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ตลอดไป
    รูปถ่ายอันสุดท้ายอ่ะ หุหุ คุณทำอะไรกัน ฮ่าๆๆๆ

    ตอบลบ
  2. สวัสดีค่ะ ผู้เขียนที่เป็นชาวไทย เดี๊ยนก็เป็นชาวไทยคนหนึ่งที่คิดตามการเดินทางของคุณ ดีใจจังที่ยังมีคนคิดดี ทำดี กับประเทศชาติ และท้องถิ่น ช่วยกันทำสิ่งดีๆให้บ้านเมืองนะคะ

    ตอบลบ