เย้ เย้ .... สวัสดีครับท่านผู้ชม Blog ทุกท่าน ช่วงนี้ประเทศไทยของเราก็ต้องพบกับพายุที่รุนแรงซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกในหลายพื้นที่ ก็ต้องฝากให้ท่านผู้อ่าน Blog ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะครับ .....เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จังหวัดที่เราจะไปขณะนี้ก็เป็นดินแดนลับแลครับ (ไม่ต้องใบ้ก็คงจะรู้กันอยู่แล้วแน่เลย) ทีมงานเราเริ่มเตรียมตัวออกจากเมืองหลวงประเทศไทยในเวลา 9.00 น. ทางทีมงานเราได้คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะถึงจังหวัดที่หมายเมืองลับแลหรือจังหวัดอุตรดิตถ์นั่นเองในเวลา 16.00 น. โดยในระหว่างทางพวกเราก็เตรียมหนังมาดูกันอย่างมากมายสิริรวมทั้งสิ้น 1 เรื่องด้วยกัน (หนังเรื่องต่อ ๆ ไปกะไปหาเอาข้างหน้าแล้วกัน) ก็คือ เรื่องบุปผาราตรี 3.1 ครับ หลังจากดูจบต้องบอกเลยว่าข้อดีของหนังเรื่องนี้คือความสนุกสนานบวกความน่ากลัวสามารถผสมผสานได้ดีเหลือเกิน แต่ข้อเสีย คือ เนื้อเรื่องดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลยครับ เดี๋ยวผีเด็กเดี๋ยวผีผู้ใหญ่ปนกันให้มั่วมากมายเลยทีเดียว (เฮ้อ! หรือว่าหัวสมองเราจะแนวไม่เท่าทันหนังหรือเปล่าก็ไม่รู้)
ตอนนี้ก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดีครับ เราก็เลยถามไถ่พี่รถตู้ว่าร้านชื่อดังแถวนี้ (ประมาณจังหวัดสิงห์บุรี) มีอะไรบ้าง พี่รถตู้ตอบมาคำเดียวเลยครับว่า “ต้มเลือดหมู” กระผมได้ยินทีแรกก็ได้แต่นึกว่าสิงห์บุรีที่เราเคยไปทานเมื่อครั้งที่แล้วน่าจะเป็นพวกปลาช่อนนี่นา หรือเค้าจะนำเนื้อปลาช่อนมาปั้นเป็นเครื่องในหมูเพื่อทำต้มเลือดหมูก็ไม่ทราบ ตอนนี้เราเข้ามาข้างในร้านต้มเลือดหมูชื่อดังแล้วครับ ต้องบอกก่อนว่าหม้อต้มใหญ่มาก ทางทีมงานของผมก็สั่งต้มเลือดหมูมาประจำตัวท่านละชาม (ใหญ่มาก) เหมาะสมตาม Size ของผู้บริโภค ส่วนกระผมกลับแหกคอกสั่งต้มเนื้อเปื่อยมาทานแทนและก็เป็นไปตามคาดครับ ร้านเค้าก็ตั้งว่าต้มเลือดหมูเราก็ดันไปแหกคอกก็ต้องพบผลลัพธ์แบบว่าต้มเนื้อเปื่อยไม่อร่อยเลยครับ เหลือเพียบงานนี้ ส่วนต้มเลือดหมูของทางทีมงานเกลี้ยงทุกท่านเลยครับ (นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรสั่งอาหารตามชื่อร้าน ไม่ควรสั่งแหกคอกโดยเด็ดขาด)
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยรถตู้เราก็มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ต่อไป ซึ่งหนทางก็ยังอีกไกลนักหลังจากหนังจบแล้วทีมงานก็เริ่มไม่มีอะไรทำแล้วครับ สักพักก็สลบกันไปตามระเบียบทุกท่านโดยในขณะนั้นผมก็ยังเริ่มอ่านหนังสือตามปกติเช่นเดิม อ่านไปประมาณครึ่งเล่มก็เริ่มง่วงแล้วครับ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ตัวเอง (ฝืนหลับนั่นเอง) จึงหยิบเล่มอื่นมาอ่านต่อไปซึ่งเป็นการต่อต้านความง่วงอย่างดีทีเดียว สักพักเราก็เดินทางมาถึงพิษณุโลกแล้วครับทางทีมงานออกเสียงเดียวกันว่าควรไปซื้อหนังมาเติมในรถตู้ให้มากกว่านี้ รถตู้ของทีมงานจึงมุ่งหน้าไป Big C ทันทีเพื่อเสาะหาแผ่นซีดีเป้าหมายทันที เหอ เหอ แล้วก็ได้มาเรียบร้อยครับเป็นหนัง 3 เรื่องด้วยกัน และก่อนออกจากห้างพวกเราก็มองไปเห็นร้าน Mister Donut ซึ่ง Donut ในนั้นส่งกลิ่นหอมหวลเย้ายวนพวกเรามากเลยครับ…มากินฉันทีๆๆ มีเสียงกระซิบจาก Donut ใกล้หูทีมงานของเรา และเราก็แพ้ต่อความหอมยั่วยวนของ Donut ในที่สุดโดยผลการแพ้ครั้งนี้เราได้โดนัทมา 7 ลูกพร้อมน้ำส้มกับน้ำพันช์รวม 4 แก้วด้วยกัน (เมื่อไรเราจะผอมลงล่ะเนี่ย…เสียงกระซิบจากตัวสำนึกในจิตใจเพิ่งตื่นครับ..555)
ตอนนี้ทีมงานเราก็พร้อมแล้วครับ (ทั้งของกินและภาพยนตร์) เราเริ่มประเดิมหนังเรื่องแรกด้วยเรื่อง ส่งเจ้าพ่อไปเรียนหนังสือ ครับ ซึ่งหนังเรื่องนี้ตีแผ่ว่าการจะเป็นเจ้าพ่อที่ดีก็ควรมีการศึกษาที่ดีด้วย (แหม เค้าให้ความสำคัญด้านการศึกษามากจริง ๆ ) ในระหว่างที่เราชมภาพยนตร์โดนัทก็หายไปทีละชิ้นเรื่อย ๆ จนหมดในที่สุด สักพักเราก็ถึงโรงแรมสีหราชจังหวัดอุตรดิตถ์แล้วครับ สภาพโรงแรมดูขลังๆนะครับ พอเข้ามาในโรงแรมก็แปลกใจเลยครับเพราะเข้าประตูแรกแทนที่จะเจอกับ Reception กลับกลายเป็นห้องอาหารไปซะแล้ว (สมชื่อเมืองลับแลจริง ๆ ) หลังจากเดินตรงไปเรื่อย ๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่าต้องมี Reception สักแห่งล่ะนะ และในที่สุดเราก็เจอ Reception ด้วยครับ ซึ่งประตูที่จะเข้าหา Reception ดันอยู่ด้านข้างโรงแรม ซะงั้น สร้างความสับสนงงงวยให้ทีมงานเราได้พอสมควร และเราไม่รอช้าที่จะเข้า Check In เข้าห้องเรียบร้อย ก็เตรียมตัวไปทานอาหารเย็นแล้วครับ ซึ่งร้านวันนี้ที่เราไปฝากท้องมา คือ ร้านอาหารตักเงินพอเข้ามาในร้านก็เห็นบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอย่างมาก มีสะพานไม้ที่ทอดเข้าไปในร้านด้วย (ระยะสะพานประมาณ 2 ไม้บรรทัด) รวมถึงใต้สะพานก็มีปลาคาร์ฟว่ายกันอย่างสวยงาม (จากสายตาประมาณ 3 ตัวถ้วนขนาดใหญ่กว่าปลาทูนิดนึง..เป็นไปได้ว่าที่เหลืออาจซ่อนอยู่สักหลืบนึงของสะพานครับ)
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยก็เป็นเวลาประมาณ 19.00 น. ทางทีมงานสาวสวยก็อยากจะไปเดินเที่ยวต่อ ทางกระผมจึงไปสอบถามคนในท้องที่ได้ความมาว่าวันนี้ทางจังหวัดอุตรดิตถ์มีการจัดงานเทศกาลลางสาดหวานอีกด้วย ทางทีมงานพวกเราไม่รอช้าครับรีบ Request พี่รถตู้เพื่อไปที่หมายทันที เสมือนงานเปิดท้ายทั่วไปบวกงานวัดเลยครับแต่พื้นที่ให้เดินมีเยอะมาก ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีกด้วยรวมถึงเครื่องเล่นสามัญประจำงานวัดพวกเราก็มาอยู่หน้างานแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น ปาลูกดอก ยิงปืนอัดลม ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ และอื่น ๆ อีกมากมาย และเพื่อการซึมซับบรรยากาศเต็มที่ทีมงานเราก็ไม่รอช้า (ในใจคิดว่าเป็นการสร้างการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น) เริ่มจากเกมส์ด้วยการปาลูกดอกแลกตุ๊กตาครับ ฝีมือทางฝั่งชายไม่ได้สักตัวเลยครับ (รวมถึงผมด้วยนะ) ส่วนทีมงานสาวฝีมือปาลูกดอกจนได้ตุ๊กตามา 2 ตัวเลยครับ ( แหม ซูฮกฝีมือในคุณพี่จริง ๆ เลย) การละเล่นนี้สอนให้รู้ว่าอย่าทิ้งของมีคมไว้ใกล้มืออิสตรี เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะได้เห็นจอมยุทธ์มีดบินลี้คิมฮวง…!!! หลังจากเดินอยู่นานแม้จะเป็นงานลางสาดหวานแต่ก็ไม่พบร้านขายลางสาดแต่อย่างใด เดิน ๆ สักพักก็แอบไปพบกับร้านลางสาดครับมีประมาณ 2 ร้านถ้วน (สงสัยขายหมดไปตั้งแต่กลางวันแล้วมั้งเนี่ย)
หลังเดินงานลางสาดหวานจนเหนื่อยกันเป็นที่เรียบร้อยเราก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อไปพักผ่อนแล้วครับ วันนี้ผมตั้งใจจดจ่อดูรายการโทรทัศน์อยู่ 2 เรื่องด้วยกัน คือ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีคคู่เชลซีกับลิเวอร์พูล (Big match เลยครับวันนี้) ส่วนอีกรายการก็ คือ รายการวู้ดดี้เกิดมาคุยโดยวันนี้สัมภาษณ์กับท่าน ว. วชิรเมธี อีกด้วย และเมื่อเช็คเวลาดันทับกันอีกต่างหาก (อยาก Request ทีวีโรงแรมมาที่ห้องสัก 2 เครื่องเลยทีเดียว) พอถึงเวลาจริง ๆ ผมก็ให้น้ำหนักรายการวู้ดดี้มากกว่าครับ เมื่อดูรายการจบทำให้ผมทราบแนวคิดทางพุทธเยอะเพิ่มขึ้นมาอีกมากเลยครับ เช่น การทำบุญที่ดีควรมีเจตนาที่ดีด้วย เพราะหากไม่มีเจตนาที่ดีในการทำบุญ แม้ว่าจะเป็นธุรกิจพุทธพาณิชที่เราคิดว่าน่าจะได้บุญมาก เช่น การทำพระเครื่องให้เช่า เป็นต้น หากขาดเจตนาที่ดีแต่ดันมีเจตนาในเรื่องผลกำไรอย่างเดียวก็ไม่สามารถสร้างบุญขึ้นมาได้เช่นกัน ผมจึงนำมาคิดประยุกต์กับ CSR ซึ่งตรงประเด็นพอสมควรว่าการทำ CSR ที่ดีก็ควรมีเจตนาที่ดีต่อสังคมเช่นกัน หากมีแต่เจตนาที่จะทำ CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์แก่องค์กรอย่างเดียวองค์กรดังกล่าวก็คงจะไม่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริงหรอกครับ
หลังจากดูวู้ดดี้เสร็จก็แว๊บมาดูฟุตบอล แหม ผลบอลออกมาชัดเจนครับและก็เป็นอีกคืนที่ผมนอนหลับอมยิ้มพอสมควรเพราะได้ทั้งฟังธรรม รวมถึงผลบอลที่ทีมรักของผมชนะอีกด้วย (ทุกท่านคงรู้กันว่าทีมรักของผมคือทีมอะไร) เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6 ชั่วโมงกว่า ๆ กระผมก็ตื่นขึ้นพร้อมทำงานในเช้าวันใหม่แล้วครับ หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็มานั่งเช็คข่าวสารประจำวันครับ ซึ่งหลังจากดูข่าวก็สลดพอสมควรเมื่อพบข่าวเด็กอนุบาลหญิงถูกข่มขืน แถมพึ่งเข้าโรงเรียนอนุบาลได้เพียง 5 วันเท่านั้นเอง แหม ความเจ็บปวดของลูกสาวลุกลามไปถึงหัวใจของพ่อแม่เลยครับงานนี้ผมลองจินตนาการว่าไปว่าหากปัญหาพวกนี้ยังคาราคาซังอยู่ต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้าคงมีการไปข่มขืนเด็กทารกถึงห้องคลอดแน่เลย ผมได้แต่เฝ้าภาวนาให้ปัญหารูปแบบนี้หมด ๆ ไปซะที บทลงโทษทางกฎหมายก็อยากให้มันหนักขึ้นเหลือเกิน (ถ้าบทลงโทษเป็นมนุษย์ ผมจะให้บทลงโทษทานพิซซ่าทุกวันเลยครับ บทลงโทษจะได้หนักขึ้น) จากนั้นผมก็รีบเดินทางไปทานอาหารเช้าเพื่อจะรีบไปเตรียมงาน CSR Campus ในจังหวัดอุตรดิตถ์ต่อไปโดยในวันนี้ผู้เข้ารับฟังสัมมนามีทั้งนักศึกษา รวมถึงหน่วยงานธุรกิจอีกมากมายเลยครับ
มาถึงช่วงกิจกรรมเรื่องหน้าที่พลเมืองและพลเมืองบรรษัทซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม ด้วยการทำงานที่ตัวเองรักโดยงานที่ทำอยู่เป็นงานที่สุจริตและไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
ข้อต่อมา คือ การมีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขแห่งชาติด้วยการร่วมลดข้อขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นการสร้างความสบายใจให้แก่ในหลวงอีกด้วย ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจไม่ดำเนินกิจการที่สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อส่วนรวม เพราะอยากให้ธุรกิจไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคทั้งราคาและสินค้า ส่วนอีกข้อ คือ การสนับสนุนดำเนินกิจการงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามบทบาทเอื้ออำนวยเพราะอยากให้ธุรกิจยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปฏิบัติด้วยการพึ่งพาตนเองให้องค์กรธุรกิจสามารถอยู่รอดอย่างยั่งยืน
วันนี้ช่วงพักเที่ยงผมแอบไปคุยกับพนักงานโรงแรมท่านหนึ่งซึ่งพนักงานท่านนี้ได้บอกผมว่าจังหวัดอุตรดิตถ์มีชื่อเสียงด้านลางสาดอย่างมาก และมีการนำลางสาดกับลองกองมาผสมกันอีกด้วยไม่แน่ใจว่าชื่อลองสาด หรือลางกองกันแน่ โดยการผสมพันธุ์โดยใช้วิธีการติดตาแทน ส่วนฉายาเมืองลับแลของจังหวัดอุตรดิตถ์มีการเล่ากันว่าสมัยก่อนเมืองอุตรดิตถ์เป็นเหมือนเมืองแม่หม้ายคือจะมีแต่มนุษย์เพศหญิงอย่างเดียว ส่วนมนุษย์เพศชายเมื่อเข้าไปก็ไม่เห็นออกมาอีก (สงสัยจะติดใจสาวเมืองลับแลหรือเปล่าก็ไม่รู้) คิดว่าตอนนี้คำสาปน่าจะเสื่อมไปแล้วนะครับ ไม่งั้นกระผมคงออกไปจัด CSR Campus จังหวัดต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน หลังจากคุยกันอย่างถูกคอผมก็เริ่มทานอาหารกลางวันอย่างเร่งด่วนเพื่อจัดกิจกรรม CSR Campus ช่วงบ่ายต่อไป
มาถึงช่วงกิจกรรม CSR เชิงระบบซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้ อาทิ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรด้วยการจัดกิจกรรมอบรมบรรยายเบื้องต้น มีการเชิญวิทยากรมาบรรยายให้พนักงานในทุกแผนกให้รับทราบกันว่า CSR คืออะไร และเมื่อพนักงานมีความรู้แล้วก็มีการคิดโครงการ CSR เพื่อเสนอให้ผู้บริหารบริษัทได้ทราบรายละเอียดเพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายของบริษัทขึ้นมา ส่วนหัวข้อถัดมา คือ การเข้าร่วมในความริเริ่มทาง CSR โดยสมัครใจ ด้วยการเริ่มจากการมองศักยภาพของบุคลากรในองค์กรโดยอาจจะใช้ SWOT เป็นเครื่องมือมามองบุคลากรในบริษัทก่อน แล้วจึงค่อยสร้างความเข้าใจ CSR อย่างเหมาะสมภายในองค์กรอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ต่อมาเป็นกิจกรรมสุดท้ายก็คือ Creative CSR ซึ่งมีโครงการที่น่าสนใจของชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ดังนี้ ได้แก่ “โครงการเสริมสร้างจริยธรรมบนฐานชุมชน สู่วิถีพุทธ วิถีธรรม และวิถีไทย” โดยโครงการจะเน้นกลุ่มวัยรุ่นอาศัยการใช้สื่อผ่านกิจกรรมที่ถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวบนความเป็นชุมชนของตนเอง และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในสถาบันในชุมชน เด็กเยาวชนมีกิจกรรมทำ ครอบครัวและสถาบันทางสังคมหนุนเสริม ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมเกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ดีขึ้นตามลำดับ
ส่วนโครงการต่อมาคือ “โครงการอนุรักษ์บึงทุ่งกะโล่ สู่บึงธรรมชาติที่ยั่งยืน” โดยการให้ความรู้ความเข้าใจของผลดีผลเสียของการที่จะนำบึงทุ่งกะโล่มาถมดินทำเป็นมหาวิทยาลัย โดยผ่านเวทีประชามคมหมู่บ้านในเรื่องบึงทุ่งกะโล่ รวมถึงผลักดันให้บึงทุ่งกะโล่สู่แผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว จัดกิจกรรม เช่น ล่องเรือดูนกชมธรรมชาติ เป็นต้น
ส่วนโครงการสุดท้ายคือ “โครงการมหัศจรรย์ผลไม้ 1 เดียวในโลก” โดยพันธุ์ทุเรียนที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุตรดิตถ์คือทุเรียนพันธุ์หลงและหลิน ซึ่งโครงการจะจัดให้มีชาวสวนและนักวิชาการด้านการเกษตรมาร่วมปรึกษาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปในกระบวนการวิธีที่จะผลผลิตและคุณภาพของทุเรียนพันธุ์ดังกล่าว รวมถึงยกระดับมาตรฐานสู่การส่งออก รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ผลผลิตอีกด้วย
ในวันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ 2 ท่านจาก 2 สถาบันด้วยกันโดยท่านแรกคืออาจารย์วันชัย วรรณสวาท จากโรงเรียนบ้านตักปาด ซึ่งอาจารย์ได้บอกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เรื่อง CSR มาเลย แต่หลังจากรับฟังความรู้ CSR ในวันนี้แล้ว ทำให้ทราบว่าการทำ CSR เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อทั้งสังคมและต่อองค์กรอีกด้วย ส่วนการจะนำเรื่องพลเมืองบรรษัทไปถ่ายทอดแก่นักศึกษาได้จะต้องนำความรู้ตรงนี้ใส่เข้าไปในหลักสูตรเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งนักเรียนและองค์กรในอนาคต” ส่วนอาจารย์อีกท่านคืออาจารย์แสงทอง ขอบเขต จากโรงเรียนบ้านน้ำหมัน โดยอาจารย์ได้บอกว่า “ก่อนหน้าไม่เคยได้ยินเรื่อง CSR เลยแต่พอรับฟังการสัมมนาในวันนี้ทำให้ทราบว่าเป็นเรื่องทีดีมาก โดยอยากให้ความรู้ตรงนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่พนักงานในโรงเรียนบ้านน้ำหมันทุกท่าน เพราะตอนนี้องค์กรยังขาดเรื่องนี้อยู่มาก ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะต่อไปเด็กเหล่านี้ก็คืออนาคตของชาตินั่นเอง”
หลังจากเสร็จงานผมก็ทานยาแก้เมารถไปก่อนเลย เพราะได้ยินว่าโค้งบนเขาจากจังหวัดอุตรดิตถ์ไปจังหวัดลำปางคดเคี้ยวยิ่งกว่าจังหวัดเพชรบูรณ์เสียอีก ฤทธิ์ยาเริ่มออกมาอย่างช้า ๆ จนกระผมหลับคาในรถตู้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ตอนหลับก็ยังสะลึมสะลือรู้สึกตัวได้ว่าถนนที่เดินทางคดเคี้ยวน่าดู เหอ เหอ หวังว่าถึงโรงแรมแล้วคงมีแรงทานข้าวเย็นนะเรา แล้วเจอกันใหม่ใน Blog ถัดไปนะครับ
อยากให้ช่วยกันอนุรักษ์ทุ่งกะโล่จังเลยผมเป็นคนหนึ่งที่เกิดที่นี่และอยากเป็นแนวรว่มต่อสู้เพื่อจะอนุรักษ์ทุ่งกะโล่ของเราให้อยู่แบบนี้ตลอดไปไม่รู้ใครเป็นคนคิดที่ให้ถมแหล่งชุ่มน้ำมาสร้างตึกนโยบายของรัฐบาลก็ประกาศโครมๆว่าให้อนุรักษ์แหล่งน้ำพ่อหลวงของเราท่านก็บอกว่าที่ใหนมีแหล่งที่นั่นก็จะมีอยู่มีกิน
ตอบลบผมคือบุคคลที่ริเริ่มผลักดันให้เกิดโครงการขุดลอกและพัฒนาบึงทุ่งกะโล่เพื่อเป็นแหล่งน้ำการเกษตร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ โดย(อดีต)ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์ ได้เริ่มลงมือดำเนินการขุดลอกบึงภายในเวลา ๒ ปี สามารถขุดลอกตามแนวเขตรอบตัวบึงความยาวประมาณ ๑๙ ก.ม.พร้อมกับนำดินที่ขุดมายกเป็นคันบึงเพื่อกักเก็บน้ำ ความกว้างของสันคันบึงประมาณ ๒๐ เมตร ดังที่เห็นแนวลำคลองทอดยาวคู่ขนานไปกับแนวคันบึงในปัจจุบีนนี้น่นเอง แต่โชคร้ายที่ท่านผู้ว่าฯได้ถูกคำสั่งย้ายราชการไป จึงทำให้งานขุดลอกหยุดชงักลง และผู้ว่าราชการคนต่อๆมาไม่เห็นความสำคัญไม่สานต่อ แม้กระผมจะพยายามผลักดันแล้วก็ตาม หาไม่แล้ว วันนี้..บึงทุ่งกะโล่..จะกลายเป็น...กว้านพะเยาของ จ.อุตรดิตถ์ไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘ แล้ว ถ้าผู้ว่าชัยวัฒน์ฯไม่ถูกย้ายไป ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งในวันนี้..คือ..กลับคิดทำลายทรัพยากรณ์ธรรมชาติอันล้ำค่านี้โดยสถาบันราชภัฎอุตรดิตถ์ร่วมกับจังหวัดอุตรดิตถ์ คิดโครงการถมบึงเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยราชภัฎและหน่วยราชการนับสิบหน่วยงาน ซึ่งกระผมได้ลุกขึ้นต่อต้านโดยลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบ ยื่นหนังสือคัดค้านเรื่องนี้ต่อ...นายกรัฐมนตรี - สำนักนายกรัฐมนตรี - ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา - คณะกรรมการ ส.ป.ก.- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ปัจจุบัน เริ่มปรากฏนิมิตหมายที่ดีโดยมีหน่วยงานและบุคคลที่มีคุณธรรมมีความรู้ความสามารถและมีจิตใจที่รักชาติอย่างแท้จริง ได้เข้ามาดูปัญหานี้บ้างแล้ว ล่าสุด ได้มีมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ วันที่ ๓ พ.ย.๒๕๕๒ ห้ามหน่วยงานราชการใช้พื้นที่ที่มีสภาพเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโดยเด็ดาด แต่ปัญหายังหมดสิ้นไปได้ เพราะ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ได้ทำเรื่องขอใช้พื้นที่ก่อนที่มติคณะรัฐมนตรีนี้จะประกาศใช้บังคับ คงได้แต่หวังว่า..มติคณะรัฐมนตรีนี้...จะช่วยสะกิดให้ต่อมความรู้สึกของสถาบันราชภัฎที่เป็นสถาบันของผู้มีปัญญาความรู้ทำหน้าที่สั่งสอนผู้คนในสังคมจะมีปัญญามองเห็นได้ว่า...ควรจะไปหาที่ที่เหมาะสม(ที่ดอน)แก่ก่อสร้าง ไม่ใช้มาคิดสร้างในหนองน้ำในบึงน้ำอย่างที่คิดอยู่ขณะนี้ แล้วรู้สืกสำนึกได้เองแล้วยอมถอนตัวเลิกลาไปเอง ใครที่เห็นปัญหานี้...ช่วยๆกัน..แสดงออกทางใดทางหนึ่งก็ได้ครับ..เพื่อรัฐบาลอาจเงี่ยหูรับฟังเสียงของพวกเรา และเข้ามาช่วยระงับการทำลายทรัพยากรณ์ธรรมชาติอันล้ำค่าของประเทศได้ทันเวลาครับ....นาย วัฒนา ภูริลดาพันธ์.( P.wathana.ut.th@hotmail.com )
ตอบลบ