วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เชียงใหม่


สวัสดีครับท่านผู้อ่านและผู้ติดตามการเขียนของกระผม (นายแม๊กซ์) และคุณพี่หนึ่งทุกท่านเลยนะครับ สัปดาห์นี้ทีมของกระผมไม่ได้ออกเดินทางไปต่างจังหวัดครับ แต่ทีมของอาจารย์ฌานสิทธิ์นั้นต้องเดินทางขึ้นเหนือไปจัดอบรมให้กับจังหวัด อุตรดิตถ์ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นระยะเวลาสี่วันเริ่มตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพฤหัสบดี และทุกๆ คนต้องมารวมตัวกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่จะมีการจัดอบรม CSR Campus ระดับภาคเหนือ ณ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 ครับ โดยการจัดงานนั้นจะคล้ายๆ กับการอบรมงาน CSR Campus ระดับภาคอีสานที่จังหวัดนครราชศรีมา

เกริ่นมาซะเยอะแล้ว ในขณะที่ทีมของอาจารย์ฌานสิทธิ์ได้ออกเดินทางไปก่อนในวันอาทิตย์เพื่อไปอบรมให้กับคนในจังหวัดข้างต้นที่กล่าวไป ทีมของเราเองก็ออกเดินทางตามไปในวันพุธครับ แต่ว่าการเดินทางไปวันนี้อาจจะมีผู้ร่วมทางที่ต่างไปจากเดิมครับ เพราะพี่ผึ้งและพี่แอนจะตามไปกับทีมใหญ่ในวันพฤหัสบดี ส่วนกองทัพของทีมอาจารย์วุฒิพงศ์วันนี้มี พี่เดียว พี่ตอง น้องนีน่าและกระผม (นายแม๊กซ์) ทำไมเราต้องออกเดินทางไปก่อนตั้ง 2 วัน แปลกใจกันไหมครับ! เราไม่ได้จะไปเที่ยวกันหรือเถลไถลแต่อย่างใด เพราะเราต้องไปปฏิบัติภารกิจให้กับ บริษัท UFC ที่จังหวัดลำปางก่อน กับโครงการ CSR Day ของเราครับ ที่ใช้ระยะเวลาในการอบรมเพียงครึ่งวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราอยากให้ทุกๆ คนทำดีและทำได้ทุกวัน ทุกเวลา เราไปถึงลำปางก็ดึกแล้ว แยกย้ายพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ตื่นมาในวันรุ่งขึ้น แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกนั้นซักเล็กน้อย เพื่อที่จะไม่เป็นการเสียเวลาในการเดินทางไปยัง บริษัท UFC ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ขณะนั้นเป็นเวลา 12.45 เรามุ่งหน้าไปยังบริษัท UFC ตามแผนที่ที่ได้มา ดูแล้วไม่น่าจะไกลมากมายครับ และเราก็ได้โทรถามทางกับฝ่ายจัดอบรมของที่นั้น แต่ไม่รู้สื่อสารกันยังไง เรายังตรงไปเรื่อยๆ จนจะถึงเชียงใหม่อยู่แล้ว จึงตัดสินใจจอดถามคนที่ตั้งร้านอยู่ริมทาง ได้ความว่า เราเลยมาประมาณ 20 กว่ากิโลเมตรแล้ว ไม่รอช้าวกรถกลับทันที และแล้วเราก็เจอบริษัทนี้จนได้ ห่างจากตัวเมืองลำปางไม่ถึง 5 กิโลเมตรเลย แต่ด้านหน้าบริษัทนั้น มีต้นไม้เยอะทำให้การมองเห็นอาจจะ ยากซักเล็กน้อย แต่ก็ยังทันเวลาครับ ทุกอย่างจึงราบรื่นดี การอบรมก็สนุกสนานอย่างเคย

Mission Completed กันเรียบร้อยสำหรับโครงการ CSR Day พี่ๆ บางท่านได้บอกกับผมว่าจะตามไปเชียงใหม่ในวันรุ่งขึ้นด้วย ผมก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเลย ที่เค้าให้ความสนใจกับงานของเรา ทุกๆ คน ไม่ว่าจะทีมใหญ่ทีมเล็ก เราต่างมารวมตัวกันครบ ที่วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่ ยกเว้นทีมของอาจารย์ฌานสิทธิ์ ที่ต้องพักอยู่ที่ อ.ปาย ก่อนอีกหนึ่งคืนเพราะถ้าเดินทางมาโดยไม่พักอาจจะอ่อนเพลียได้ ท่านเจ้าอาวาสได้กล่าวทักทุกๆ คนในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันไป ทำให้มีการประสาทหลอนเล็กน้อย แต่ก็ดีเพราะจะได้ทำให้เราปรับปรุงในเรื่องที่เราบกพร่องอยู่ ทางเราได้ถวายปัจจัยและข้าวสาร อาหารแห้งต่างๆ ให้กับทางวัด เพื่อให้กับเด็กๆ บริเวณนั้นด้วย

โครงการ CSR Campus ระดับภาคเหนือ ปี 2 ได้เริ่มขึ้นที่เชียงใหม่อย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 เวลา 9.30 น. ผู้คนที่มาร่วมสัมมนาก็มีจำนวนเยอะเช่นเคย การเปิดงานและปาฐกถาพิเศษจาก คุณสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานหอการค้าไทย ได้พูดถึงคนจังหวัดตรัง ที่โด่งดังเกี่ยวกับหมูย่าง ทุกๆ คนในจังหวัดล้วนแต่ตื่นมาแล้วก็ต้องอุดหนุนหมูย่าง ของขึ้นชื่อในจังหวัดตนเอง เหมือนเป็นการช่วยชุมชนที่เราอยู่ เงินทองจะไปไหน ก็เป็น CSR อย่างหนึ่ง ท่านยังเป็นคนเริ่มเกี่ยวกับงานวิวาห์ใต้น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยให้นายอำเภอของจังหวัดที่ได้จัดงานมาร่วมงานด้วย แต่นายอำเภอก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะจะดูเกินหน้าเกินตาผู้ใหญ่ไป แต่ก็ร่วมงานด้วยจนได้ พอเสร็จงานนักข่าวต่างให้ความสนใจคุณสุรินทร์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะทั้งคนภายในและนอกประเทศ นายอำเภอท่านนั้นจึงเป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ก็เป็นสิ่งที่ดีจึงอยากให้คนหนุ่มสาวเอาสิ่งๆ ดีเป็นเยี่ยงอย่าง อยากให้คนรุ่นใหม่ๆ นักเรียน นักศึกษา ผู้ประกอบการทั้งหลาย ช่วยเหลือสังคม ทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง ต้องรู้จักหน้าที่พลเมือง ซึ่งในแต่ละคนนั้นควรปฏิบัติ

อาหารกลางวันของที่โรงแรมนี้มีเยอะมากทีเดียวครับ เลือกทานกันไม่ถูกเลย แถมยังอร่อยมากซะด้วย หลังจากที่ทุกท่านกลับมารวมกันที่ห้องสัมมนา เราได้อาสาสมัคร 10 ท่านมาร่วมเล่นเกมกับเรา พร้อมแจก VCD สารคดี Home จำนวน 1 รางวัลให้กับผู้ที่ตอบถูกเพียงท่านเดียว กิจกรรมต่อมาเป็นกิจกรรมของชาว CSR เราครับ นั้นคือต้องกล้าแสดงออก พร้อมเสื้ออีก 5 ตัว เป็นรางวัลตอบแทน หลังจากที่ทุกท่านได้สนุกสนานกันแล้ว เราได้รับเกียรติจาก คุณสัมฤทธิ์ สว่างคำ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล บริษัท เอเชีย พรีซิชั่น จำกัด ซึ่งท่านมาแทนคุณ อภิชาต การุณกรสกุล ซึ่งติดภารกิจในครั้งนี้ คุณสัมฤทธิ์ ได้มาร่วมแชร์ เล่าถึงประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำร่วมกับทุกๆ คนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นทั้งพนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหาร คนไทย คนต่างชาติ ได้ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้นทั้งสิ้น เพื่อเป็นการละลายพฤติกรรม เพิ่มระเบียบวินัย เข้าใจซึ่งกันและกัน มีความสามัคคี ปรองดอง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ซึ่งทุกๆ อย่างล้วนสำคัญยิ่งกับการพัฒนาองค์กรไปอย่างยั่งยืน

เรามีการไปฝึกระเบียบวินัยและพัฒนาตนเองที่ค่ายทหาร 2 วัน 1 คืน ก็มีการเป็นลมหมดแรง แต่ก็ไม่มีใครถอย มีการให้นายทหารมาตรวจกิจกรรม 5 ส. ถึงในองค์กร โดยถ้าทำได้ไม่ดี หัวหน้ากลุ่ม ก็จะโดยออกกำลังกายเป็นการทำโทษ ไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงแค่ไหนล้วนเท่าเทียมกันทั้งสิ้นในการลงโทษ เราต้องทำโรงงานให้เหมือนบ้าน ให้เป็นที่รักของพนักงาน ปกติแล้วโรงงานส่วนใหญ่จะไม่ชอบให้มีการแต่งงานกันเองในบริษัท แต่เราอยากให้มีแบบนั้นเพราะเราเหมือนครอบครัว มีการให้รางวัลคู่ที่หวานและดูแลซึ่งกันและกันที่สุด พอมีลูก ทางเราก็มีการมอบของเล่นให้ สนับสนุนทุกๆ อย่างเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะโครงการวันแม่ ที่ทำให้ลูกๆ หลายคนได้กลับบ้าน หรือได้คุยกับพ่อแม่ ได้ปรับความเข้าใจกัน

อย่างไรก็ตามเงินเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องให้เงินอย่างเป็นธรรมด้วย ปกติแล้วเมื่องานเสร็จสิ้นที่อื่นจะร่วมกันเฮ แต่ที่ เอเชีย พรีซิชั่น ให้ตะโกนว่า เนี้ยบ เป๊ะ ลุย! เนี้ยบ คือ การใส่ใจปฏิบัติงาน ด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด เป๊ะ คือ ปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ให้เสร็จในกำหนดเวลาทุกครั้ง และลุย คือ ทุ่มเทปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ แรกๆ ก็อายไม่กล้าพูดกัน แต่ตอนนี้ทุกคนก็ออกเสียงดังได้อย่างเต็มปากเต็มคำกับความภูมิใจในบริษัทของตน

แหม่...ฟังคุณสัมฤทธิ์ นำเสนอในสิ่งที่น่าสนใจหลายๆ อย่างไปแล้ว ผมก็อยากจะไปฝึกตนเองกับพวกทหารบ้าง เพราะผมก็ชอบลุยๆ เหมือนกัน หลายๆ ท่านให้ความสนใจ และนำ Thumb Drive มาขอดึงข้อมูลเป็นจำนวนมาก ทั้งในเรื่องสารคดี Home ด้วย เพื่อที่จะได้นำวิธีการกลยุทธ์บางอย่างกลับไปประยุกต์ใช้กับองค์กรของตนได้ และอยากให้ทุกๆ คนได้ตระหนักถึงวิกฤติของโลกปัจจุบันด้วย การที่เปิดสารคดีให้ดูนั้นทำให้คนอาจจะเริ่มกลัวและอยากจะช่วยกันปรับปรุงเกี่ยวกับทรัพยากรที่กำลังใกล้จะหมดไป ทั้งยังภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจาก Climate Change อีกด้วย

และในช่วงพักเบรกช่วงบ่ายผมก็มีโอกาสได้สนทนากับอาจารย์จาก 3 สถาบันด้วยกันโดยเริ่มจากสถาบันแรก คือ วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการสารภีโดยคุยผ่านท่านอาจารย์บริบูรณ์ ศรีประสิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “จากการที่ได้ร่วมประชุมครั้งนี้ทำให้รู้ว่า CSR เป็นการปลูกฝังความดีนั่นเอง ซึ่งทางสถานศึกษาของกระผมก็มีการให้บริการชุมชนทั้งอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันทราย และอำเภอสารภีอีกด้วย และส่วนพลเมืองบรรษัทก็เหมือนกับเรื่องจริยธรรมนั่นเองซึ่งทางเราจะนำไปเสริมด้วยการออกหน่วยช่วยชุมชนและนำความรู้ตรงนี้ไปเผยแพร่โดยเป็นหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นให้แก่ชุมชนภายนอกอีกด้วย”

ส่วนสถาบันต่อมา คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งกระผมก็พูดคุยกับคณะบรรณารักษ์ (ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ) ซึ่งประกอบไปด้วยคุณอรุณรัตน์ วงศ์ฉายา คุณประกายดาว สีโมรา และคุณกติกาน ละอองศรี โดยทั้ง 3 ท่านให้ทัศนะไว้ว่า “วันนี้ทำให้เข้าใจเรื่อง CSR มากขึ้น ซึ่งจากแต่เดิมไม่รู้มาก่อนแต่ทางผู้อำนวยการห้องสมุดเคยมาฟัง CSR Campus ปีแรกและมองว่าเป็นเรื่องที่ดีจนกำหนดเป็นนโยบายของห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจมากนัก แต่พอหลังจากฟังทำให้รู้และเข้าใจนโยบายที่ทางผู้อำนวยการได้ตั้งขึ้นมามากขึ้น และส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทจะต้องเริ่มปฏิบัติตั้งแต่หน่วยงานเราก่อนและหลังจากนั้นจึงนำไปรณรงค์เพื่อเผยแพร่ต่อไป”

ส่วนสถาบันสุดท้ายวันนี้ก็คือมหาวิทยาลัยพายัพครับ ซึ่งผมได้สนทนากับอาจารย์สุรินทิพย์ ชวารา ด้วยซึ่งท่านกล่าวกับผมว่า “วันนี้ที่มาสัมมนาได้ทราบ Case Study ทาง CSR ของภาคธุรกิจมากขึ้นเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ความรู้ด้านนี้ทางมหาวิทยาลัยจะไม่ค่อยทราบสักเท่าไร และดีใจมากที่ธุรกิจเดี๋ยวนี้มีการดูแลสังคมอีกด้วยทำให้สังคมไทยดูมีความหวังมากขึ้น ส่วนเรื่องพลเมืองบรรษัทต้องเริ่มถ่ายทอดตั้งแต่ตัวพนักงาน ต้องสอนให้รู้ถึงความสำคัญของการให้มากกว่ารับตามคำพูดของท่านมหาตมคานธีซึ่งหากทำให้เกิดขึ้นจริงสังคมย่อมใกล้เข้าสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาอย่างที่นายแพทย์ประเวศ วสี ได้กล่าวไว้อย่างแน่นอน”

หลังจากกระผมคุยกันจนลืมเวลา (พูดคุยเพลินมากมายครับ) กระผมจึงรีบกลับเข้ามาห้องประชุมอีกครั้งเพื่อมาฟังการเสวนาของเหล่าผู้บริหารจาก 3 องค์กรใหญ่ได้แก่ บจ.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย โดยคุณกนกวรรณ พิมพ์กัณหา บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) โดยคุณพีระพงษ์ กลิ่นละออ และสุดท้ายจากบมจ. กสท โทรคมนาคม โดยคุณสุระภี อิงคะวณิช โดยในวันนี้พิธีกรเวทีเสวนา คือ คุณนงค์นาถ ห่านวิไล บรรณาธิการข่าว ธุรกิจ-ตลาด หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (งานนี้สนุกแน่เลย) โดยเนื้อหาการเสวนามีดังนี้ครับ

เริ่มจาก CAT ทางผู้บริหารก็ได้กล่าวความเป็นมาขององค์กรโดยต้องบอกว่าทั้ง CAT , TOT และการไปรษณีย์ไทยมีจุดเริ่มต้นเดียวกัน โดยอยู่ภายใต้กระทรวง ICT ทั้งสิ้น โดยการโทรคมนาคมทั้งหมดของประเทศไทยยกเว้นโทรศัพท์บ้านจะมีทาง CAT เป็นองค์กรที่คอยดูแล ส่วนโทรศัพท์บ้านจะมีทาง TOT เป็นผู้ดูแล และสุดท้ายตรงตัวครับก็คือการไปรษณีย์ไทยนั่นเอง ส่วนการทำ CSR ในภาวะเศรษฐกิจนี้ต้องกล่าวว่า CSR เป็นสิ่งที่สร้างความยั่งยืนซึ่งภาวะวิกฤติตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากในการเริ่มทำ CSR โดยทาง CAT เริ่มจากการปฏิบัติภายในองค์กรก่อน (CSR Work In Process นั่นเอง) รวมถึงการทำแผนแม่บททาง CSR ขององค์อีกด้วยซึ่ง CAT เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "การสร้าง DNA แห่งความดี" และเมื่อ DNA ตรงนี้แข็งแกร่งแล้วก็จะนำ DNA เหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อภายนอกอีกด้วย (การทำ CSR ของ CAT เป็นระบบจริง ๆ ครับ) เช่น กิจกรรม Young Web Designer หรือ CSR Agent เป็นต้น โดยสรุปแล้วทาง CAT ปฏิบัติ CSR ไม่ลดลงจากเดิมเลยครับและการทำ CSR ต้องทำจากใจรวมถึงการให้พนักงานมีส่วนร่วมอีกด้วย

ต่อมาเป็นทาง Toyota (คงจะรู้กันดีนะครับว่า Toyota ผลิตอะไร) ซึ่งผู้บริหารกล่าวว่า "ได้เริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2478 แล้วครับ (เริ่มดำเนิน CSR ได้นานมากนะครับเนี่ย) ซึ่ง Toyota คิดว่านอกจากองค์กรจะผลิตรถยนต์ที่ต้องตอบสนองต่อลูกค้าได้ดีที่สุดแล้วยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และทาง Toyota ก็ผ่านวิกฤติมาหลายครั้งแล้วด้วยไม่ว่าจะเป็นวิกฤติปี 40 ซึ่งทาง Toyota ก็ยังมีการทำ CSR อยู่ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การก่อตั้งโรงสีข้าวรัชมงคลขึ้นโดยในหลวงได้ประทานทุนเริ่มต้น 600,000 บาทในการก่อตั้งโรงสีตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการรับข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงกว่าตลาดและขายในราคาต่ำ ถึงแม้ว่าโรงสีข้าวรัชมงคลจะอยู่มา 10 กว่าปีแล้วผลประกอบการขาดทุนมาตลอดแต่ทาง Toyota ก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพราะโรงสีข้าวรัชมงคลเป็นสถานที่ช่วยเหลือชาวนาในการรับซื้อผลผลิต หรือแม้กระทั่งเป็นแหล่งเรียนรู้ของชาวนา เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการรักษาข้าว เป็นต้น" สำหรับกิจกรรม CSR อื่น ๆ ที่ Toyota ได้ทำในภาวะวิกฤติก็ยังมีอีกมากมายเช่น การให้ความรู้ในเรื่องของ Technology รถยนต์แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วไปอีกด้วย เป็นต้น

และสุดท้ายก็คือทาง Dtac ซึ่ง Dtac ก็มีการทำ CSR มาอย่างตลอดและยาวนานเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นโครงการสำนึกรักบ้านเกิด และโครงการทำดีทุกวันแม้ว่าจะต้องผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจทั้ง 2 โครงการก็ยังคงดำเนินการอยู่เหมือนเดิม อาทิ ในช่วงวิกฤติปี 40 ซึ่งทางโครงการสำนึกรักบ้านเกิดได้มีการแจกทุนการศึกษาโดยทุนตรงนี้มีการมอบจนผู้ได้รับทุนสำเร็จปริญญาตรีซึ่งตอนนี้โครงการนี้ได้มอบทุนนักเรียนมา 999 คนแล้ว เมื่อนักศึกษาเหล่านี้สำเร็จการศึกษาเรียบร้อยพวกเขาเหล่านี้ก็จะกลับมาพัฒนาบ้านเกิด เพราะทาง Dtac เชื่อว่าหากสังคมอยู่ไม่ได้ทางองค์กรเองก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกันทาง Dtac จึงต้องดำเนินธุรกิจให้ก้าวเดินไปพร้อมกับสังคมเช่นกัน ต่อมาก็มีโครงการทำดีทุกวันเพื่อมาเสริมโครงการก่อนหน้าซึ่งโครงการทำดีทุกวันได้น้อมรับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการดำเนินโครงการอีกด้วยและในช่วงขณะเสวนาอยู่ทาง Dtac ก็ได้มีโฆษณาสำนึกรักบ้านเกิดมาฉายประกอบการบรรยายอีกด้วย (แนะนำว่าก่อนดูให้เตรียมกระดาษซับน้ำตาให้เรียบร้อยด้วยนะครับ)
































หลังจากงาน CSR Campus ของภาคเหนือเสร็จสิ้นแล้วทางกระผมก็ได้ยืนรับรู้ถึงความเหนื่อยที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย (เหนื่อยตอนเดินทางนี่แหละ) สักครู่กระผมจึงเก็บของเรียบร้อยและก็ขึ้นเพื่อพักผ่อนบนห้องพัก และอาบน้ำ (ถ้าไม่มีงานอะไรเข้าก็กะนอนเพิ่มพลังเอาไว้ก่อน) หลังจากอาบน้ำเสร็จกำลังทิ้งตัวนอนก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังแล้วครับ เมื่อรับสายก็รู้ว่าเดี๋ยวเราจะไปเที่ยวเชียงใหม่ Night Safari กัน (ไม่เคยไปเหมือนกัน จำได้ว่าเคยไปดูสถานที่สิงสาราสัตว์เยอะ ๆ ล่าสุดก็ที่ Safari World ตอน 6 ขวบคงเห็นจะได้) ใช้เวลาแต่งตัวประมาณ 15 วินาทีเศษ ๆ โดยช่วงระหว่างนั่งรถตู้เพื่อไปเที่ยวก็สับสนทางกันน่าดูครับ วนไปนู้นออกนี่ วนนี่ออกนู้น โดยเราสูญเสียเวลาในการเดินทางประมาณเกือบชั่วโมงครึ่ง (ท่านผู้ชม Blog คงนึกว่าเรากำลังเดินทางออกต่างจังหวัดเป็นแน่แท้) จากที่เราจะไปฉลองงานจบภาคในร้านอาหารก็กลับกลายเป็นไปฉลองที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแทน (ฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว) หลังจากเราฉลองงานเลี้ยง ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเสร็จ

ในที่สุดเราก็มาถึงเชียงใหม่ Night Safari แล้วครับมีกวางมาเดินต้อนรับเราเพียบเลยครับ โดยระหว่างที่เราท่องเที่ยวดูสัตว์ไปตามรถรางเรื่อย ๆ กระผมก็นั่งคิดว่าน่าสงสารเหมือนกันนะครับที่สัตว์ป่าเหล่านี้ต้องออกมาจากป่า และนั่งเหงานอนเหงาคิดถึงฝูง คิดถึงเพื่อนป่าอย่างแน่นอน (ทุกท่านคงสงสัยว่ากระผมเข้าใจภาษาสัตว์ป่าด้วยเหรอ) เพราะป่าจำลองยังไงก็คงไม่สู้ป่าจริง ๆ หรอกครับ สัตว์ป่าบางประเภทที่วิทยากรบรรยายก็สูญพันธุ์ไปแล้วหรือบางตัวก็เหลือน้อยแล้วจากเรื่องดังกล่าวพอประมวลแล้วผมมองว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งหากมนุษย์หันมามอง CSR เป็นเรื่องหลักโดยการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียก็คือป่าไม้และสัตว์ป่า ผมคิดว่าป่าไม้และสัตว์ป่าก็จะยังคงอยู่อย่างมีความสุขเช่นเดิมครับและเราก็ไม่จำเป็นต้องสร้างสวนสัตว์มาเพื่ออนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอีกด้วย (เล่าแล้วก็นึกถึงคิงคองที่พาต้าปิ่นเกล้าอีกด้วย) หลังจากเราเที่ยวเสร็จแล้ว ก็ไปเดินเล่นที่ไนท์บาซาร์อีกสักพักบรรยากาศอ้างว้างมากครับเพราะร้านค้าเก็บของกันแล้ว (เดินได้ถูกเวลาจริง ๆ ) พอเราเที่ยวเสร็จก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนทันทีครับ และเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้นครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น