วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลำปาง


ตอนนี้สติของกระผมก็กลับมาอีกครั้งแล้วครับ หลังจากสลบด้วยฤทธิ์ยาแก้เมารถไปแล้ว (ต้องขอบคุณวิทยาการทางเวชภัณฑ์ในสมัยนี้ด้วย) ตอนนี้เราอยู่ในอำเภอเมืองของลำปางแล้วครับ และเราก็กำลังมุ่งหน้าไปสู่โรงแรมเวียงลคอร (อ่านว่าเวียง-ละ-คอน) แล้วครับ บรรยากาศหน้าโรงแรมหรูหรามากมายนักตั้งแต่เดินทางมาไม่เคยเห็นทางเข้าโรงแรมที่ไหนหรูหราขนาดนี้มาก่อนต้องบอกก่อนว่ากว่าที่เราจะไปถึง Reception เราต้องขึ้นบันไดประมาณ 3-4 รอบได้ (หากจังหวัดลำปางเกิดน้ำท่วมรุนแรงผมว่า Reception โรงแรมเวียงลคอรจะเป็นที่สุดท้ายที่น้ำจะท่วมเข้าไปถึง) พอเรา Check In เสร็จเรียบร้อยเราก็ได้สอบถามร้านอาหารที่เราจะฝากท้องกันในเย็นวันนี้ และเราก็ได้ร้านอาหารที่ติดแม่น้ำปิงแล้วครับชื่อร้านเฮือนชมวังอยู่ใกล้ ๆ กับร้าน River Side ทาง Reception ก็มีการมอบแผนที่มาอย่างเรียบร้อยโดยบอกทางผ่านปากกา High light สีเขียวสด แต่ทว่าแผนที่ที่ได้มาน้ำหมึกเจือจางมาก ไม่สามารถรู้เลยว่าแยกไหนเป็นแยกไหน

หลังจากพวกเรามั่วทางมาพอสมควร (ประมาณ 30 นาที GPS พี่บอยก็ไม่สามารถเปิดทางสว่างให้ได้…เฮ้อ) เราก็ไม่พบเจอร้านเฮือนชมวังแต่อย่างใด ตอนนี้ความหิวของทีมงานเราก็ผลักดันให้ทานร้านอะไรก็ได้ กระผมจึงมองไปข้างทางจนเจอร้านอาหาร River Side และคิดว่าบรรยากาศก็คงไม่ต่างจากเฮือนชมวังซักเท่าไร (แหม ก็ร้านทั้งสองติดแม่น้ำปิงเหมือนกันนี่นา) หลังจากเราเดินเข้ามาในร้าน River Side บรรยากาศ ชิวมาก ๆ ครับ ภายในร้านมีการเล่นดนตรีสดแนว Boss nova รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้ทั้งนั้น และด้านข้างของผมติดกับแม่น้ำปิงพอดี รวมถึงพระจันทร์วันนี้ยังเต็มดวงซะด้วย (บรรยากาศโรแมนติคสุด ๆ นะครับ) พอทานอาหารเสร็จพวกเราก็ไปแวะที่ Seven Eleven (หากมีบัตรสมาชิก VIP Seven Eleven Gold Card เราคงสมัครไปแล้ว) เพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย

ตอนนี้ทีมงานพวกเราก็มาถึงโรงแรมเวียงลคอรอีกรอบหนึ่ง เพื่อนำสัมภาระจากรถตู้ไปเก็บที่ห้องพักพอเสร็จแล้วเราก็ไปเดินดูห้องประชุมที่เราจะอบรมพรุ่งนี้ ในระหว่างทางที่เราเดินมา บรรยากาศในโรงแรมผสมผสานไปด้วยรูปแบบอาคารรวมถึงสวนหย่อมด้วย สรุปโดยรวมว่าสวยงามมากครับ พอมาถึงห้องประชุมก็เห็นการจัดห้องที่สะดวกและสวยงามพอสมควรหวังว่างานในวันพรุ่งนี้คงสำเร็จด้วยอย่างดีแน่นอน หลังจากเดินชมสถานที่เสร็จเรียบร้อยทางทีมงานก็แยกย้ายกันกลับห้องโดยกระผมคิดว่าฤทธิ์ยาแก้เมารถน่าจะยังไม่หมดฤทธิ์นะครับ กระผมจึงรีบอาบน้ำและอ่านหนังสือสักพักก็ผล็อยหลับไปโดยธรรมชาติในเวลา 22.30 น. สักพักไม่นานก็เวลา 6.15 น.กระผมก็ตื่นแล้วครับ รู้สึกสดชื่นพอสมควรบานกระจกหน้าห้องเป็นฝ้าชัดเจนมาก (แอร์ที่เราเปิดอุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศาอีกแล้วครับ) กระผมก็ว่าทำไมตอนฝันเหมือนยังกับอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

หลังจากกระผมปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยก็เลยมาเปิดทีวีเพื่อดูข่าวสารสักหน่อย แหม! เป็นไปตามคาดครับว่าต้องเจอข่าวอุบัติเหตุอีกแล้ว และข่าวนี้มีผู้เสียชีวิตเยอะซะด้วยนั่นก็คือข่าวรถไฟชนกันที่จังหวัดชุมพร ผมคาดเดาว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดจากการผิดพลาดของระบบรถไฟนะครับ (ข้อเท็จจริงต้องไปตามอ่านอีกทีครับ) เฮ้อ เสียใจกับญาติผู้สูญเสียด้วยนะครับ ส่วนข่าวอื่น ๆ ที่เห็นก็เป็นแนวฆาตกรรมอีกเช่นกัน ส่วนข่าวที่ตรงข้ามที่สุดนั้นคงเป็นข่าวหลินปิงน้ำหนัก 10 กิโลกรัมแล้ว (ขนาดน้ำหนักหลินปิงเพิ่มยังมาทำเป็นข่าวได้ ทีน้ำหนักทีมงานเราขึ้นยังไม่มีใครมากล้าทำข่าว เหอ เหอ)

ตอนนี้ทีมงานเราก็ลงทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้าแล้ว ต่างคนต่างเลือกอาหารกันต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน ส่วนทีมงานสาวท่านหนึ่งสั่งแหวกแนวโดยการสั่งอาหารเช้าแบบจีนมา ซึ่งอาหารจีนมีกับข้าวหลายอย่างมากครับ แต่ทีมงานสาวท่านนั้นก็ทานแต่ผักดองกับข้าวต้มเท่านั้นโดยให้เหตุผลว่าเวลาไปอยู่ประเทศเกาหลีกับแฟนในอนาคตจะได้ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่นู้นได้ง่าย (คิดว่าคนเกาหลีที่นู้น คงไม่ได้ทานผักกาดดองตรานกพิราบแบบบ้านเรานะครับ) หลังทานอาหารเสร็จพวกเราก็มาเตรียมพร้อมที่ห้องประชุมแล้วครับ สักพักก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อมีพนักงานสาวใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกว่าจะมีการดับไฟช่วง 8.00 น. ถึง 9.00 น. ทีแรกเราก็ทำหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ พอเวลาผ่านไปสัก 0.5 วินาที เราก็ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “หา!!#$*” (ความจริง คือ “บ่ตันมึ้ง” ตามคำเมืองนั้นเอง) ในใจนึกว่าช่วงเวลาดังกล่าวคงต้องให้แขกอยู่ข้างนอกแน่เลย พอถึงเวลาจริง ๆ ประมาณ 8.00 น. ทางกระผมก็นับเวลาถอยหลัง (เหมือน Count down ปีใหม่) ไฟฟ้าก็ไม่ดับแต่อย่างใดสงสัยทางโรงแรมจะมีไฟสำรองให้เราได้ใช้กันมั้งเนี่ย (ชื่นชมใน Spirit ของพนักงานในโรงแรมจริง ๆ)

ตอนนี้แขกก็เริ่มทยอยกันเข้าในงานแล้วครับ มีครบเกือบทุกสาขาวิชาชีพเลยทีเดียวนะครับ และในช่วงกิจกรรมแรกของวันนี้ก็คือหน้าที่พลเมืองนั่นเอง ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวลำปางดังนี้ อาทิ การเป็นผู้มีความพากเพียรแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพของตนเองโดยชอบธรรม โดยที่ดิฉันประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายเป็นอาชีพหลักซึ่งเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือประชาชนทั่วไปและไม่เบียดเบียนผู้อื่น และอีกหัวข้อ คือ การเป็นผู้มีความสวามิภักดิ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นประมุขของชาติ เพราะปกติจะเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอรวมถึงการแสดงความรักต่อชาติอีกด้วยเมื่อมีโอกาส ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทอยากให้ธุรกิจมีการแสวงหากำไรอย่างมีหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะครอบคลุมอยู่หลายข้อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสก็ตามโดยหากยึดหลักธรรมาภิบาลจะทำให้องค์กรธุรกิจเกิดความยั่งยืนอีกด้วย ส่วนอีกข้อ คือ อยากให้ธุรกิจส่งเสริมให้พนักงานมีศาสนธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะคิดว่าจะทำให้พนักงานไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันรวมถึงไม่คดโกงกันในการทำงานอีกด้วย

มาถึงกิจกรรม CSR เชิงระบบก็มีหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับชาวลำปางดังนี้ อาทิ การสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กร โดยการจัดทำโครงการ CSR Day ให้เป็นรูปแบบตลาดนัดการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง CSR ภายในองค์กร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงการประกวดโครงการ CSR ที่ดีเด่นภายในองค์อีกด้วย ส่วนอีกท่านหนึ่งก็ได้เสนอเรื่องการสร้างความเข้าใจในเรื่อง CSR ขององค์กรเช่นกัน แต่จะเน้นความรู้ความเข้าใจไปสู่ผู้บริหาร ในองค์กรก่อนโดยเริ่มต้นจากการทำ CSR ภายในองค์กรก่อนเพื่อสร้างความสุขในการทำงาน รวมไปถึง การสร้างความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าอีกด้วย

ในช่วงสุดท้ายมาถึงกิจกรรม Creative CSR โดยมีโครงการที่น่าสนใจดังนี้เช่น “โครงการนั่งรถม้า กินข้าวแต๋น วางแผนซื้อเซรามิค” โดยโครงการนี้ใน 1 ปีเราจะจัดงาน 1 ครั้งโดยในวันนั้นจะห้ามการใช้รถยนต์รวมถึงมอเตอร์ไซค์ทั้งเมือง แต่หันมาใช้รถม้าในการสัญจรแทน (เฉพาะอำเภอเมือง) และจะมีการจัดแสดงสินค้า OTOP เลื่องชื่อของจังหวัดลำปางไม่ว่าจะเป็น ข้าวแต๋น เซรามิค รวมถึงมีการให้บริการมัคคุเทศก์ประจำรถม้าเพื่อเยี่ยมชมวัดและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของจังหวัดลำปางด้วย

ส่วนโครงการต่อมา คือ “โครงการม่วนแต้หนา มาลำปาง” โดยโครงการนี้จะคล้ายกับโครงการก่อนหน้าแต่จะเน้นการปรับปรุงพัฒนาในจังหวัดก่อนเพื่อเตรียมพร้อมเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งโครงการจะจัดทำกระถางเซรามิคปลูกต้นไม้ตลอดทางเข้าจังหวัดลำปาง รวมถึงการปรับปรุงอาคารศาลากลางเก่าให้เป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวอีกด้วย และจะมีการสร้างวัฒนธรรมชาวลำปางให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วยการแต่งกายชุดพื้นเมือง และพูดภาษาท้องถิ่นอีกด้วย

มาถึงโครงการสุดท้าย คือ “โครงการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพของคนลำปาง” ซึ่งโครงการนี้จะเน้นการสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ประกอบธุรกิจให้ตระหนักถึงการจัดการของเสียในกิจการไม่ให้ปนเปื้อนไปสู่สิ่งแวดล้อม โดยการสร้างกิจกรรม 5ส.ให้เป็นนิสัย , ปลูกต้นไม้ภายในโรงงาน , ให้ความรู้เกี่ยวผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ ให้หน่วยภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นประจำทุกวันด้วย

วันนี้ผมได้นั่งคุยกับอาจารย์อรัญญา กิมภิระ รองผู้อำนวยการจากวิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดลำปางด้วยโดยท่านบอกว่า “ก่อนเข้าอบรมในวันนี้ยังไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจด้าน CSR สักเท่าไร แต่พอหลังจากการอบรมในวันนี้ทำให้ได้รับความรู้ด้าน CSR เพิ่มขึ้นมาก โดยจะนำความรู้ด้าน CSR ตรงนี้ไปถ่ายทอดต่อให้นักศึกษาเพราะสถาบันเราเน้นสอนด้านวิชาชีพเมื่อนักศึกษาเหล่านี้จบออกไปเปิดธุรกิจของตนเองจะได้มีการนำ CSR ไปใช้กับธุรกิจของนักศึกษาอีกด้วย ส่วนพลเมืองบรรษัทจะต้องมีการถ่ายทอดผ่านครูอาจารย์ในสถาบันก่อนเพราะครูอาจารย์เหล่านี้มีส่วนในการสร้างจรรยาบรรณอาชีพให้แก่นักศึกษาได้โดยตรง และในฐานะที่เป็นผู้บริหารจะต้องนำเรื่องพลเมืองบรรษัทไปพูดในที่ประชุมอีกด้วย”

ตอนนี้งานสัมมนา CSR Campus ณ จังหวัดลำปางก็ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยทีมงานเราก็เตรียมพร้อมมุ่งสู่จังหวัดลำพูนทันทีครับ แต่ก็มีทีมงานสาวท่านหนึ่งขอร้องว่าอยากไปไหว้วัดพระธาตุลำปางหลวงก่อน เราก็เลยเออออตามอย่างเช่นเคยครับ แหม ก็ยังเย็นอยู่นี่นายังไม่ค่ำสักหน่อย ตอนนี้เราก็มาอยู่หน้าวัดแล้วครับแอบเสียดายเล็กน้อยเมื่อประตูดันปิดซะแล้ว (ในใจคิดว่าตัวอุโบสถน่าจะยังปฏิสังขรณ์อยู่) แต่เราก็เหลือบไปเห็นรถม้าแคระครับ เราจึงไปขอถ่ายรูปด้วยโดยคิดเป็นค่าบริการท่านละ 10 บาท กระผมจึงขึ้นรถม้าไปถ่ายกับทีมงานสาวท่านหนึ่ง สังเกตุฐานล้อทรุดลงดินประมาณ 10 เซนเห็นจะได้ แต่ก็ได้รูปถ่ายมาอย่างสวยงามทีเดียว

กระผมก็ชวนพี่เจ้าของม้าคุยเล่นเขาเล่าให้ฟังว่าม้าพันธ์นี้เป็นพันธุ์พื้นเมืองตัวจะเล็กกว่าปกติอยู่ได้ประมาณ 30 ปีแหน่ะครับ ส่วนม้าที่โชว์ในวันนี้ก็อายุประมาณ 4 ขวบเอง (ถ้าเป็นคนก็พึ่งเข้าอนุบาลเองนะครับเนี่ย) และผมก็ได้รู้เรื่องเกือกม้ามาอีกด้วยว่าสามารถใช้งานได้ประมาณ 1 เดือนต้องเปลี่ยน 1 ครั้ง เปลี่ยนครั้งหนึ่งก็ราคาประมาณ 500 กว่าบาท โดยมีมูลนิธิช่วย Support อีกต่างหาก หากไม่มีมูลนิธิช่วยเหลือก็จะต้องเสียค่าเปลี่ยน 1 ครั้งประมาณหนึ่งพันกว่าบาทเลยทีเดียว หลังจากเราถ่ายรูปเสร็จตอนนี้ทีมงานเราก็พร้อมมุ่งหน้าสู่จังหวัดลำพูนเป็นสถานีต่อไปแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น